Skip to content

A Will Eternal 320

บทที่ 320 ร่มราตรีนิรันดร์!

ด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปทีละก้าว เขาเองก็ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว ยังดีที่ด้วยตบะสร้างฐานรากช่วงท้ายของเขาในตอนนี้ อีกทั้งช่วงที่ผ่านมามหาสมุทรวิญญาณชั้นที่เจ็ดขาดอีกแค่เส้นเดียวก็สามารถตกผลึกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้พลังวิญญาณของเขาทอดยาว สามารถเปลี่ยนมาหายใจได้จากภายใน

ที่สำคัญที่สุดก็คือกล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่ง ถึงสามารถยืนหยัดอยู่ในนี้ได้ เวลานี้ข่มกลั้นความรู้สึกถึงเรือนกายที่ถูกกัดกร่อน อดทนกับกลิ่นเปรี้ยวที่อยู่ภายใน จำเป็นต้องกัดฟันเดินหน้าต่อ

“หากไม่ได้จริงๆ ก็คงทำได้เพียงรอคนมาช่วยเท่านั้น แม้มังกรเฒ่าตัวนั้นจะกลัวตาย ทว่าต้องแจ้งให้พวกบุรพาจารย์ทราบอย่างแน่นอน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง พอนึกได้ว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเอนจอนาถเช่นนี้ก็ยิ่งเกลียดเจ้าเต่าน้อยเข้าไปใหญ่

ด่ากราดสาปแช่งมาตลอดทาง ค่อยๆ เดินเข้ามาถึงในจุดลึก และก็มองเห็นกระดูกสัตว์มากมายรอบด้านที่คล้ายว่ายากจะย่อยสลายได้ มองเห็นกระดูกที่ถูกกัดกร่อนจนดำปี๋เหล่านั้น ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสั่นระรัว

“ข้าไม่อยากกลายเป็นกระดูกพวกนี้นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเพิ่มความเร็วในการซอยฝีเท้า ไม่ยินดีหยุดอยู่ที่นี่อีกแม้แต่นาทีเดียว ขณะที่กำลังเดินไปข้างหน้านั้น ในถุงเก็บของของเขาก็พลันมีหัวของเจ้าเต่าน้อยโผล่พรวดออกมา มันกวาดตามองไปรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ

“เข้ามาจริงๆ หรือนี่!”

คำพูดของมันดังขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความสติแตกออกมาทางดวงตาทันที มือขวายกขึ้นรวดเร็ว เอื้อมคว้าไปยังเจ้าเต่าน้อย เต่าน้อยหดหัวผลุบเข้าไปด้านใน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาลใส่ถุงเก็บของ ในใจคลุ้มคลั่งอีกครั้ง

“เจ้าบอกให้ออกข้าก็ต้องออก เจ้าเห็นว่านายท่านเต่าของเจ้าเป็นท่อนไม้ซักผ้าอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ออกไปหรอก!”

“เจ้าๆๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดจัด หลังจากเปิดถุงเก็บของออกและค้นหาอย่างละเอียดก็ต้องค้นพบด้วยความสิ้นหวังว่า ตัวเองหาอีกฝ่ายไม่เจอ

“ข้าผิดไปแล้ว…ท่านเต่า…เป็นอย่างนี้ต่อไป ข้าต้องถูกเจ้าเล่นงานจนตายแน่” น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอหน่วยตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขารับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ความสามารถในการก่อเรื่องของเจ้าเต่าน้อยนี่มีมากเกินไป ทุกครั้งล้วนต้องไปหาเรื่องสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวทั้งสิ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมีลางสังหรณ์ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตัวเองต้องถูกเล่นงานจนตายแน่นอน

“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเด็กดีว่าง่ายถึงเพียงนี้ นายท่านเต่าจะมอบโชควาสนาให้เจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าเดินไปตามที่ข้าบอก แล้วจะมีการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่” เจ้าเต่าน้อยโผล่หัวออกมาอีกครั้ง คราวนี้โผล่ออกมาให้เห็นแค่เสี้ยวเดียว ใจป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะคว้าจับอีกฝ่าย แต่ก็รู้ว่าเจ้าเต่าน้อยเตรียมการป้องกันไว้เป็นอย่างดี ยากที่ตัวเองจะทำสำเร็จ จึงถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง เดินวนอ้อมไปอ้อมมาอยู่ในร่างของคางคกตามที่เจ้าเต่าน้อยบอก ไม่นานก็เดินมาถึงมุมที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง

“ที่นี่แหละ เร็วๆๆ ตรงนี้เป็นจุดที่เปราะบางมากที่สุด เจ้าใช้พละกำลังมากที่สุดเท่าที่ตัวเองมีเปิดช่องโหว่หนึ่งช่องตรงนี้ ข้าสัมผัสได้เลยว่าตรงนี้ก็คือจุดที่ข้ารู้สึกได้ว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ตอนที่ข้ามาเดินเล่นก่อนหน้านี้” เจ้าเต่าน้อยตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน

“ขุมทรัพย์?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง

“ก็ใช่น่ะสิ หากไม่เพราะนายท่านเต่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็คงไม่มาปลุกเจ้าคางคกใหญ่นี่หรอก น่าเสียดายคราวก่อนในท้องจระเข้สีทองนั่นก็มีสมบัติซ่อนเอาไว้เหมือนกัน ทำไมมันถึงไม่เขมือบเจ้าเข้าไปนะ” เจ้าเต่าน้อยถอนหายใจ จากนั้นก็เอ่ยเร่งเร้าอีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนขัดอกใจขัดใจ มองผนังก้อนเนื้อที่อยู่ตรงหน้า ทำได้เพียงกัดฟันโคจรตบะตลอดร่าง ขณะเดียวกันกับที่พลังมหาสมุทรวิญญาณของเขาระเบิดออก ด้านหลังของเขาก็มีร่างปีศาจฟ้าปรากฏ เวลานี้ตบะทั้งหมดของเขาไต่ไปถึงจุดสูงสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามต่ำหนึ่งครั้ง มือขวาเคลื่อนไหวรวดเร็วประดุจสายฟ้า วินาทีที่ยื่นออกมา นิ้วโป้งและนิ้วชี้โค้งงอเป็นทรงกลม และนั่นก็คือตรวนสลายลำคอที่ยื่นตรงไปยังผนังก้อนเนื้อด้านหน้าแล้วบีบลงไปอย่างแรง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ผนังก้อนเนื้อเกิดเป็นรอยปริแตกหนึ่งรอย ขณะเดียวกันร่างของเจ้าคางคกเฒ่าก็สั่นเยือก คล้ายเกิดการบิดเบือนเล็กน้อย อีกทั้งในร่างของมันก็มีน้ำกรดจำนวนนับไม่ถ้วนก่อเกิดขึ้น พริบตาเดียวก็เทโครมลงมาราวกับห่าฝน

น้ำกรดเหล่านี้ร้ายแรงอย่างถึงที่สุด แต่ละหยดที่ร่วงลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนทำให้เกิดควันสีขาวลอยฟุ้ง ทั้งยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปวดแสบปวดร้อน โดยเฉพาะน้ำกรดรอบด้านที่ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเกือบจะกลายมาเป็นมหาสมุทร หากถึงเวลานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าตัวเองจะยืนหยัดได้นานแค่ไหน เวลานี้ตกใจจนกรีดร้องเสียงแหลม ใช้พลังทั้งหมดโจมตีผนังก้อนเนื้ออย่างต่อเนื่อง

“เร็วๆๆ สู้ๆ!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเก่งมาก เจ้าต้องทำได้แน่!”

“ข้าเป็นกำลังใจให้เจ้าอยู่นะ!!” ขณะที่เจ้าเต่าน้อยร้องโหวกเหวกด้วยความฮึกเหิม ป๋ายเสี่ยวฉุนสุดจะทนจึงตวาดเสียงดังหนึ่งครั้ง

“หุบปาก”

หลังจากพูดจบเขาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน โจมตีอีกครั้ง ในที่สุดก็ค่อยๆ ทำให้รอยปรินั้นแตกกว้างออก มือทั้งคู่ของเขาจึงยื่นพรวดเข้าไปด้านใน แล้วแหวกกระชากออกด้านข้างอย่างแรง

เสียงแควกดังหนึ่งครั้ง รอยปรินั้นก็ขยายออกเป็นทางเส้นหนึ่งที่สามารถมุดลอดเข้าไปได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาให้คิดมาก ตอนนี้ด้านนอกมีน้ำกรดเพิ่มขึ้นมากเกินไป เขาเจ็บร้าวไปทั้งร่างจึงรีบมุดเข้าไปด้านในทันที

ในนั้นเป็นเส้นทางหนึ่งเส้น รอบด้านไม่ใช่ผนังก้อนเนื้ออีกต่อไป แต่ปรากฏให้เห็นเป็นผนังหิน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่รู้สึกประหลาดใจ และก็สัมผัสได้ด้วยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวอย่างข้างนอก กลับกันคือมีกลิ่นหอมเย็นทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก

ขณะที่กำลังแปลกใจ เจ้าเต่าน้อยก็บินพรวดออกมาจากในถุงเก็บของ บินดิ่งออกไปข้างหน้า สีหน้าของมันทั้งตะลึงระคนดีใจ และมากด้วยความฮึกเหิม

“ฮ่าๆ ในที่สุดนายท่านเต่าอย่างข้าก็ได้กลับมาทำอาชีพเดิมอีกครั้งแล้ว ตื่นเต้นจริงๆ ที่นี่ซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่นะ…” ดวงตาทั้งคู่ของเจ้าเต่าน้อยเปล่งประกายวิบวับ เคลื่อนที่รวดเร็วอย่างถึงที่สุด พริบตาเดียวก็ไปถึงปลายทางของเส้นทางแห่งนี้ ซึ่งตรงนั้นมีห้องหินขนาดใหญ่ยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็วิ่งเร็วๆ ตามมา หลังจากมองเห็นห้องหินนี้ เขาก็ตะลึงงันไปทันที ห้องหินนี้ใหญ่พอร้อยจั้ง รอบด้านมีเส้นเนื้อลักษณะเหมือนเส้นหวายสีเขียวแดงจำนวนนับไม่ถ้วนเชื่อมโยงเข้ากับห้องหิน ทอดยาวไปยันเบื้องบน แผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง

เส้นหวายเนื้อเขียวแดงเหล่านั้นเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา มองดูแล้วเหมือนว่าได้เชื่อมระโยงระยางไปทั่วในร่างของคางคกเฒ่า

“ในนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น เมื่อก้มหน้าลงจึงมองเห็นว่าจุดศูนย์กลางของห้องหินแห่งนี้มีแท่นหินอยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนมีแผ่นหยกหนึ่งแผ่นและร่มสีดำหนึ่งคันวางเอาไว้

“มีสมบัติอยู่จริงๆ ด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ กลิ่นหอมสดชื่นนั้นลอยมาจากร่ม เขายังไม่ทันได้มองอย่างละเอียด เจ้าเต่าน้อยที่อยู่ด้านข้างก็ตาเป็นประกายกรีดร้องขึ้นมาเสียงแหลมปรี๊ด

“ช่างเป็นวิธีการที่ใหญ่โตยิ่งนัก นี่มันใช้พลังของมหาเวทขั้นสูงบีบบังคับให้สัตว์ตัวนี้ที่เดิมทีสามารถเลื่อนขั้นเป็นราชันย์แห่งสัตว์ถูกควบคุมเอาไว้ ทำให้การเลื่อนขั้นของมันเชื่องช้า ขณะเดียวกันก็ดึงเอาเส้นประสาททั้งหมดของมันมารวมกันไว้ในนี้ ใช้วิธีการที่ไม่ใช่การปิดผนึกแต่กลับเด็ดขาดยิ่งกว่าการปิดผนึกเช่นนี้ควบคุมสัตว์ตัวนี้เอาไว้ ทำให้มันกลายเป็น…ถ้ำสถิตของแท่นบูชาที่สามารถเคลื่อนที่ได้!!”

“นี่เกรงว่าคงเป็นแค่วัตถุกึ่งสมบูรณ์แบบ ต้องเกิดอุบัติเหตุกับเจ้าของถ้ำนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นรอจนเขาสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ สัตว์ตัวนี้ย่อมต้องเลื่อนขั้นกลายมาเป็นราชันย์แห่งสัตว์ ใช้วิธีการเช่นนี้ควบคุมราชันย์แห่งสัตว์ ไม่เพียงแต่ทำให้มันกลายมาเป็นถ้ำที่อยู่ อีกทั้งหลังจากที่ทำให้สัตว์ตัวนี้กลายมาเป็นราชันย์แห่งสัตว์แล้ว ก็ยังนำพลังชีวิตมหาศาลของมันมายืดต่ออายุขัยให้กับตัวเอง…นี่คือ…วิธีการของนักพรตวิถีมารในสมัยบรรพกาล!”

เจ้าเต่าน้อยตื่นเต้น บินไปบินมาอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฟังอยู่ก็ใจสะท้าน เหม่อมองทุกอย่างที่เกิดขึ้น คำพูดของเจ้าเต่าน้อยนั้นเขาฟังเข้าใจ เพียงแต่ว่าหลังจากที่เข้าใจ ในใจของเขาก็ยิ่งสั่นสะเทือนอย่างที่ยากจะพรรณนาได้

“นักพรตในสมัยบรรพกาล? ควบคุมราชันย์แห่งสัตว์…” สำหรับราชันย์แห่งสัตว์นั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน เถี่ยตั้นก็คือสัตว์รบที่มีลักษณะของราชันย์แห่งสัตว์แฝงเร้น ต่อให้ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นราชันย์แห่งสัตว์อย่างแท้จริง ทว่าความสามารถในการควบคุมหมื่นสรรพสัตว์เช่นนั้นก็มากพอจะทำให้สำนักหนึ่งฮือฮาได้

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่อยู่นั้น เจ้าเต่าน้อยได้บินไปบนแท่นหินเรียบร้อยแล้ว มันจ้องเขม็งไปที่แผ่นหยกและร่มสีดำ ประกายในดวงตาทั้งคู่ยิ่งดุเดือด

“เจ้าหนูป๋าย รีบมาดูเร็วว่าบนหยกแผ่นนี้เขียนไว้ว่าอะไร ต้องมีตัวตนของคนผู้นี้เขียนเอาไว้แน่นอน ไม่แน่ว่าอาจมีวิชาสืบทอดอะไรทิ้งไว้ รวยแล้ว คราวนี้รวยแน่แล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา มองแผ่นหยก หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เขยิบเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง สำรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาถึงได้หยิบแผ่นหยกนั้นขึ้นมา หลังจากหลอมรวมพลังวิญญาณในร่างเข้าไป สมองของเขาก็พลันมีเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา

“บรรพบุรุษปรารถนาจะสู้รบ ข้าจึงช่วยเหลือ ศึกนี้มีโอกาสตายมากกว่ารอด ร่มนี้นามว่าราตรีนิรันดร์ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อใดที่สำเร็จพร้อม สามารถกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นฟ้า ข้ามิอาจพกพาไปด้วย ทิ้งไว้ที่นี่ ผู้ใดมีวาสนาจึงได้ครอบครอง

สัตว์นี้อยู่ในพื้นที่เขียวขจี เกิดมาก็ทรยศต่อจิตวิญญาณของตัวเอง อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพลังของคนฟ้าถึงจะกำราบสัตว์ตัวนี้ได้ชั่วคราว หากผู้ที่มาเยือนตบะไม่เพียงพอ สามารถใช้วิธีการที่ข้าทิ้งเอาไว้ ดึงเอาพลังชีวิตของสัตว์ตัวนี้ออกมาเพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับตัวเอง!”

เมื่อเสียงหายไป วิธีการเกี่ยวกับการดูดซับพลังชีวิตของสัตว์ตัวนี้ก็ลอยขึ้นมาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนวางแผ่นหยกลง ยังรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ตอนที่มองไปยังร่มคันนั้น ดวงตาของเขาก็โชนแสงลุกเรือง

“เมื่อเสร็จสมบูรณ์ก็จะกลายมาเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นฟ้า? อาวุธศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ…นั่นมันอาวุธที่เป็นพลังแฝงเร้นของสำนักหนึ่งได้เลย อีกอย่างมันยังเป็นระดับชั้นฟ้าด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น เดินขึ้นไปหยิบร่มสีดำ

วินาทีที่มือของเขาสัมผัสกับร่ม ร่มคันนั้นพลันมีแสงสว่างเปล่งวาบ ทั้งยังมีไอเย็นลอยมาปะทะใบหน้า ทำให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเย็นยะเยียบ ราวกับว่าเลือดตลอดร่างล้วนกลายเป็นน้ำแข็ง ดั่งตกอยู่ในวิกฤตความเป็นความตาย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพอฝืนปรับตัวได้ แต่กลับไม่สามารถเปิดร่มคันนั้นได้ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสง จ้องเขม็งไปยังร่มที่อยู่ในมือแล้วหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง

ทว่าเวลานี้เอง วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบร่มคันนี้ขึ้นมา คล้ายได้ไปเปิดผนึกบางอย่าง ทันใดนั้นตลอดทั้งถ้ำจึงโยกคลอนอย่างรุนแรง เสียงคำรามฮึ่มฮั่มดังลอยมาจากด้านนอก ทั้งยังมีแรงบีบเค้นไร้ลักษ์แผ่กระจายออกไปทั่ว

เวลานี้ราวกับว่าคางคกใหญ่ตัวนั้นสัมผัสได้แล้ว จึงใช้พลังเรือนกายของตัวเองบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนให้แหลกละเอียดไปพร้อมกับถ้ำแห่งนี้!

เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่ว เส้นทางนอกถ้ำพังถล่มทันที น้ำกรดส่งกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนปริมาณมากไหลทะลักเข้ามาในถ้ำ เวลาเดียวกันนั้น ถ้ำแห่งนี้ก็ประคับประคองตัวเองไม่ไหวจึงแตกร้าวต่อเนื่อง เมื่ออยู่ภายใต้พลังบีบเค้นไร้ลักษณ์นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นตลอดร่าง ราวกับถูกภูเขาร้อยลูกกดทับลงมา ขาทั้งคู่สั่นระริก มุมปากมีเลือดสดไหลซึม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!