บทที่ 34 พืชหญ้าถูกกดทับจนบี้แบน
คำพูดของตู้หลิงเฟยทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่มองอยู่หัวเราะขึ้นมาทันที แต่เดิมพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีความรู้เรื่องพืชหญ้าเทียบชั้นกับตู้หลิงเฟยได้
โดยเฉพาะคำพูดสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดออกมา พวกเขาฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าเขาเดาเอาล้วนๆ
“หากป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ดูออกจริงๆ ถ้าเช่นนั้นความรู้ด้านพืชหญ้าในสามเล่มแรกของเขาก็เพียงพอจะเทียบเคียงศิษย์พี่หญิงโจวได้เลย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง!”
“คนผู้นี้จงใจตลบตะแลง ช่างน่ารังเกียจเสียจริง คราวนี้เขาต้องถูกเปิดโปงแน่!”
เห็นว่าฝูงชนรอบด้านเย้ยหยันไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ขมวดคิ้วฉับ
“พวกเจ้าพูดจบหรือยัง” สีหน้าของเขาค่อยๆ เย็นชาขึ้นมาบ้าง เขาโกรธแล้วจริงๆ หากเป็นการประลองยุทธ์เขาไม่มีทางเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีปณิธานว่าจะได้เป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่แล้ว การที่ถูกสงสัยเรื่องความรู้ด้านพืชหญ้า ทำให้เขารู้สึกว่านี่เป็นการเหยียดหยามชนิดหนึ่ง
“พวกเจ้าจะสงสัยว่าข้าโชคช่วยก็ได้ สงสัยว่าข้ามีอาวุธวิเศษเยอะก็ได้ แต่ในด้านความรู้เรื่องพืชหญ้า จงอย่าใช้ความรู้น้อยนิดเท่าหางอึ่งของพวกเจ้ามามองฟ้าดินทั้งหมด!”
หลังจากเสียงที่ของเขาดังออกไป และสีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม ร่างกายผอมแห้งก็สร้างความรู้สึกประหนึ่งเป็นยอดเขาสูงตระหง่านให้แก่ผู้คนโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเย็นชาของเขายิ่งทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกที่กำลังหัวเราะเยาะอยู่ต่างอึ้งงันไป
แม้แต่ตู้หลิงเฟยเองก็ยังอึ้งไปด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้แตกต่างจากก่อนหน้ายิ่งนัก ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“พืชวิเศษต้นนี้ น่าจะเรียกว่าดอกหยินหยาง ด้านในมีรากเงินทอง ใบเทียนหวง หญ้าสุ่ยหลัว ผลจิ่วตี้ เนื้อหลัว เหวิน ดอกเปียนอวิ๋น ผลหันหยาง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เขาในเวลานี้ไม่ได้มีทางท่าน่าเอ็นดูระคนน่ารังเกียจอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว มือของเขาไพล่หลัง มองฝูงชนรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่าค่อยๆ มีพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา
หลังจากคำพูดเขาเปล่งออกมา อำนาจบนร่างกายของเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของแต่ละคนที่อยู่รอบด้านล้วนฉงนสนเท่ห์
โดยเฉพาะตู้หลิงเฟยที่หัวคิ้วขมวดกันแน่น มองพืชวิเศษอย่างละเอียด ชื่อที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยมาเหล่านั้น นางล้วนรู้จักทั้งสิ้น ทั้งหมดมีบันทึกเอาไว้ในพืชหญ้าสามเล่มแรก แต่นางกลับดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามันมีอยู่บนพืชวิเศษต้นนี้ด้วย
“ดูท่าเจ้าจะท่องพืชหญ้าสามเล่มแรกออกมาให้ฟังรอบหนึ่งจริงๆ ทำแบบนี้เจ้าก็สามารถทายถูกได้มากกว่าข้า หากเจ้าสามารถท่องออกมาได้หมดโดยไม่พลาดสักชนิดเดียว เช่นนั้นเจ้าชนะรอบนี้ ข้าก็ยอมแพ้” ตู้หลิงเฟยทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที นางยังคงไม่เชื่ออยู่ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถแยกแยะออกมาได้จริง
“ถูกต้อง หากเจ้ามีความสามารถจริงก็ท่องพืชหญ้าสามเล่มแรกออกมารอบหนึ่ง แบบนั้นก็ถือว่าเจ้าชนะ!”
“แสร้งตบตาคนไปเรื่อย ความรู้น้อยนิดเท่าหางอึ่งอะไรกัน ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่ความรู้น้อยนิด มองไม่ออกก็ยอมรับมาตรงๆ สิ แสร้งยึกยักเล่นลิ้นอยู่นั่น มันยิ่งน่าดูถูก!” ฝูงชนรอบทิศล้วนหัวเราะเย้ยหยัน พูดจาเหน็บแนม
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตู้หลิงเฟยอย่างเย็นชา แล้วก็มองไปยังฝูงชน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ดึงสายตากลับพลางเอ่ยปากเนิบนาบ
“รากร้อยหญ้า สามสิบปีกลายเป็นร้อยหญ้า นำเส้นชีพจรหลักของมันมาอบไฟให้แห้ง เพิ่มน้ำวิเศษเข้าไป ทาบกิ่งไว้บนใบเทียนฮวาง จะกลายเป็นจุดเล็กๆ ตรงส่วนนี้” มีขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ไป ลมระลอกหนึ่งตกกระทบลงบนพืชวิเศษ เผยให้เห็นจุดเล็กมากๆ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ใบไม้หนึ่งใบ
“ใบเทียนฮวาง ทุกๆ เก้าใบจะรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งใบ เติบโตขึ้นมาจากการกลืนกินดอกป๋ายจั๋ว มันอยู่ตรงนี้!”
“ดอกป๋ายจั๋ว หากต่ำกว่าหนึ่งร้อยปีจะไม่กลายเป็นดอกไม้ เมื่อถึงร้อยปีจะผลิดอกออกในชั่วพริบตา ภายในร้อยลมหายใจต้องเอาไปทาบกิ่งบนโสมสี่ใบทันที ก็จะสามารถบำรุงใบเทียนฮวางได้ ดอกไม้สีขาวดอกนี้ ก็คือป๋ายจั๋ว!”
“โสมสี่ใบ ใช้ไฟวิเศษย่างให้ร้อน ทำให้ใบของมันเหี่ยวเฉา หลอมรวมเข้ากับตัวโสม สามารถกระตุ้นการเติบโตของผิงเป้ยจื่อ หลอมรวมมันให้กลายเป็นหนึ่งเดียว!”
“ส่วนผิงเป้ยจื่อ…” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนราบเรียบ เมื่อพูดออกมาแต่ละประโยคก็จะชี้ลงไปบนร่องรอยการทาบกิ่งที่หาพบบนพืชวิเศษนั้นด้วย อธิบายละเอียดยิบ แม้แต่วิธีการก็ยังพูดออกมา ฝูงชนรอบทิศที่แรกเริ่มยังมีสีหน้าเย้ยหยัน ความเย้ยหยันนั้นก็ค่อยๆ หายไป แต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่เป็นระยะ จนถึงท้ายที่สุดลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่โดยรอบทุกคนล้วนเผยสีหน้ายากจะเชื่อออกมา แถมยังมีบางคนถึงขั้นร้องเสียงหลง
“เป็นไปไม่ได้!!”
“สวรรค์ เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง!”
คำพูดทุกประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดังสะท้อนไปมา ล้วนราวกับเป็นมือที่มองไม่เห็นพุ่งตรงเข้าไปตบร่างกายของคนเหล่านี้ ฝูงชนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนเป็นศิษย์โอสถ ความลับบนพืชวิเศษที่ก่อนหน้านี้พวกเขามองไม่ออก แต่ตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอธิบายอย่างละเอียดยิบ พวกเขาก็ล้วนดูออกในทันทีทันใด
สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไม่มีสิ่งใดผิดสักนิด ถูกต้องทั้งหมด กลายเป็นว่าเขาเพียงคนเดียวก็ตบหน้าลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้!
‘ความรู้ด้านพืชหญ้าของป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ ถึงขั้น…อยู่ในระดับที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้เชียว!!’ ในใจของศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้นสั่นสะท้านกันอยู่นานแล้ว คำเย้ยหยันก่อนหน้า ในเวลานี้กลายมาเป็นความปวดแสบปวดร้อนที่ทิ่มแทงบนใบหน้าตนเอง
ที่ยิ่งทำให้พวกเขาหวาดผวาก็คือ วิธีการแนะนำแบบนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นได้ชัดว่าเป็นการอนุมานย้อนกลับ จากพืชวิเศษที่ทาบกิ่งเรียบร้อยแล้ว อนุมานย้อนไปยังวิธีการทาบกิ่งโดยตรง การอนุมานแบบย้อนกลับเช่นนี้จำเป็นต้องมีความรู้ด้านพืชหญ้าระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึงจะสามารถทำได้
“นี่…นี่คือการอนุมานแบบย้อนกลับ เขา…ความเข้าใจที่เขามีต่อพืชหญ้า มีถึงระดับนี้เชียว…”
“เป็นศิษย์โอสถ แต่สามารถอนุมานย้อนทวนพืชวิเศษที่ท่านผู้นำเป็นผู้เพาะปลูกได้ นี่…นี่…” แม้แต่ผู้เฒ่าซุนเองก็ยังเบิกตากว้าง แฝงเร้นไว้ด้วยความคาดไม่ถึง
นัยน์ตาหลี่ชิงโหวเปล่งแสงเข้มข้น ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้เขาเองก็รู้สึกยากจะเชื่อได้
สีหน้าตู้หลิงเฟยซีดเผือดลงทันที ร่างกายโซเซถอยหลัง ด้วยความรู้ด้านพืชหญ้าที่นางมี พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตระหนักรู้ขึ้นมาได้ทันที ถึงขั้นที่มีหลายครั้งยังรู้สึกไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางสุดจะทานทนได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ เขาไม่ได้ใช้วิชาคาถาใดๆ แต่อาศัยคำพูดจากปากของตนเอง อาศัยความเข้าใจที่เขามีต่อพืชหญ้า คำพูดแต่ละประโยคนั้นดั่งอาวุธวิเศษที่ทำให้ตู้หลิงเฟยมิอาจต่อกรได้ รู้สึกได้เพียงเสียงดังสนั่นในหัวสมอง ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ต้องถอยหลังติดต่อกัน หน้าก็ยิ่งเผือดสีลงเรื่อยๆ
“ฮั่วปั้นเซี่ย จิ่วเหยียนเทียน ทำให้พืชวิเศษนี้ถูกตากทิ้งไว้ระหว่างฟ้าดินได้โดยที่ไม่ตาย หลอมรวมเข้ากับผลปั้นเซี่ย ออกมาเป็นดอกเฮยโถว! นี่คือพืชวิเศษต้นสุดท้ายที่ข้าดูออก” ผ่านไปครึ่งก้านธูปป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพูดประโยคสุดท้ายจบ หลังจากสายตาดุจสายฟ้าของเขากวาดมองฝูงชนรอบหนึ่งแล้ว ก็ตวัดมองมายังตู้หลิงเฟย
“ศิษย์พี่หญิงตู้ สหายร่วมสำนักทุกท่าน วิถีของพืชหญ้านั้นล้ำลึกมหาศาลไม่มีสิ้นสุด หากไม่ขวนขวาย ความรู้เรื่องพืชหญ้าของพวกท่านก็จะหยุดนิ่งเพียงเท่านี้ ในเมื่อพวกท่านเรียกร้องให้ข้าท่องพืชหญ้าสามเล่มแรกออกมาหนึ่งรอบ เรื่องแค่นี้จะไปยากอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้า สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ยืนอยู่ตรงนั้นท่องออกมาทีละชื่อ
“ไผ่เหมันต์วิเศษ…”
“ผลมังกรดิน…”
“รากน้ำหมึก…” เขาเอ่ยปากเสียงดัง สีหน้าเรียบเฉย จากเสียงที่ท่องออกมาไม่หยุด เสียงรอบด้านก็เงียบลง มีเพียงเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ดังสะท้อนไปมา ราวกับว่าหลังจากที่ตบหน้าทุกคนไปทีหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยกมือขึ้นมาอีกครั้งแล้วตบลงไปเป็นครั้งที่สอง
คนรอบด้านที่ได้ยินก็ค่อยๆ รู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ล้วนแต่สูดลมหายใจอย่างอดไม่ได้ บางคนถึงขั้นรีบหยิบแผ่นหยกพืชหญ้าขึ้นมาเทียบไปด้วย และพวกที่เอาตำรามาเทียบดูเหล่านั้น แต่ละคนก็ค่อยๆ ตัวสั่น ความหวาดผวาในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
สีหน้าของตู้หลิงเฟยยิ่งซีดขาว ร่างกายถอยหลังไปอีกครั้ง เมื่อมองไปยังป๋ายเสียวฉุนก็ราวกับเห็นผี
ก่อนหน้านี้นางต้องการประชดถึงได้พูดไปเช่นนั้น ในความเป็นจริงแล้วนางยังไม่เคยเจอคนที่สามารถท่องพืชหญ้าสามหมื่นชนิดออกมาได้เช่นนี้มาก่อน เรื่องแบบนี้สำหรับนางแล้วเป็นสิ่งเหลือเชื่อ หากมีคนทำได้จริง ถ้าเช่นนั้นความรู้ด้านพืชหญ้าของคนๆ นี้ก็ถือว่าสยบสวรรค์ได้แล้ว
เวลาผันผ่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนท่องออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามก็ท่องได้รวดเดียวหมด ตลอดหนึ่งชั่วยามนี้สำหรับผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้วไม่รู้ว่าผ่านกันมาได้อย่างไร พวกเขาทุกคนแทบจะหยิบเอาแผ่นหยกออกมาเทียบไปด้วยแล้ว
จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนพูดชื่อพืชหญ้าต้นสุดท้ายจบ หลังจากที่ฝูงชนพากันเงียบกริบเหมือนตายไปแล้วก็ระเบิดเสียงฮือฮาสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา ดังสนั่นไปรอบด้าน ถึงขั้นที่ว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่นอกสนามจำนวนไม่น้อยก็ยังได้ยินเสียงแว่วๆ ด้วย
“สวรรค์…ไม่ผิดเลยสักอันเดียว ถูกทั้งหมดเลย นี่…มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือนี่!!”
“พืชหญ้าสามหมื่นชนิดเต็มๆ…ความรู้ด้านพืชหญ้าของป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้มาถึงระดับสะเทือนฟ้าได้ขนาดนี้แล้ว เขา…เขาอยู่บนป้ายศิลาพืชหญ้าอันดับที่เท่าไหร่?”
“ความรู้ด้านพืชหญ้าของตู้หลิงเฟยเมื่อเทียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินดีๆ นี่เอง!”
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของฝูงชน ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุน ความขมขื่นในใจพุ่งสูงถึงขีดสุด ต่อให้เป็นการประลองยุทธ์ก่อนหน้านั้นนางก็ยังไม่รู้สึกถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้ในด้านความรู้ลึกซึ้งเรื่องพืชหญ้า สามารถพูดได้ว่านางถูกกดทับเสียจนบี้แบน
ให้อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่มากับดวงและพกเครื่องป้องกันมาเสียมากมายคนนี้ จะมีความรู้ลึกซึ้งเรื่องพืชหญ้าถึงระดับที่ไม่ว่าตนเองจะแหงนมองยังไงก็มองไม่เห็นแล้ว
แรงจู่โจมเช่นนี้ทำให้นางหัวเราะสมเพชตนเองหนึ่งที โยนธูปหลิงอวิ๋นออกมาแล้วหมุนตัวรีบเดินจากไป ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกแย่มากเท่านั้น
เมื่อตู้หลิงเฟยจากไป ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่รอบด้านก็กระอักกระอ่วนกันขึ้นมา ทุกคนล้วนประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนจากที่ไกลๆ แล้วรีบจากไปเช่นกัน สามารถนึกภาพออกเลยว่าความสะเทือนใจของพวกเขาในเวลานี้จะคงอยู่ต่อไปอีกแสนนาน
ไม่นานพวกลูกศิษย์ก็พากันกลับไปเยอะแล้ว เหลือเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ เขาไอแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้ตนเอง…ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย จึงรีบเก็บธูปหลิงอวิ๋นแล้วหันไปมองหลี่ชิงโหวด้วยความระมัดระวังหนึ่งที
“ศิษย์…ไปก่อนนะขอรับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพลางรีบก้าวถอยหลังไปด้วย แผล็บเดียวก็วิ่งหายไปจนไม่เห็นเงา
บนเวทีประลองยุทธ์ ผู้เฒ่าซุนมองตามเงาหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนไป ในดวงตายังหลงเหลือความตื่นตะลึง
“ท่านผู้นำ เด็กคนนี้…ไม่ธรรมดา!” ผู้เฒ่าซุนเอ่ยปากเสียงเบา
หลี่ชิงโหวเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความสุขใจ สะบัดปลายแขนเสื้อกว้างหนึ่งทีแล้วเดินไปทางยอดเขา
———-