บทที่ 350 เจ้าโกหก!
ลูกศิษย์บางส่วนที่เดินผ่านพลันชะงักฝีเท้า หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายรัก…อย่างแท้จริง!
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับจดหมายรัก สายตาแต่ละคนจึงเผยแววอวยพร และยังมีลูกศิษย์ชายบางส่วนที่แสดงออกว่าอิจฉาอย่างมาก
มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระริก มองจดหมายรักในมือ ใจเขาเต้นระรัวไม่สงบสุข ลมหายใจของเขาหอบหนัก ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างอยู่ตลอดเวลา ตื่นเต้นไร้คำบรรยาย
“นี่คือจดหมายรักฉบับแรก…ที่ข้าได้รับมาในชีวิตนี้! ก่อนหน้านี้เคยได้รับแต่จดหมายท้ารบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจจนแทบน้ำตาไหล เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นใช้สายตาถ่ายทอดอารมณ์ลึกล้ำของตัวเองมองไปยังแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นที่หลังจากมอบจดหมายให้ตนเสร็จก็วิ่งลนลานห่างไปไกลราวกับกระต่ายน้อยๆ ตัวหนึ่ง
“แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าชื่ออะไร ทว่า…จดหมายนี้เป็นจดหมายรักฉบับแรกที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับ ข้าจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เพื่อที่ภายภาคหน้า ลูกหลานของข้าจะได้ชื่นชมกับบุคลิกที่มีเสน่ห์น่าประทับใจของบรรพบุรุษพวกเขาในอดีต!”
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอย่างถึงขีดสุด ความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกันกับสำนักสยบธารพลันบรรลุสู่จุดสูงสุด
“ข้ารักสำนักสยบธาร ข้ารักสหายร่วมสำนักทุกคน…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนประทับใจ ปรับลมหายใจของตัวเองอยู่นานกว่าจะทำให้อารมณ์สงบลงได้
เขาค่อยๆ เก็บจดหมายรักฉบับนี้เข้าไปไว้ในถุงเก็บของด้วยความระมัดระวังและทะนุถนอม จากนั้นถึงได้เชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง ขณะที่กำลังจะพูดอะไรสักหน่อย ทันใดนั้น…
จากจุดที่ห่างออกไปไกล มีลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬอีกคนหนึ่งกัดริมฝีปากล่างคล้ายต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก นางเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว หลังจากมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกศิษย์หญิงผู้นี้ก็ก้มหน้าลงต่ำ ใบหน้าแดงก่ำ วางจดหมายไว้ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง…เหม่อมองจดหมายฉบับที่สองที่อยู่ในมือ บนนั้นไม่ได้วาดรูปหัวใจ แต่เป็นรูปคนตัวเล็กๆ สองคนจับมือกัน…
ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่อึ้งงัน ลูกศิษย์รอบด้านที่กำลังมองเรื่องสนุกต่างก็เปล่งเสียงอุทานอย่างคาดไม่ถึง
“บุรพาจารย์น้อยได้รับจดหมายรัก…เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ แต่ที่น่าตกใจคือได้รับติดกันถึงสองฉบับ!”
“อ๋าๆๆ ข้าสวีเสี่ยวซานรูปลักษณ์สง่างามน่าหลงใหล ทำไมถึงไม่มีใครให้จดหมายรักกับข้าบ้าง!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนมากมายรอบด้าน มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระริก เงยหน้าแผดเสียงคำรามยาว นัยน์ตาของเขาคล้ายมีผลึกใสเปล่งประกายวิบวับ ร่างของเขาสั่นเทา ใจของเขาอาบย้อมไปด้วยความซาบซึ้งใจอย่างลึกล้ำอยู่นานแล้ว
“นี่คือจดหมายรักฉบับที่สอง…ที่ข้าได้รับในชีวิตนี้ ไม่นึกเลยว่า วันนี้…ข้าจะได้รับจดหมายทีเดียวถึงสองฉบับ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ เขาพยายามรักษาลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ เงยหน้าขึ้นมองเงาร่างของหญิงสาวที่มอบจดหมายให้ซึ่งจากไปไกลแล้ว เขาซาบซึ้งตรึงใจอย่างยิ่งยวด
หลังจากเก็บจดหมายรักฉบับนี้ลงไปอย่างทะนุถนอมอีกครั้ง ดวงตาของ
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ข้าจะเห็นแก่ตัวแบบนี้ไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่ข้าได้กลายเป็นบุรพาจารย์น้อยของสำนัก ตัวข้าก็ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป ข้าเป็นของทั้งสำนัก ข้าเป็นของสหายร่วมสำนักทุกคน แล้วก็รวมไปถึงลูกศิษย์หญิงทุกคนด้วย!” บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ มีกลิ่นอายของความยุติธรรมแผ่ออกมา ดวงตาเขาเป็นประกายระยิบระยับ ล้มเลิกความคิดที่จะไปหาซ่งจวินหว่าน แต่พกพาเอาความศรัทธา เดินขึ้นไป…บนเทือกเขาอันเป็นที่ตั้งของสายธาราทมิฬ
เดินไปตามทางได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีลูกศิษย์หญิงคนที่สามปรากฏตัว นางวิ่งเร็วๆ เข้ามาหา หอบหายใจหนักหน่วง แล้วโยนจดหมายรักฉบับหนึ่งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความขวยเขิน
จากนั้นก็ตามมาด้วยคนที่สี่ คนที่ห้า คนที่หก…
และเวลาเพียงแค่สองสามชั่วยาม ท่ามกลางความซาบซึ้งใจของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระเบิดออกครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ได้รับจดหมายรักมาหลายสิบฉบับ ทุกฉบับล้วนเขียนด้วยมือ ทุกฉบับล้วนอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกลึกล้ำ
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกลูกศิษย์ที่ติดตามมาโหวกเหวกเสียงดังทันที
“สวรรค์ มาอีกคนหนึ่งแล้ว!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมมีแต่คนเอาจดหมายรักมาให้ นี่ๆๆ…”
“ลูกศิษย์หญิงพวกนี้ตาบอดไปแล้วหรือไร แม้ว่าข้าจะไม่ใช่บุรพาจารย์น้อย แต่ข้าก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหมือนกันนะ!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งค้างไปเหมือนกัน จดหมายรักฉบับแรกๆ เขายังรู้สึกตื่นเต้น ทว่าตอนนี้ได้รับจดหมายรักหลายสิบฉบับ เขาก็เริ่มรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว
เขามองลูกศิษย์หญิงคนแล้วคนเล่าวิ่งมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ และจากไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ อารมณ์ในใจของเขาขึ้นๆ ลงๆ ประดุจมีคลื่นยักษ์ถาโถม
“ข้า…ข้าดีเลิศขนาดนั้นเชียวหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มตาลาย
พอถึงท้ายที่สุด เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปจากเทือกเขาสายธาราทมิฬ ระหว่างทางที่เดินผ่านเทือกเขาของสายธาราโอสถ นึกไม่ถึงว่าจะยังมีลูกศิษย์หญิงของสายธาราโอสถวิ่งออกมาหลายคน ซึ่งทุกคนต่างก็มอบจดหมายรักให้เขาด้วยท่าทีเขินอาย
แถมลูกศิษย์หญิงหนึ่งในนั้นยังมีความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร นางหลอมยาเม็ดหนึ่งมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน และบนยาเม็ดนั้นก็สลักตัวอักษรไว้แน่นขนัดไปหมด…
จนกระทั่งช่วงสายันห์ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กลับมาถึงเขาสยบธาร ตลอดทางที่เดินมาเขาหน้ามืดตาลาย มีความรู้สึกเหมือนว่าความสุขมาเยือนกะทันหันเกินไปจนตนตั้งรับไม่ทัน
“ต้องเป็นเพราะข้ายอดเยี่ยมเกินไปแน่ๆ ฮ่าๆ นี่แหละที่เรียกว่าเสน่ห์ ข้ารู้อยู่แล้ว มีเพียงคนที่มีเสน่ห์ไร้ขีดจำกัดเท่านั้นถึงจะได้ดื่มดำไปกับความสุขเช่นนี้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มตาลอยกลับเข้ามาในถ้ำ พอนั่งลงขัดสมาธิเขาก็อดไม่ไหวรีบหยิบเอาจดหมายรักทั้งหมดที่ได้รับวันนี้ออกมา แล้วไล่อ่านไปทุกตัวอักษรอย่างละเอียด
ระหว่างที่อ่านเขาก็คล้ายมองเห็นลูกศิษย์หญิงหน้าตางดงามคนแล้วคนเล่ามายืนอยู่ด้านหน้าตัวเอง บอกรักตนด้วยความเขินอาย…
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้ม ใบหน้าแดงแปร๊ด อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ เป็นลูกคลื่นทั้งคืน จนกระทั่งจดหมายรักทุกฉบับถูกเขาอ่านไปแล้วฉบับละหลายรอบ ท้องฟ้าด้านนอกก็สว่างโร่แล้ว
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ฟ้าสว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกพรวดขึ้นยืน ใบหน้าเปล่งประกายสดใสมีชีวิตชีวา หลังจากจัดระเบียบอาภรณ์เรียบร้อยก็รีบเดินออกไปจากถ้ำ ทว่าเพิ่งจะออกมาก็รีบถอยกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครุ่นคิดดูแล้วจึงฉวยเอาชุดบุรพาจารย์น้อยของตัวเองมาสวมลงบนร่าง
อาภรณ์ชุดนี้หรูหราอย่างมาก บนผ้าไหมสีฟ้าธารน้ำคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยคลื่นน้ำที่แผ่กระจายออกมารอบด้าน ขณะเดียวกันด้านบนนั้นก็ปักรูปมังกรทองห้าตัว สมจริงราวกับมีชีวิต เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวเดิน มังกรเหล่านั้นก็คล้ายรัดพันอยู่บนร่างของเขา ทั้งยังปล่อยแสงมหัศจรรย์ ทำให้มองแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนดูองอาจสง่างามอย่างมาก
อาภรณ์ชุดนี้เดิมทีเตรียมไว้สำหรับงานพิธีใหญ่เปิดสำนักเมื่อครั้งก่อน
ป๋ายเสี่ยวฉุนสวมแค่เจ็ดวันก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก ทว่าตอนนี้หลังจากที่เขาเอามาสวมอีกครั้งแล้วหยิบกระจกส่องดูตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองในเวลานี้หล่อเหลาผิดปกติ ดูดีจนไม่มีใครเทียบเคียงได้ จึงแหงนหน้าหัวเราะร่า พุ่งออกไปข้างนอกด้วยความฮึกเหิม
ตลอดทั้งวันเขาจะต้องรักษาท่าเชิดคางน้อยๆ เดินไปทั่วสี่สายในสำนัก การแต่งตัวเช่นนี้ดึงดูดความสนใจจากลูกศิษย์สำนักสยบธารได้ทันที และเรื่องจดหมายรักของเมื่อวานที่พอผ่านการบ่มตัวมาหนึ่งคืนก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป มีคนไม่น้อยได้ยินเรื่องนี้ แถมวันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังแต่งตัวแบบนี้ออกมาให้เห็น ทุกคนจึงมีสีหน้าเหยเก
พวกที่มีสีหน้าปูเลี่ยนเหยเกนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ชาย…ทว่าพวกลูกศิษย์หญิงพอเห็นลักษณะเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดวงตาเปล่งประกายวิบวับ
ดังนั้น…ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบอย่างตื่นเต้นว่ามีคนเอาจดหมายรักมามอบให้ตนอีกครั้ง สายธาราทมิฬ สายธาราโอสถ หรือแม้แต่ลูกศิษย์หญิงสายธาราโลหิตก็ยังพากันปรากฏตัวเอาจดหมายรักมามอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุน
ภาพนี้โจมตีผู้คนรอบด้านที่เฝ้ามองเหตุการณ์อีกครั้ง โดยเฉพาะลูกศิษย์ชายเหล่านั้นที่ยิ่งถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน
“นี่…นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
“สวรรค์ สองวันมานี้บุรพาจารย์น้อยได้รับจดหมายรักพอร้อยฉบับแล้วนะ!!”
“บ้าไปแล้ว บ้ากันไปหมดแล้ว…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคัก พยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถ ให้ตัวเองรักษารอยยิ้มที่เขาคิดว่าอบอุ่นอ่อนโยนที่สุดเอาไว้ ส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับลูกศิษย์หญิงทุกคนที่เอาจดหมายรักมาส่งให้
โดยเฉพาะตอนที่เดินอยู่ในกลุ่มคนแล้วได้ยินเสียงฮือฮารวมไปถึงเสียงซุบซิบด้วยความอิจฉาจากคนรอบด้าน ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริงร่าประหนึ่งมีดอกไม้ผลิบาน หลายวันติดกันหลังจากนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนทำแบบนี้ทุกวัน ตอนกลางคืนอ่านจดหมายรัก ตอนกลางวันเดินเตร่คอยรับจดหมาย เรื่องนี้ยิ่งแพร่ออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงสุดท้ายก็แพร่ไปทั่วทั้งสำนัก
นักพรตแทบทุกคนล้วนได้ยินเรื่องนี้ สำหรับเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับความโปรดปรานจากลูกศิษย์หญิงจำนวนมากในสำนัก ต่างคนต่างมีความคิดต่างกันออกไป
แทบทุกหัวข้อสนทนาล้วนเกี่ยวข้องกับป๋ายเสี่ยวฉุน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ได้ยินทุกวัน พวกสวีเป่าไฉ จางต้าพั่งก็ยิ่งอิจฉาอย่างถึงที่สุด หรือแม้แต่โหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านก็ยังได้ยินเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าหญิงสาวทั้งสองคนต่างก็มีสีหน้ามืดคล้ำ เหมือนโกรธมาก
“สามร้อยเจ็ดสิบเอ็ดฉบับ!! ฮ่าๆ นี่แค่ไม่กี่วันเองนะ แค่นี้ข้าก็ได้รับจดหมายรักมาตั้งสามร้อยเจ็ดสิบเอ็ดฉบับแล้ว!!” ขณะที่คนนอกต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันครึกโครม ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ในถ้ำ มองกองจดหมายรักตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ข้า…ข้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเคลิบเคลิ้มหลงใหล ขณะเดียวกันก็ลำพองใจอย่างถึงที่สุด เขายกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง หยิบเอากระจกทองแดงออกมาส่องตัวเอง ยิ่งส่องยิ่งปลดปลง รู้สึกว่าควรต้องหาคนมาแบ่งปันความรู้สึกเสียหน่อย
“กระจกทองแดง เจ้าว่าตลอดทั้งในสำนักสยบธารนี้ ใครคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด!”
เย่จั้งตัวปลอมที่อยู่ในกระจกทองแดงพอได้ยินประโยคนี้ก็รีบแสร้งทำเป็นหมดสติต่อ หลายวันมานี้เขาได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว เขาหวาดกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก ไม่กล้าตอบออกไป กลัวว่าหากตัวเองพูดไม่เข้าหูจะถูกอีกฝ่ายลงโทษ
“อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าฟื้นแล้ว กระจกทองแดง เจ้าจะพูดหรือไม่พูด!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา คำรามต่ำๆ หนึ่งประโยค ทำเอาวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมตกใจจนรีบตื่นขึ้นมา เผยใบหน้าประจบเอาใจอยู่ในกระจก รีบเอ่ยปากรัวเร็ว
“นายท่าน ท่านก็คือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสำนักสยบธาร!!”
“เจ้าโกหก!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขึงตาใส่ ตวาดกลับด้วยความโมโห
เย่จั้งตัวปลอมพอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดใส่ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ โดยเฉพาะเวลานี้ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายจะมีสีเลือดปรากฏ ลักษณะท่าทางดุดันอย่างมาก ทำให้เย่จั้งตัวปลอมกรีดร้องครวญคร่ำรำพันขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ได้โกหก ข้า…ข้าสาบาน ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้โกหกเลยสักนิดเดียว ท่านคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดๆๆ ของตลอดทั้งแผ่นดินใหญ่ทงเทียน ไม่มีใครเทียบเคียงได้อีกแล้ว!!” เย่จั้งตัวปลอมใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ กลัวว่าตัวเองจะพูดช้าเกินไป
“จริงหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยน้ำเสียงแคลงใจ
“จริงแท้แน่นอน!!” ในที่สุดเย่จั้งตัวปลอมก็เข้าใจความต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงพูดอย่างมาดมั่นเด็ดเดี่ยวไร้ซึ่งความลังเลใจใดๆ อีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง ใบหน้าเผยความพึงพอใจ วางกระจกลง หลังจากอ่านจดหมายรักที่อยู่ด้านหน้าต่อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดระบายความรู้สึกออกมา
“พอพูดแบบนี้ข้าก็เข้าใจแล้วล่ะ มิน่าถึงได้มีศิษย์น้องหญิงมากมายชื่นชอบข้า ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”