บทที่ 359 อาศัยคนมากรังแกคนน้อย
มองเห็นภาพนี้ เสียงเซ็งแซ่จึงพลันดังขึ้นจากนอกตำหนักใหญ่บนยอดเขาแล้วกระจายไปทั่วทิศทันที ลูกศิษย์สำนักสยบธารแต่ละคนที่อยู่รอบด้าน ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ประหนึ่งมองเห็นเทพเจ้า
โดยเฉพาะลูกศิษย์สายธาราโลหิตที่มีคนไม่น้อยแทบจะน้ำตาไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยประสบพบเจอ
คนส่วนใหญ่ของสายธาราเทพก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก สายธาราทมิฬ ตอนที่อยู่ในสนามรบก็มีคนไม่น้อยที่เคยถูกผู้ติดตามของกลุ่มป๋ายเสี่ยวฉุนเล่นงานด้วยวิธีนี้มาก่อน…
ทางฝ่ายลูกศิษย์สายธาราโอสถ ดวงตาแต่ละคนเปล่งประกายวิบวับ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวของป๋ายเสี่ยวฉุนเกี่ยวกับการหลอมยามาก่อน ตอนที่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนฟังเรื่องตำนานเทพเจ้า บัดนี้พอได้เห็นกับตาตัวเอง สายตาที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนลูกศิษย์สำนักธารอันตและสำนักธารมรรคา เวลานี้ต่างก็หน้าตาตื่น ร้องอุทานเสียงหลง แต่ละคนรีบสลายตัวกันออกห่างอย่างรวดเร็ว กลัวว่าจะโดนควันดำนั้น ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาบังเกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”
“สวรรค์ นี่คือยาอะไร เหตุใดถึงได้น่ากลัวขนาดนี้!!”
“โลกใบนี้มียาแบบนี้ดำรงอยู่ด้วยหรือนี่ ขนาดนักพรตรวมโอสถ…ก็ยังยืนหยัดไม่ได้นานนัก ยานี่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!!”
ลูกศิษย์ของสองสำนักนี้ โดยเฉพาะลูกศิษย์หญิง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เผยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งคิดลึกซึ้งมากเท่าไหร่
ความหวาดกลัวก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น! ต่อให้เป็นลูกศิษย์ชายเองก็ยังรู้สึกไม่ต่างกัน บัดนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมีตบะอะไร ทุกคนล้วนเกิดความกริ่งเกรงในตัว
ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรุนแรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง แบมือสองข้างออกจากกัน พร้อมทั้งยักไหล่ให้นักพรตสำนักธารอันตและสำนักธารมรรคา
“พวกเจ้าก็เห็นว่าพวกเขาบังคับข้า ข้าบอกแล้วว่าพอข้าโกรธขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง แต่พวกเขากลับไม่ยอมฟัง ยังจะรังแกข้าให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วอยู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปที่นักพรตรวมโอสถของสองสำนักแล้วเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้พวกเจ้าอยากจะพูดว่าอะไรนะ?”
นักพรตสองสำนักตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที ลูกศิษย์สร้างฐานรากหลายคนก็ยิ่งถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว เอาตัวออกห่างจากผู้อาวุโสรวมโอสถของสำนักพวกเขา ส่วนนักพรตรวมโอสถของสองสำนักนี้ก็ยิ่งใจหล่นลงดังโครม หลังจากมองเห็นความเอนจอนาถของสำนักธารดาราแล้ว คนทั้งสองจึงรีบเอ่ยปากทันควัน
“ไม่มีอะไร ที่ข้าอยากพูดก็คือสหายนักพรตป๋ายเก่งสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง ช่างเป็นบุคคลที่โดดเด่นยิ่งนัก!”
“ใช่แล้วๆ ต่อไปทุกคนล้วนฝึกบำเพ็ญตบะอยู่ในแม่น้ำตอนกลางก็ควรจะสนิทสนมกันให้มากเข้าไว้ถึงจะถูก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ ลำพองใจอย่างมาก ขณะที่กำลังจะโม้อีกสักสองสามประโยค ทันใดนั้นในตำหนักใหญ่พลันมีเสียงฮึดฮัดเย็นชาดังลอยมา เสียงนี้ดังราวฟ้าผ่า สะเทือนไปยันแปดทิศ และวินาทีที่เสียงฮึดฮัดนี้ดังขึ้นก็มีเงาร่างหนึ่งบินออกมาอย่างรวดเร็ว
นี่คือผู้เฒ่าคนหนึ่ง เส้นผมแดงเพลิงไปทั้งศีรษะ สายตาคมกริบประดุจสายฟ้า พอออกมาได้ก็ตบลงไปบนร่างของลูกศิษย์สำนักธารดาราทุกคน
พวกลูกศิษย์ที่อยู่ในสภาวะควบคุมตัวเองไม่ได้พลันตัวสั่นเยือก จากนั้นก็อ้วกออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ฟื้นคืนสติพร้อมใบหน้าที่ซีดขาว ความอ่อนแอของร่างกายเผยให้เห็นเด่นชัด ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของพวกเขาเลื่อนลอย ทั้งยังมีความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
โดยเฉพาะเฉินอวิ๋นซานที่ยิ่งตัวสั่นเทิ้ม จ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน เขาสาบานอยู่ในใจว่าความอัปยศในวันนี้จะลบล้างไปได้ก็ต่อเมื่อได้สังหารป๋ายเสี่ยวฉุนในวันหน้าเท่านั้น!
แก้ไขความเสียสติของลูกศิษย์ทุกคนได้แล้ว ผู้เฒ่าผมแดงก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชา ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกผู้เฒ่าขึงตาใส่ ในใจคิดว่าอีกฝ่ายตบะสูงกว่ามาก อีกทั้งตัวเองก็มีฐานะสูงส่งด้วย ไม่ควรไปประสานสายตากับเขาเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเป็นการเสียหน้ามากเกินไป ดังนั้นจึงก้มหน้าลง ยกเท้าเตะก้อนหินที่อยู่บนพื้น ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ผู้เฒ่าผมแดงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่ด้วยใบหน้ามืดคล้ำ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเงยหน้าขึ้นแล้วถลึงตากลับอย่างดุดัน จนกระทั่งผู้เฒ่าเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว เขาจึงหันมามองทุกคนที่อยู่รอบด้าน กำลังครุ่นคิดว่าควรจะเข้าไปข้างในหรือไม่ ในตำหนักใหญ่ก็มีเสียงของหันจงดังลอยมาพอดี
“เสี่ยวฉุน เลิกก่อเรื่องได้แล้ว เข้ามา”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบยืดอกตั้งตรง สูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวยาวๆ เข้าไปในตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลูกศิษย์ของสามสำนักล้วนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
เวลานี้ในใจแต่ละคนมีความซับซ้อนต่างกัน แล้วก็ไม่มีอารมณ์หาเรื่องลูกศิษย์สำนักสยบธารต่ออีกแล้ว แต่ละคนหน้าดำคร่ำเครียด คับแค้นใจเป็นอย่างมาก
เพิ่งจะเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ยินเสียงของผู้เฒ่าผมแดงที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่นี้ทันที
“สำนักสยบธาร ไม่ใช่สำนักธารฟ้า ไม่มีเหตุผลใดที่สำนักสยบธารจะได้รับการถ่ายทอดส่วนแบ่งของสำนักธารฟ้า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้งก็มองเห็นว่าในตำหนักใหญ่แห่งนี้ สามบุรพาจารย์หันจง เฟิงเสินจื่อ ชื่อหุนล้วนอยู่กันครบ พวกเขานั่งอยู่บนตำแหน่งประธานด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ สองข้างขนาบด้วยนักพรตเจ็ดแปดคน
ทั้งเจ็ดแปดคนนี้ต่างก็มีตบะก่อกำเนิด ไม่ธรรมดาอย่างมาก นั่งอยู่ตรงนั้นบนร่างของทุกคนล้วนมีคลื่นน่าหวาดกลัวถูกส่งออกมา
“ถูกต้อง ส่วนแบ่งมีน้อยนิดแค่นั้น สำนักก็ต้องพัฒนา ผู้ที่แข็งแกร่งก็ยิ่งต้องแข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอก็ย่อมยิ่งอ่อนแอ โทษใครไม่ได้”
การเข้ามาของป่ายเสี่ยวฉุนดึงดูดสายตาของนักพรตก่อกำเนิดสามสำนักที่นั่งอยู่สองฝั่ง ทว่าพวกเขาก็แค่กวาดตามองทีเดียวเท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก มีเพียงผู้เฒ่าผมแดงคนนั้นที่ในดวงตาฉายประกายดุดัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินขึ้นหน้าไปอย่างเคร่งขรึม มาหยุดยืนอยู่ข้างกายหันจง
“สำนักสยบธารของเราแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างของสำนักธารฟ้า แน่นอนว่าย่อมต้องได้รับส่วนแบ่งของสำนักธารฟ้าด้วย!” หันจงกัดฟันพูด น้ำเสียงแข็งกระด้างแฝงไว้ด้วยความโกรธเคือง
“พี่หัน นี่เป็นกติกาของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลาง ใช่ว่าจะพุ่งเป้ามาที่สำนักสยบธารของเจ้าเป็นพิเศษ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับฟังตาแก่ก่อกำเนิดพวกนี้พูดคุยกัน ไม่นานเขาก็ฟังออกถึงสาเหตุการมาเยือนของสามสำนักในครั้งนี้
ตลอดทั้งแม่น้ำตอนกลางมีสถานที่ลับอยู่แห่งหนึ่งซึ่งจะเปิดออกทุกหกสิบปี ในสถานที่ลึกลับแห่งนี้มีพืชพันธ์วิเศษปริมาณมาก ทั้งยังมีหญ้าวิเศษอายุเป็นหมื่นๆ ปี ซึ่งบางส่วนก็เป็นพืชที่โลกภายนอกแทบจะสูญพันธ์ไปหมดแล้ว คือกุญแจสำคัญในการหลอมยาคนฟ้า
ยาคนฟ้าสามารถช่วยให้นักพรตก่อกำเนิดเพิ่มอัตราความสำเร็จในการเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าชั้นมนุษย์ สำหรับสำนักหนึ่งแล้วจึงมีมูลค่ามหาศาล ยากจะพรรณนาได้
ดังนั้นทุกครั้งจึงมีสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเป็นผู้ไปเก็บเกี่ยว หลังจากเก็บเอาไปเองครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็จะจัดสรรให้กับสี่สำนักใหญ่ และทางเข้าสถานที่ลับแห่งนี้ก็คือพื้นที่ที่มีการสืบทอดตราประทับ นั่นเป็นจุดที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจัดวางเอาไว้
วัตถุประสงค์ก็เพื่อใช้ปิดผนึกสถานที่ลับ ขณะเดียวกันหากสะสมตราประทับสืบทอดนี้ได้ในระดับที่แน่นอน
ยังสามารถได้ทำความเข้าใจกับเวทอภินิหารของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่อยู่ภายในนั้นได้ด้วย ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในวิธีการที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราใช้เลือกลูกศิษย์
ส่วนวิธีการจัดสรรปันส่วน สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ได้กำหนดกติกามาว่าก่อนหน้าที่จะเปิดสถานที่ลับ สี่สำนักใหญ่จะต้องส่งลูกศิษย์เข้าไปยังพื้นที่สืบทอดตรงทางเข้าเพื่อช่วงชิงเอาตราประทับสืบทอดของที่นั่นมา
พื้นที่สืบทอดนี้ ทุกครั้งที่เปิดขึ้นจะมีตราประทับทั้งหมดหนึ่งร้อยส่วน และจะแบ่งสัดส่วนของทรัพยากรในสถานที่ลับตามจำนวนที่ลูกศิษย์ของแต่ละสำนักได้ตราประทับมา
และตอนนี้ก็เพิ่งพ้นจากการเปิดสถานที่ลับครั้งก่อนไปแค่ไม่กี่ปี การแบ่งสัดส่วนของคราวที่แล้ว สำนักธารฟ้าอยู่อันดับสอง ได้ทรัพยากรมาสามส่วน ทรัพยากรเหล่านี้ล้วนอยู่ในคลังสมบัติของสำนักสยบธาร ไม่มีใครแตะต้อง เพราะมันคือกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าของบุรพาจารย์ก่อกำเนิดหลายท่านในสำนักสยบธาร
ทว่าตอนนี้สามสำนักกลับมาเยือนเพื่อให้แบ่งสัดส่วนใหม่ ต้องการให้สำนักสยบธารเอาทรัพยากรเหล่านั้นออกมา ต่อให้มีไม่เพียงพอก็ต้องหามาผสมรวมให้ได้จำนวนเท่าเดิม!
“ทรัพยกรเหล่านั้นเป็นของสำนักธารฟ้า ไม่ใช่ของสำนักสยบธาร หากสำนักสยบธารของพวกเจ้าอยากได้ก็ต้องช่วงชิงเอาเอง!” ผู้เฒ่าผมแดงของสำนักธารดาราเอ่ยอีกครั้ง น้ำเสียงดุดัน จ้องเขม็งไปที่หันจง
ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกขัดจังหวะ เขาขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่นักพรตก่อกำเนิดของสามสำนัก ในใจเข้าใจกระจ่างแจ้ง สำนักธารมรรคาแข็งแกร่งสุด คราวก่อนก็น่าจะได้ที่หนึ่ง ดังนั้นสำหรับสำนักธารมรรคาแล้ว เรื่องนี้ไม่สำคัญอะไร นั่นจึงทำให้พวกเขาแทบจะไม่เอ่ยปากออกมา
ส่วนสำนักธารอันตก็ไม่พูดมากเช่นกัน มีเพียงสำนักธารดาราเท่านั้นที่ร้อนรนมากที่สุด เห็นได้ชัดว่าพยายามผลักดันสุดกำลัง หากอิงตามการวิเคราะห์นี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แน่ใจแล้วว่าผู้ที่ได้อันดับสุดท้ายครั้งก่อนต้องเป็นสำนักธารดาราแน่นอน
ดังนั้นสำนักธารดาราจึงรู้สึกยอมไม่ได้จนต้องมาข่มขู่สำนักสยบธารถึงที่ และเป็นไปได้มากว่าคงรับปากว่าจะให้ผลประโยชน์กับอีกสองสำนักที่เหลือ นั่นจึงทำให้มีการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้น
หรือพูดตรงๆ ก็คือถือโอกาสที่ตอนนี้สำนักสยบธารอ่อนแอ หมายฮุบเอาทรัพยากรส่วนที่ต้องเป็นของสำนักสยบธารไปครอง!
พวกหันจงสามคนพยายามสะกดกลั้นความโกรธอยู่ตลอดเวลา หลังจากมองหน้ากันไปมา ผู้อาวุโสชื่อหุนก็กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเวลานี้เอง ผู้เฒ่าสวมชุดขาวคนหนึ่งของสำนักธารมรรคาที่ก่อนหน้านี้หลับตาเหมือนงีบหลับได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น กล่าวเนิบช้า
“เอาล่ะ เรื่องนี้ตกลงตามนี้ เพราะยังไงซะพวกข้าก็ได้สื่อสารกับทางสำนักเบื้องบนแล้ว เบื้องบนเองก็ตกลงให้ทำตามนี้ แม้สถานที่ลับถูกกำหนดว่าต้องเปิดขึ้นทุกหกสิบปี ทว่าพื้นที่สืบทอดอันเป็นทางเข้า เมื่อพวกเราสามสำนักร่วมมือกันก็สามารถเปิดก่อนกำหนดได้!”
“สหายนักพรตหัน เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?” ผู้เฒ่าชุดขาวมองมาที่หันจง
หันจงเงียบงัน สูดลมหายใจเข้าลึก เขาเข้าใจดี เรื่องนี้เขามิอาจมีความเห็นแตกต่างได้ ตอนนี้สามสำนักร่วมมือกันมาบีบคั้น หากไม่ตกลง เกรงว่าภายหลังคงยังมีเรื่องจุกจิกตามมาอีกเป็นพรวน อีกอย่างในเมื่อสำนักเบื้องบนเห็นด้วยแล้ว สำนักสยบธารก็ย่อม…ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
“คนฟ้า…ขอแค่สำนักสยบธารของเรามีคนฟ้าเกิดขึ้น ทุกอย่างก็จะแตกต่างออกไป!” หันจงกัดฟัน ข่มกลั้นความเดือดดาล พยักหน้าด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้อาวุโสก็ไม่รบกวนแล้ว อีกหนึ่งเดือนให้หลัง พวกเราเจอกันที่สถานที่ลับ!” ผู้เฒ่าชุดขาวยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เจินเหรินก่อกำเนิดของสำนักธารอันตเองก็ยิ้มเย็นชา เดินออกไปจากตำหนักใหญ่เช่นกัน
สุดท้ายคือผู้เฒ่าผมแดงของสำนักธารดารา ก่อนที่จะจากไปเขาชะงักฝีเท้า หันกลับมามองหันจงหนึ่งครั้ง แล้วก็พูดขึ้นคล้ายไม่ใส่ใจ
“อ้อ ใช่แล้ว เมื่อครู่ลืมบอกไป พื้นที่สืบทอดอันเป็นทางเข้าสถานที่ลับมีเงื่อนไขจำกัดอยู่ว่าต้องเป็นผู้ที่รวมโอสถภายในอายุหกสิบปีเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้”
คำพูดนี้ของเขาดังออกมา สีหน้าหันจงสามคนพลันมืดคล้ำทันที