Skip to content

A Will Eternal 37

บทที่ 37 ยกเบาเสมือนหนัก

อันดับหนึ่ง สิบป้ายศิลา!

ภูเขาทั้งสามของชายฝั่งทิศใต้สำนักธาราเทพสั่นสะเทือนอย่างสมบูรณ์แบบ

ในช่วงเวลานี้ทั้งในและนอกหอหมื่นโอสถมีแต่เสียงดังโกลาหลไปทั่วสี่ทิศ คนจำนวนไม่น้อยบึ่งทะยานมายังหอหมื่นโอสถ เมื่อเห็นว่าเจ้าเต่าน้อยอยู่อันดับหนึ่งของป้ายศิลาทั้งสิบ ก็พากันสูดหายใจเฮือก

“อันดับหนึ่งสิบป้าย เจ้าเต่าน้อยนี่ทำได้จริงๆ ด้วย!”

“ครั้งแรกที่สำนักธาราเทพของเรามีคนครองอันดับหนึ่งครบสิบป้ายคือเมื่อพันปีก่อน ไม่นึกเลยว่าในช่วงชีวิตข้าจะได้เห็นภาพแบบนี้ด้วย!”

เสียงแห่งความตกตะลึงในกลุ่มคนดังไม่ขาดสาย ต่อให้ในใจทุกคนมีการคาดการณ์เรื่องแบบนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่พอเกิดขึ้นจริงก็ยังคงสร้างความสั่นสะเทือนได้อยู่ดี โดยเฉพาะสามเดือนสุดท้ายที่แทบจะคว้าอันดับหนึ่งของป้ายได้ติดต่อกันทุกเดือน ความเร็วเช่นนี้เมื่อทุกคนนึกขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็มิอาจเพิกเฉยอยู่อย่างสงบได้

“เจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใครกันแน่…นี่เพิ่งจะแค่ครึ่งปี นับแต่ที่เขาเริ่มจากป้ายศิลาที่สามก็กวาดป้ายที่เหลือมาเสียเรียบราวกับล้อที่กลิ้งทับก็ไม่ปาน เป็นความสำเร็จอันเลื่องลือ!”

“ความรู้ลึกซึ้งเรื่องพืชหญ้าของเขาอยู่เหนือโจวซินฉีอย่างสมบูรณ์แบบ หรือว่าภายภาคหน้านอกจากโจวซินฉีแล้ว เขาเซียงอวิ๋นของเราจะยังมีอาจารย์โอสถปรากฏขึ้นมาอีกคน!”

ในเวลาเดียวกันนี้ ชั่วพริบตาที่ได้เป็นอันดับหนึ่งทั้งสิบป้ายศิลา ป้ายศิลาทั้งสิบล้วนสั่นสะเทือน ส่งเสียงดังเลื่อนลั่น เสียงเหล่านี้เมื่อมารวมเข้าด้วยกันแล้ว ยอดเขาของเขาเซียงอวิ๋นก็เกิดเสียงตีกระถางดังลอยมาเป็นระลอก!

ราวกับว่ามีท่อนไม้มโหฬารตีกระทบกระถางยา เกิดเป็นเสียงกึงๆ ดังสะท้อนไปทั่วเขาเซียงอวิ๋น แพร่ไปทั่วชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของยากระจายไร้รูปเป็นระลอกไปอย่างกว้างขวาง ปกคลุมแปดทิศ ทำให้แม้แต่เมฆหมอกของเขาเซียงอวิ๋นก็ยังรวมตัวกันหนาแน่นอย่างเห็นได้ชัด

บนยอดเขาเซียงอวิ๋น ในถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าโจวกำลังป้อนอาหารวิเศษให้กับสัตว์ปีกวิเศษห้าสีที่เขารักและทะนุถนอม ครั้นได้ยินเสียงกระถางดัง แววตาก็เผยความตกตะลึง

“เสียงกระถางเซียงอวิ๋นรึ?” ญาณของเขาแผ่ซ่านออกไปทันใด และสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนป้ายศิลาทั้งสิบของหอหมื่นโอสถทันที สีหน้ากระตุก ลอยตัวขึ้นในอากาศแล้วจากไป

ที่ตามมาติดๆ คือร่างของผู้เฒ่าซุนซึ่งปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน และยังมีนักพรตขั้นสร้างฐานรากคนอื่นๆ ที่ล้วนถูกเสียงของกระถางดึงดูดให้พากันเดินออกมา ขณะที่มองไป แต่ละคนเผยความตกตะลึงระคนดีใจ

คนสุดท้ายที่ปรากฏตัวคือหลี่ชิงโหว เดิมทีเขากำลังนั่งสมาธิ พอได้ยินเสียงกระถางสีหน้าก็เปลี่ยนเช่นเดียวกัน เมื่อออกมาดูก็แปลงกายเป็นรุ้งเส้นยาวพุ่งทะยานมายังหอหมื่นโอสถทันที

ด้วยเสียงของกระถางที่ดังสะท้อนไปมา ไม่นานคนก็ฮือฮากันมากขึ้น ทั้งเขาเซียงอวิ๋นไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกหรือศิษย์ฝ่ายใน ทุกคนล้วนสั่นสะท้าน พากันเดินออกมาดูและมองไปยังทิศที่ตั้งของหอหมื่นโอสถ

“นี่คือ…เสียงกระถางเซียงอวิ๋นของเขาเซียงอวิ๋นเรา!”

“ในหอหมื่นโอสถ ปรากฏอันดับหนึ่งทั้งสิบป้าย ริเริ่มสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงพันปีมานี้!”

แม้แต่เขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งเอง ในเวลานี้ก็ตื่นตระหนกตกใจเช่นเดียวกัน จางต้าพั่งกำลังก้มหน้า ถูกหญิงสาวข้างกายที่สวยล้ำหยาดเยิ้มสั่งสอน หญิงสาวนางนี้ก็คือยายปีศาจแก่ที่เขาเคยพูดถึงตอนระบายทุกข์ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง เวลานี้หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ได้ยินเสียงกระถางดังแล้ว สีหน้าก็กระตุก เงยหน้าขึ้นมอง จางต้าพั่งเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน เงยหน้ามองไปด้วยความสงสัย

“กระถางเซียงอวิ๋นส่งเสียงดังก้อง หรือว่าในกลุ่มลูกศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋น มีคนบรรลุระดับสมบูรณ์แบบในการทดสอบบางอย่าง?”

ภาพเหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นที่ภูเขาชิงเฟิง พวกผู้เฒ่าทั้งหลายรวมไปถึงท่านผู้นำของเขาชิงเฟิงเองต่างก็หันหน้าไปมอง

ไม่นาน นอกและในหอหมื่นโอสถของภูเขาเซียงอวิ๋นก็มีคนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน ได้ยินเสียงฮือฮาของคนรอบด้าน เมื่อมองไปยังป้ายศิลาทั้งสิบแผ่น เขาไม่ได้ร่วมไชโยโห่ร้องซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยครั้งจะได้เห็น แต่ในใจกลับมีอารมณ์บางอย่างที่พูดไม่ออกเพิ่มขึ้นมา เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ไม่ได้มีความสะใจ ไม่ได้มีความลำพองตน มีเพียงแค่ความซื่อสัตย์และดีใจ

เวลาหนึ่งปีกว่านับตั้งแต่ป้ายศิลาแผ่นแรก การสร้างความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น เป็นอันดับหนึ่งของสิบป้ายได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้คือชื่อเสียงลวง สิ่งที่เขาได้รับมามากที่สุดก็คือความรู้ด้านพืชหญ้าและด้านสัตว์วิเศษที่คนเป็นเด็กโอสถจำเป็นต้องมี ซึ่งบัดนี้เขาเชี่ยวชาญจนท่องจำได้ขึ้นใจ

สามารถพูดได้ว่า เขาได้วางรากฐานที่แน่นหนาซึ่งหาได้ยากยิ่งให้กับตัวเอง เวลานี้พอมาย้อนนึกถึงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา วันคืนมากมายที่ตนเองศึกษาพืชหญ้า ศึกษาสัตว์วิเศษอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง นอกจากปลงอนิจจังแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังอยากสะอื้นไห้

เมื่อเห็นว่าทั้งสำนักธาราเทพที่ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในเองก็ตาม ในด้านพื้นฐานความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าไม่มีใครรู้ลึกรู้จริงยิ่งไปกว่าตนเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็พึงพอใจอย่างมาก

ไม่นาน รุ้งเส้นยาวแต่ละเส้นก็แหวกอากาศมาจากรอบทิศ ในรุ้งเส้นยาวมีร่างคนเผยให้เห็น แต่ละร่างล้วนแผ่คลื่นตบะที่น่าตกตะลึงออกมา ผู้เฒ่าโจว ผู้เฒ่าซุน…หลี่ชิงโหวล้วนอยู่ภายในทั้งสิ้น

พวกเขาล้วนจ้องมองไปบนป้ายศิลาทั้งสิบแผ่น มองเจ้าเต่าน้อยที่อยู่อันดับหนึ่งตัวนั้น ดวงตาแต่ละคนเปล่งประกายสุกใส โดยเฉพาะหลี่ชิงโหว หลังจากที่เขาเห็นภาพเต่าน้อยอันดับแรกคืออึ้งงันไป จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะฮ่าๆ สายตากวาดผ่านฝูงชน เมื่อมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนลึกในดวงตาของเขามีแววชื่นชมยินดีอย่างที่คนนอกมองไม่ออก

เนิ่นนานผ่านไปจึงสะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งครั้ง จากไปพร้อมเสียงหัวเราะ เขาเบิกบานใจอย่างมาก มองปราดเดียวเขาก็เดาออกว่าเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน

หลังจากที่พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นจากไปแล้ว เงาร่างของศิษย์ฝ่ายในก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น มองไปยังเจ้าเต่าน้อย ลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านี้ก็ตกตะลึง พวกเขาล้วนเลื่อนขั้นมาจากการเป็นศิษย์ฝ่ายนอกทั้งสิ้น รู้ดีว่าป้ายศิลาของหอหมื่นโอสถแห่งนี้ มีเพียงตอนอยู่ฝ่ายนอกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ารับการทดสอบได้ ส่วนระดับความยากนั้นก็ยากจนมิอาจบรรยายออกมา

“เป็นศิษย์ฝ่ายนอก สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ต้องเป็นความภูมิใจแห่งสวรรค์แน่…”

“หึ พวกเราเป็นศิษย์โอสถ สิ่งสำคัญคือกลั่นหลอมยาวิเศษ ความรู้ด้านพืชหญ้าต่อให้สูงสักแค่ไหน กลั่นหลอมยาวิเศษออกมาไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์!” ในกลุ่มลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านี้ มีทั้งชื่นชม มีทั้งดูหมิ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาล้วนจดจำเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ได้อย่างแม่นยำ ถึงขั้นที่ว่าในส่วนลึกของจิตใจก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาแล้ว

เพราะถึงแม้ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าอีกฝ่ายจะหลอมยาออกมาเป็นเช่นไร แต่พื้นฐานที่แน่นหนาเช่นนี้ ก็จะทำให้หนทางหลังจากที่ได้เป็นศิษย์โอสถของอีกฝ่ายราบรื่นอย่างยิ่ง

เสียงฮือฮารอบด้านยังคงมีต่อไป จนกระทั่งโจวซินฉีปรากฏตัว ยืนอยู่บนแพรต่วนสีฟ้า ขณะที่นางจ้องมองไปยังเจ้าเต่าน้อยที่อยู่บนป้ายศิลาทั้งสิบ ฝูงชนถึงได้ค่อยๆ เงียบเสียงลง แต่ละคนหันไปมองโจวซินฉี

ความรู้สึกที่ถูกกดทับทุกตำแหน่งบนป้ายศิลาทั้งสิบทำให้นัยน์ตาของโจวซินฉีเผยความไม่ยินยอม ที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่สร้างความรู้สึกซับซ้อนเช่นนี้ให้กับผู้อื่น แต่วันนี้กลับกลายเป็นนางเองที่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้น นางจึงทำได้เพียงแค่เงียบงัน

‘เจ้าเป็นใครกันแน่…’ โจวซินฉีกัดฟัน แม้จะไม่ยินยอม แต่การที่เคยทดลองอยู่หลายครั้ง ทำให้นางเข้าใจว่าความรู้เรื่องพืชหญ้าของเจ้าเต่าน้อยตัวนั้นอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อแล้ว ตอนนี้นางไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่าจะทำได้เหนือกว่า เงียบงันอยู่เนิ่นนาน นางได้จดจำเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจอย่างแม่นยำ

‘ด้านพืชหญ้า เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าจริง ถ้าเช่นนั้นรอให้เจ้ากลายเป็นศิษย์โอสถเมื่อใด บนเส้นทางของการกลั่นหลอมยา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสามารถอยู่เหนือข้าได้ตลอดไป!’ โจวซินฉีสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าค่อยๆ สงบลง นางได้เข้าร่วมการทดสอบจนเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถแล้ว เวลานี้จึงมองไปยังป้ายศิลาเป็นครั้งสุดท้าย พลันหมุนตัวจากไปไกล

‘ที่นี่เป็นเพียงแค่จุดแรกของเส้นทางการเป็นปรมาจารย์โอสถของข้า!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนก็มองป้ายศิลาทั้งสิบเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงหมุนตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นกัน

แรงสะเทือนของอันดับหนึ่งทั้งสิบป้าย อีกหลายเดือนต่อมาก็ยังคงมีคนพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะทุกครั้งที่ฝูงชนมายังหอหมื่นโอสถ มองเห็นเจ้าเต่าน้อยที่อยู่บนป้ายศิลา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งดุเดือด

ขณะเดียวกันผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็ยิ่งตามหากันให้ทั่ว ส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทีที่ยอมสูญเสียทุกอย่างโดยไม่เสียดายขอแค่หาเจ้าเต่าน้อยนี่ให้เจอ โดยเฉพาะชายหนุ่มแซ่เฉียนคนนั้นที่โกรธแค้นอย่างถึงที่สุดก็ได้เข้าร่วมตามหากับเขาด้วย

หลังจากที่ก่อกวนไปทั่วชายฝั่งทิศใต้สำนักธาราเทพแล้ว ขณะที่คนนับไม่ถ้วนพูดคุยถึงเจ้าเต่าน้อยกันอยู่ทุกวี่วัน ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในที่พักของเขา กำลังควบคุมใบไม้ใบหนึ่งเบื้องหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ

เขากำลังศึกษาขอบเขตของการยกเบาเสมือนหนัก ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อครึ่งปีก่อนเขาได้ศึกษาวิถีของขอบเขตนี้เป็นประจำ แต่กลับสัมผัสได้เพียงแค่ผิวเผิน มิอาจผสานรวมเข้าเป็นหนึ่งได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้เรื่องราวของหอหมื่นโอสถสิ้นสุดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าพวกผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีตามหาตนเองอย่างไม่หยุดพัก ในใจรู้สึกถึงภัยอันตราย จึงหลีกเลี่ยงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เริ่มเอาใจและร่างกายจดจ่ออยู่กับขอบเขตยกเบาเสมือนหนัก

“ยกหนักเสมือนเบาคือความเร็ว ยกเบาเสมือนหนัก…คือวิชาการควบคุมอย่างหนึ่ง!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววครุ่นคิด นี่คือสิ่งที่เขาตระหนักรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

“หรือควรพูดว่า การควบคุมนี้ในความเป็นจริงแล้วก็คือการระเบิดของพลังวิญญาณในร่างกายอย่างหนึ่ง!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ ตอนนี้เขาฝึกได้ถึงการรวมลมปราณขั้นที่หก พลังวิญญาณในร่างกายประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ สามารถใช้ความเร็วของขอบเขตยกหนักเสมือนเบาได้ติดต่อกันไม่หยุดพัก สำแดงความเร็วที่น่าตกตะลึงได้แล้ว

เขาตระหนักรู้มานานแล้วว่าขอบเขตทั้งสองนี้ ในความเป็นจริงแล้วก็คือวิธีการใช้พลังวิญญาณในร่างกาย เหมือนการที่ใบไม้ใบหนึ่งกางใบออกแล้วสามารถเกี่ยวเอาไม้ท่อนเล็กๆ ท่อนหนึ่งได้ ถ้าม้วนกลับเข้ามา จะสามารถม้วนกลิ้งหินก้อนเล็กๆ หนึ่งก้อนได้ แต่หากนำมาฉีกออกเป็นเส้นๆ แล้วถักสานเข้าด้วยกัน จะสามารถเหวี่ยงโยนวัตถุที่หนักกว่าเดิมได้

คุณสมบัติเหมือนกัน เพียงแต่วิธีการประกอบแตกต่างกัน ดังนั้นระดับความแข็งแกร่งในการสำแดงอานุภาพจึงไม่เหมือนกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เมื่อโบกมือใบไม้ใบหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลก็บินมา ลอยอยู่ด้านหน้าของเขา ภายใต้การทดลองอย่างไม่หยุดพักของเขา ใบไม้ใบนี้บางครั้งก็ลอยได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ช้าลงราวกับมีภูเขากดทับ

หนึ่งครั้งไม่ได้ก็สิบครั้ง สิบครั้งไม่ได้ก็ร้อยครั้ง ร้อยครั้งหากยังไม่ได้…ก็พันครั้ง หมื่นครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าตัวเองทดลองทำมาแล้วกี่ครั้ง ใบไม้ทั้งหมดที่อยู่ในลานบ้านของเขาล้วนสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปหมด ดังนั้นเขาจึงออกไปหาใบไม้ข้างนอก จนถึงท้ายที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดของเขาเซียงอวิ๋นที่ไม่ใช่พืชวิเศษล้วนถูกเขาเอามาทดลองเสียสิ้น ในที่สุดยามสายัณห์ของวันหนึ่ง ประกายในตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ ทำมุทราแล้วชี้ไปที่ใบหลิวที่อยู่เบื้องหน้าเขาใบนั้น มันดูราวกับกำลังล่อยลอยอยู่บางเบา แต่ทันทีที่ตกลงพื้น กลับกระแทกกับดินราวกับเป็นก้อนหิน

เสียงตูมดังขึ้นหนึ่งที พื้นดินในลานบ้านสั่นสะเทือนราวกับว่าใบหลิวใบนี้หนักสักพันจวิน[1]

“สำเร็จแล้ว!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่สีหน้ากลับฮึกเหิม ลุกขึ้นยืนสะบัดมือขวาหนึ่งที กระบี่ไม้เล่มเล็กบินออกมากลายเป็นเส้นสีดำหนึ่งเส้น พริบตานั้นก็ลอยไปไกล ไม่เพียงแต่ความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าเดิม พลานุภาพก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว ถึงขั้นที่ว่าเกิดเสียงกระแทกอากาศอันแหลมคมลอยออกมาให้ได้ยินแว่วๆ ด้วย

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก้อนหินขนาดมหึมาที่อยู่ห่างออกไปแตกแยกพังทลายออกมาเป็นสี่ห้าส่วนทันที

พลานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่พลังที่การรวมลมปราณขั้นที่หกสามารถเปรียบเทียบได้อีกต่อไป ต่อให้เป็นคนที่สำเร็จการรวมลมปราณขั้นที่เจ็ดแปดมาเห็นเข้าก็ต้องตะลึงค้าง สะเทือนไปยันจิตวิญญาณเช่นกัน

———-

[1] 钧 (จวิน) หน่วยน้ำหนักของจีนในสมัยโบราณ มีน้ำหนักประมาณ 30 ชั่ง (จิน) หรือประมาณ 15 กิโลกรัม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!