Skip to content

A Will Eternal 374

บทที่ 374 ตัวประกัน

หลังการมาเยือนของน้ำเสียงนั้น เด็กชายสวมชุดคลุมยาวสีแดงคนหนึ่งก็เผยร่างขึ้นบนท้องฟ้า เดินหน้ามาทีละก้าว เมื่อเขาเดินมาถึง พลานุภาพสยบจากสวรรค์ก็ยิ่งรุนแรง

แม้แต่น้ำของแม่น้ำทงเทียนก็ยังกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น ส่วนเทือกเขาสี่สายของสำนักสยบธารก็คล้ายถูกบีบคั้น พืชหญ้าทุกต้นล้วนลู่ตัวลงต่ำ

แม้แต่พืชหญ้ายังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรต พวกหันจงหน้าถอดสีทันใด ลมหายใจชะงักค้าง ตอนที่มองไปยังเด็กชายคนนั้นสายตาก็เผยความกริ่งเกรงอย่างลึกล้ำ

ส่วนต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าต้นนั้นเวลานี้ก็ยังสั่นไหวน้อยๆ

“คนฟ้า…” ในใจของหันจงสั่นไหว มองสบตากับชื่อหุนและเฟิงเสินจื่อ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กคนนี้มาก่อน ตลอดทั้งโลกบำเพ็ญเพียรที่กว้างใหญ่ของแม่น้ำตะวันออก ขอบเขตคนฟ้าที่ออกมาด้านนอกโดยใช้ตัวตนของเด็กชาย มีเพียงคนเดียว…

คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในห้าคนฟ้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา หลี่หยวนเทียน!

“คารวะผู้อาวุโสหลี่” หันจงสามคนสูดลมหายใจเข้าลึกพากันคำนับอย่างพร้อมเพรียง นักพรตก่อกำเนิดคนอื่นเวลานี้ต่างก็ใจสั่นรัว รีบคารวะอย่างนอบน้อม

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนฟ้า โดยเฉพาะสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสวรรค์ระลอกนั้น ทำให้เขาใจเต้นกระหน่ำ อดไม่ได้จนต้องแอบเหล่มองอยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าเด็กคนนี้เตี้ยกว่าตนแต่เหตุใดถึงได้ร้ายกาจเพียงนั้น

เด็กชายกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยใบหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ไม่ได้พูดอะไร แต่สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง

“หันจง พวกเจ้าสามคนจงนำทางไปยังตำหนักใหญ่ของพวกเจ้า ตัวข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้ง!”

หันจงสามคนสีหน้าเคร่งขรึม รีบตอบรับทันใด นำทางไปด้วยท่าทางเคารพนบนอบ พาเด็กชายบินไปยังตำหนักใหญ่ของสำนักสยบธารอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งคนทั้งสี่จากไป นักพรตก่อกำเนิดคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด รีบตามติดไปด้านหลัง บัดนี้ตลอดทั้งสำนักสยบธารเงียบสงัด คนไม่น้อยกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าครั้งนี้คนฟ้าจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามาเยือนด้วยเรื่องอันใด

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ เขารู้สึกว่าตอนที่เด็กชายคนนั้นมองมายังตน สายตาและสีหน้าดูแปลกพิกล เวลานี้จึงกลับเขาไปที่ถ้ำ เขาไม่มีอารมณ์จัดการกับซากปรักหักพังที่ถูกฟ้าผ่า เอาแต่หันไปมองยังตำหนักใหญ่บนยอดเขาเป็นระยะ พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงรีบเปิดถุงเก็บของของตัวเอง หลังจากพบว่าเจ้าเต่าน้อยยังคงหลับสนิท นั่นถึงได้วางใจ เอามันกลับไปวางลงยังตำแหน่งก่อนหน้านี้เหมือนเดิม

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พอมันตื่นมา ต่อให้รู้สึกผิดปกติ ข้าก็ยังสามารถปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำหนึ่งประโยค ขณะที่กำลังรู้สึกพึงพอใจก็ไพล่นึกไปถึงการมาเยือนของเด็กชายคนนั้น แล้วก็ประหม่าขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ ทอดสายตามองไกลไปยังตำหนักใหญ่

และเวลานี้ในตำหนักใหญ่บนยอดเขาสยบธาร เด็กชายหลี่หยวนเทียนนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน มีหันจงสามคนยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหน้าเขา ส่วนนักพรตก่อกำเนิดคนอื่นๆ ต่างก็รออยู่นอกตำหนักใหญ่

“สำนักสยบธารของพวกเจ้าถือว่ามีวาสนาต่อตัวข้าไม่น้อย สำนักธารฟ้านี้ ก่อนหน้านั้นข้าผู้อาวุโสเป็นคนลงมือดับทำลายพลังไปหลายส่วน” เด็กชายเอ่ยปากเนิบนาบ พอเขาพูดออกมาเช่นนี้ ในใจหันจงสามคนก็สั่นเยือกทันที

“ดังนั้นครั้งนี้แน่นอนว่าต้องให้ข้าผู้อาวุโสเป็นคนออกหน้าบอกพวกเจ้าถึงกฎกติกาของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลาง”

“โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีสี่สำนัก ซึ่งสี่สำนักนี้ไม่ว่าสำนักใดก็ตามทุกระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องส่งบุคคลที่สำคัญคนหนึ่ง ให้ไปเป็นตัวประกัน!”

“ที่ตัวข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อจะพาตัวประกันของสำนักสยบธารเจ้ากลับไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา” สายตาของเด็กชายกวาดตามองหันจงสามคน หันจงสามคนหน้าเผือดสีทันใด พากันเงยหน้าขึ้นมอง

“ตัวประกัน?” หันจงอึ้งงัน เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่พอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะมีอยู่จริง เพราะยังไงซะสี่สำนักใหญ่ต่างก็สำคัญต่อสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างมาก มีหน้าที่ไม่ต่างจากผู้ครองรัฐฝ่ายนอก

“พวกข้าจะต้องเลือกตัวประกันให้ได้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน!” เฟิงเสินจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเข้าใจ การมาถึงของคนฟ้า เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธ และไม่มีทางปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

“ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัว ข้าผู้อาวุโสมีคนอยู่ในใจแล้ว ตัวประกันคนนั้นก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน” ขณะที่เด็กชายเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบรื่นทว่าไม่เว้นที่ให้ปฏิเสธนั้น พวกหันจงสามคนก็ใจหล่นลงดังโครม

เวลาเดียวกันนั้น พลังจิตของเด็กชายก็ได้แผ่ไปทั่วตลอดทั้งสำนักสยบธารแล้วหนึ่งรอบโดยที่ไม่มีใครสัมผัสได้

นอกจากพื้นที่อันเป็นที่อยู่ของทารกหญิงเจินหลิงซึ่งเขาไม่อยากหาเรื่องด้วยแล้ว พื้นที่อื่นๆ เขาล้วนมองเห็นทั้งหมด และเห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของลิงเฒ่าก่อนหน้านี้เขาสัมผัสไม่ถึง

“เอ๊ะ? เด็กหญิงคนนี้มีลักษณะพิเศษยิ่งนัก…ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นตัวประกันเหมือนกัน! พวกเจ้าสามารถป่าวประกาศออกไปได้เลย อีกเรื่องคือผู้ที่เป็นตัวประกันสามารถเลือกลูกศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักที่อยู่รุ่นเดียวกันให้ไปในฐานะผู้พิทักษ์พร้อมกันได้ไม่เกินห้าคน และไปฝึกบำเพ็ญตบะพร้อมกันที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา” นัยน์ตาของเด็กชายฉายแววแปลกประหลาด มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้งเบื้องหน้าของเขาก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น ในภาพนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ หญิงสาวผู้นี้…ก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์!

ในใจของหันจงสามคนร้องคร่ำครวญทุกข์ใจ พวกเขาไม่สนใจกงซุนหว่านเอ๋อร์ ต่อให้กงซุนหว่านเอ๋อร์จะมีร่างกายแข็งแรงและพรสวรรค์ที่พวกเขาไม่เคยรับรู้มาก่อน ทว่าสิ่งเหล่านี้พวกเขาล้วนไม่ใยดี พวกเขาสนใจแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว

“ผู้อาวุโส…” เฟิงเสินจื่อลังเลเล็กน้อย

“หืม? พวกเจ้าจะปฏิเสธรึ?”

ไม่รอให้เฟิงเสินจื่อพูดจบ เด็กชายก็จ้องเฟิงเสินจื่อด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งครั้ง เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ทำให้ตลอดร่างทั้งในและนอกของเฟิงเสินจื่อเย็นวาบขึ้นมาทันใดจนแทบจะเปล่งคำพูดไม่ได้

“มีเรื่องที่ผู้อาวุโสไม่ทราบ แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นบุรพาจารย์น้อยของสำนักเรา ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขามีนิสัยเกเรยิ่งนัก ย่อมไม่ใช่คนที่สมควรเป็นตัวประกัน ข้าผู้น้อยกังวลว่าเมื่อเขาไปอยู่ในสำนักของท่านจะสร้างปัญหาให้กับพวกท่านเอาได้” หังจงที่อยู่ข้างกันรีบช่วยอธิบาย

“ถูกต้อง ผู้อาวุโส ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ไม่เพียงแต่เกเร ยังชื่นชอบการหลอมยาอย่างมาก อีกทั้งทุกครั้งที่เขาหลอมยาก็มักจะเกิดปัญหาใหญ่เสมอ ถึงขั้นเคยเกิดโรคห่าทำให้คนเดือดร้อนกันไปทั่วทิศ

แม้แต่หมาหรือไก่ก็ยังอยู่ไม่เป็นสุข หากไปอยู่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เกรงว่าจะเป็นตัวนำหายนะมาให้…” ชื่อหุนเองก็รู้ดีถึงความสำคัญที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อสำนักสยบธาร ดังนั้นจึงช่วยอธิบายเสริม

เด็กชายได้ยินคำพูดของหันจงและชื่อหุนก็ยิ้มน้อยๆ

“เรื่องเหล่านี้ที่พวกเจ้าพูดถึงล้วนไม่ใช่ปัญหา สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่ยิ่งใหญ่ของข้าสามารถแบกรับพื้นที่ทั้งหมดสายตะวันออก ปกป้องพิทักษ์สายตะวันออกให้แก่แม่น้ำทงเทียน มีหรือจะยอมรับนักพรตรวมโอสถคนเดียวไม่ได้?

ต่อให้นิสัยของเขาจะเกเรสักแค่ไหน หาเรื่องเก่งมากเท่าไหร่ ก็คงไม่ถึงขั้นทำให้สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของข้าพังทลายลงมากระมัง!”

“เขาชอบหลอมยาไม่ใช่หรือ ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีเตาหลอมยาที่ดีที่สุด มียาวิเศษที่ดีที่สุด มีพื้นที่ในการหลอมยาที่ดีที่สุด ทุกปัญหาเรื่องการหลอมยาล้วนสามารถแก้ไขได้ พวกเจ้าวางใจได้เลย แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นตัวประกัน ทว่าเมื่ออยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขาเองก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเช่นกัน!”

“เรื่องนี้เอาตามนี้แหละ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดมากอีกแล้ว ออกไปเถอะ สถานที่แห่งนี้ข้าผู้อาวุโสขอยืมใช้สามวัน สามวันให้หลังจงพาพวกเขามาที่นี่ ข้าจะพาพวกเขากลับสำนัก!” เด็กชายไม่ยอมให้เอ่ยค้าน โบกมือหนึ่งครั้งพลังอ่อนโยนระลอกหนึ่งก็แผ่ออก หลังจากผลักหันจงสามคนออกไปนอกตำหนักใหญ่แล้ว ประตูของตำหนักใหญ่ก็ปิดลงดังปัง

นอกตำหนักใหญ่ หันจงสามคนสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวเสีย หลังจากมองหน้ากันไปมาต่างก็มองออกถึงความจนใจของอีกฝ่าย

“คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ เวลากระชั้นชิด นังหนูคนนั้นพูดง่าย ส่วนทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุน…พี่หัน ท่านไปพูดเถอะ

พวกข้าเองก็จะไปสั่งความเสียหน่อย หาพวกลูกศิษย์รุ่นเดียวกับป๋ายเสี่ยวฉุนให้ไปเป็นผู้พิทักษ์แก่เขา”

เฟิงเสินจื่อถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง การจากไปของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจเขาตึงเครียดมากที่สุด เพราะยังไงซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือบรรพบุรุษโลหิต หากจากไปแล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา สายธาราโลหิตก็จะสูญเสียใหญ่หลวง

“เอาผู้พิทักษ์ไปได้ไม่ใช่หรือ แม้จะเอาไปได้แค่คนรุ่นเดียวกัน แต่ก็ถือว่ามีผู้ช่วย ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยชื่อ ใครก็ห้ามปฏิเสธ ทุกคนต้องไปกันหมด ข้าผู้อาวุโสก็จะไปสั่งความเช่นกัน!” ชื่อหุนกัดฟันเอ่ย

หันจงสูดลมหายใจเข้าลึก ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ขมวดคิ้วเดินไปทางถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางกระวนกระวายใจจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาตามตรง

“ตัวประกัน? ไปที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง มองไปที่หันจงด้วยความอึ้งงัน เวลานี้ในสมองมีแต่คำว่าตัวประกันสามคำนี้

เขายังถึงขั้นนึกไปถึงเรื่องราวน่าเวทนามากมายเกี่ยวกับตัวประกันที่เคยอ่านเจอในตำราก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะพอนึกว่าตัวเองต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย ไปอยู่สำนักแปลกถิ่น เขาก็รู้สึกไร้ซึ่งความปลอดภัย

อยู่ที่สำนักสยบธารดีจะตาย ที่นี่ฐานะของเขาสูงส่งอย่างถึงที่สุด ลูกศิษย์หญิงมากมายชื่นชอบเขา ไม่ว่าเขาเดินไปที่ไหนล้วนมีแต่คนเคารพนับถือ แต่พอนึกว่าตัวเองต้องไปอยู่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืดไปหมด

อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้องโหยหวน พุ่งเข้ามากอดขาของหันจงเอาไว้

“บุรพาจารย์ ข้าไม่อยากไป ข้าอาลัยอาวรณ์พวกท่าน ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าไม่อยากไปเลย”

“ข้าเพิ่งสร้างคุณความดีใหญ่หลวงให้แก่สำนัก ข้า…ข้าคือบุรพาจารย์น้อย!”

“หลายปีมานี้เวลาสำนักประสบภัย ข้าล้วนออกหน้าทุกครั้ง ที่เทือกเขาลั่วเฉินข้าช่วยเหลือคนอื่น ที่หุบเหวกระบี่อุกกาบาตนามของข้าเลื่องลือ ข้าเป็นสายสืบไปซ่อนตัวอยู่ในสำนักธาราโลหิต สำนักสยบธารก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จข้ามีคุณความดีมากที่สุด บุรพาจารย์ขอรับ…ข้าไม่อยากไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนคร่ำครวญด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

“ข้าไม่อยากไปจากท่าน ไม่อยากไปจากสหายร่วมสำนัก ให้คนอื่นไปเถอะนะ…ข้ารู้สึกว่าซ่างกวานเทียนโย่วเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม หากเขาไม่ไปเป็นตัวประกันฟ้าดินต้องลงโทษแน่ หรือจะเป็นซ่งเชวียก็ได้ สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราขาดอะไรพวกเราก็หาสิ่งนั้นให้เขาสิ…แล้วก็ยังมีเป่ยหันเลี่ย จิ๋วต่าว พวกเขาต่างก็ไม่เลว หากไม่ได้จริงๆ ก็ส่งเฉินม่านเหยาไปเป็นนางในของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ได้…”

หันจงปวดหัว ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความขมขื่น เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“เสี่ยวฉุน หากเลือกได้จริงๆ ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด”

คำพูดนี้ของเขาทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือก เงยหน้าขึ้นมองหันจงด้วยสีหน้าโศกสลด

“ต้องไปจริงๆ หรือ?”

“ต้องไปจริงๆ…แต่เจ้าสามารถพาคนหลายคนไปเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้าได้ อีกทั้งนี่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก สุดท้ายแล้วก็ต้องได้กลับมา ที่นี่คือบ้านของเจ้า” หันจงลูบหัวป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยแววอาลัยอาวรณ์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!