บทที่ 396 ถอยมาตั้งหลัก
ตลอดทางที่กลับจากสายรุ้ง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงมีความเลื่อนลอยและไม่เข้าใจ ส่วนหญิงสาวผู้เย็นชาที่เป็นคนนำทางให้เขาก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงมาเยอะมาก อีกทั้งยังแอบมองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งมาส่งป๋ายเสี่ยวฉุนตรงค่ายกลนำส่ง หญิงสาวผู้นี้ยังถึงขนาดส่งยิ้มให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วโค้งตัวเป็นการบอกลา
“พี่ป๋าย ก่อนหน้านี้ขออภัยที่เสียมารยาท น้องหญิงนามว่าชิงเสวียน”
เนื่องจากแสงนำส่งปรากฏขึ้นจึงตัดขาดเงาร่างระหว่างคนทั้งสอง แม้แต่น้ำเสียงที่ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเริ่มแปลกแปร่ง เบื้องหน้าเขาพลันพร่าลาย แล้วข้างหูของเขาก็มีเสียงเอะอะอึกทึกของผู้คนดังขึ้น นั่นหมายความว่าเขาได้กลับมายังนครฟ้าอีกครั้งแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป ก้มหน้าลงหยิบธงเจ็ดสีออกมาจากในถุงเก็บของ หลังจากที่มองอย่างละเอียดแล้วลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้น ดวงตาฉายแสงคมกล้า ทั้งยังมากด้วยความตื่นเต้น
“มอบให้ข้าจริงๆ หรือนี่!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าต่อไปนี้ตัวเองจะมีพื้นที่ส่วนตัวอาณาบริเวณสิบลี้ในนครฟ้า เขาก็พลันฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ทว่าความสงสัยที่มีต่อเรื่องนี้เขาเองก็ได้เก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจเช่นกัน เวลานี้เมื่อเงยหน้าขึ้นมองสายรุ้งของแดนฟ้าที่อยู่กลางอากาศเขาก็พึมพำในใจตัวเองไปด้วย
“ใครกันที่กำลังช่วยข้า…นี่มันตั้งใจมอบให้ข้าชัดๆ มิฉะนั้นจนกระทั่งข้าจากมาแล้ว ทำไมเจ้าสำนักแดนฟ้าถึงได้ไม่เอาตำรับยาของข้าไป!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเดินออกมาจากค่ายกลนำส่งก็มุ่งหน้าไปทางเมืองเหนือ ครุ่นคิดไปตลอดทาง แล้วก็พลันได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพรรคมังกรเขียวที่ดังออกมาจากในกลุ่มคนรอบด้าน
“ได้ยินหรือยัง หากกินยาหลอนประสาทชั่วช้านั่นเข้าไปจะสร้างความเสียหายให้กับจิตใจไปตลอดกาล ช่างอำมหิตยิ่งนัก!!”
“แค่สร้างความเสียหายให้กับจิตใจอย่างเดียวเสียที่ไหน หากกินเข้าไปมากๆ จะทำให้พรสวรรค์ลดลง ทั้งยังทำให้คนเป็นบ้า ข้าได้ยินมาว่าบางคนกินแล้วตายไปเลยก็มี!”
“ทำกันเกินไปแล้ว แถมยาหลอนประสาทนี่ยังทำให้คนที่กินเสพติด หากไม่กินมันช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะกลายเป็นบ้า ยาที่ชั่วร้ายแบบนี้มาจากพรรคมังกรเขียว!”
“ผู้นำของพรรคมังกรเขียวเป็นคนหลอมออกมาเองเลยล่ะ เจ้ายังจำสุดยอดยาปี้กู่ได้ไหม เขาก็เป็นคนหลอมยานั่นออกมาเหมือนกัน เขามันมารยาพิษชัดๆ!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ไม่สบอารมณ์ทันที แม้ว่ายาหลอนประสาทของเขาจะมีข้อเสีย แต่กลับไม่มีทางสร้างความเสียหายที่ยาวนาน อีกทั้งข้อดีของมันก็มากพอจะชดเชยข้อเสียด้วย
ส่วนเรื่องที่คนกินยานี้แล้วตายก็ยิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทว่าคนเหล่านี้กลับเล่าต่อกันไปอย่างสนุกปาก แถมยิ่งเล่ายิ่งขยายเป็นวงกว้าง หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงเมืองเหนือเขายังได้ยินคำเล่าลือเช่นนี้มากกว่าในเขตอื่นๆ เสียอีก
คนแทบทุกคนต่างเดือดดาลกับเรื่องนี้ ความชิงชังที่มีต่อพรรคมังกรเขียว ความเกลียดแค้นที่มีต่อผู้นำมังกรเขียว ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินรู้สึกหนังหัวชาหนึบ เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าหากตอนนี้มีคนจำตนได้แล้วตะโกนเสียงดังครั้งเดียว เกรงว่าคนมากมายที่อยู่รอบด้านคงลงมือกับตนทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทาง อีกทั้งเพื่อป้องกันเหตุร้าย เขายังร่วมตะโกนด่าว่าพรรคมังกรเขียวในสถานที่ที่มีคนอยู่เยอะด้วย จากนั้นถึงได้ห้อตะบึงกลับเข้ามาในถ้ำของพรรคมังกรเขียว
เพิ่งจะกลับเข้ามา พวกสวีเป่าไฉก็ขอเข้าพบด้วยความร้อนใจ พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สวีเป่าไฉก็ทำหน้าใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ รีบเอ่ยปากรัวเร็ว
“บุรพาจารย์น้อย พรรคท้องฟ้านั่นช่างไร้ยางอายยิ่งนัก พวกเขาป่าวประกาศข่าวใส่ร้ายพรรคมังกรเขียวของพวกเราไปทั่วทั้งเมือง แถมตอนนี้นักพรตในพรรคก็มีหลายคนที่แอบหนีออกไปแล้วด้วย”
“เรื่องนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงเกินไป มิอาจควบคุมได้เลย…” เสินซ่วนจื่อยิ้มขื่น แม้ว่าพวกเขาจะทำการป้องกันเอาไว้ ทว่ายังไงซะพรรคมังกรเขียวก็ยังมีขนาดเล็กกว่าพรรคท้องฟ้า โดยเฉพาะในด้านนี้ เมื่อเทียบกับพรรคมังกรเขียวแล้ว พรรคท้องฟ้านั้นมีรากฐานที่ลึกล้ำยิ่งกว่า จำนวนคนก็มีมากกว่า
จางต้าพั่งและเฉินม่านเหยาต่างก็กลัดกลุ้มเช่นกัน ส่วนพวกนักพรตของพรรคมังกรเขียวเวลานี้ก็พากันเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร เอาแต่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับผลประโยชน์และมีคำอธิบายอะไรกลับมาจากบนสายรุ้งบ้าง
หากมีก็ยังพอไหว ในฐานะที่พวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคมังกรเขียว พวกเขาจึงหวังให้ทุกอย่างยังคงพัฒนาต่อไป แต่หากไม่มี…ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่เริ่มครุ่นคิดว่าหลังจากล่วงเกินพรรคท้องฟ้าแล้ว วันหน้าตนควรจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร
ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก ยาหลอนประสาทนี้พรรคท้องฟ้าเป็นคนขายก่อน อีกทั้งยังแอบขโมยควันหลอนของเขาไปด้วย ทว่าตอนนี้กลับโยนเอาความผิดทั้งหมดมาไว้ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุน การใส่ร้ายเช่นนี้ทำให้ไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกจุดขึ้นมา และพอนึกถึงเรื่องที่สุดยอดยาปี้กู่ถูกให้ร้ายในคราวก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มระงับความเดือดดาลไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
“จิ่วพั่ง พรรคท้องฟ้านั่นทำเกินไปแล้ว พวกเราสู้กับพวกเขาให้ตายกันไปข้างเลยเถอะ!” ดวงตาจางต้าพั่งเผยความเหี้ยมโหด ประสบการณ์ช่วงที่ผ่านมาทำให้บนร่างของเขามีความดุร้ายเฉียบขาดเพิ่มขึ้น ซึ่งเขาก็พูดด้วยเสียงเจ็บแค้นเช่นกัน
“บุรพาจารย์น้อย ดูท่าแล้วพวกเราคงต้องปะทะกับพวกเขาตรงๆ แล้วล่ะ เพียงแต่ว่าสำนักมีกฎอยู่ เรื่องนี้จึงค่อนข้างจะจัดการได้ยากเสียหน่อย…”
“ช่วยไม่ได้แล้ว ตอนนี้ยาหลอนประสาทถูกห้ามขาย ตัดขาดหนทางทำมาหากินของพวกเรา คนมากมายอย่างนี้เราจะทำอย่างไรกันดี”
ขณะที่คนเหล่านี้ทยอยกันเอ่ยปาก นักพรตชุดส้มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนโดยไม่พูดอะไรก็ประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน
“ท่านผู้นำ ไม่ทราบว่าเดินทางไปสายรุ้งครั้งนี้มีผลพวงอะไรกลับมาหรือไม่?” เมื่อคำพูดของเขาดังขึ้น ทุกคนที่อยู่รอบด้านจึงหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
“แน่นอนว่าได้รับผลประโยชน์กลับมา ทว่ายาหลอนประสาทยังคงไม่สามารถขายได้อยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนข่มกลั้นความโกรธเอาไว้แล้วเอ่ยปากเนิบช้า
เมื่อเสียงเขาดังกังวาน ความเงียบงันจากรอบด้านก็ยิ่งมีมากขึ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปยังทุกคน ไม่เอ่ยอะไร แต่ขอแผนที่แผ่นหนึ่ของนครฟ้ามา จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องโดยไม่ยอมพบใครอีก
เวลาหนึ่งวันผ่านไป เริ่มมีนักพรตของพรรคมังกรเขียวจากไป สองวันต่อมา จำนวนคนที่จากไปก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อสามวันผ่านพ้น นักพรตที่จากไปก็เพิ่มจำนวนขึ้นไปอีก
จนกระทั่งผ่านไปแล้วเจ็ดวัน เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันที่มาจากพรรคท้องฟ้า นักพรตเกือบเก้าส่วนของพรรคมังกรเขียวก็ล้วนจากไปหมด เพราะยังไงซะช่วงเวลาที่พรรคมังกรเขียวลุกผงาดนั้นก็สั้นเกินไป คนเหล่านี้ล้วนมาเข้าร่วมในช่วงเวลาที่พรรคเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ไม่มีความคิดที่จะร่วมเดินไปถึงทางตันพร้อมกับพรรค
และในเจ็ดวันมานี้ ขอบเขตอิทธิพลในอีกสามพื้นที่ก็ค่อยๆ แตกสลายกระจัดกระจายกันไป ตระกูลเล็กๆ อิทธิพลเล็กๆ ก็พากันหนีห่าง ตัดขาดความสัมพันธ์กับพรรคมังกรเขียวอย่างรวดเร็ว
ข่าวลือมากมายปรากฏขึ้นในนครฟ้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งพรรคท้องฟ้ายังฉวยโอกาสฮุบกลืน ทำให้ถ้ำขนาดใหญ่ของพรรคมังกรเขียวในตอนนี้แทบจะว่างเปล่าแล้ว
จำนวนนักพรตที่ยังเหลืออยู่มีเพียงแค่ไม่ถึงพันคน และเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองวัน คนเหล่านี้ก็ทยอยกันจากไป เวลาเก้าวัน ตลอดทั้งพรรคมังกรเขียว…เหลือคนอยู่ไม่ถึงสองร้อยคน
เวลาสั้นๆ แค่เพียงเก้าวัน พรรคมังกรเขียวที่ยิ่งใหญ่กลับต้องมาล่มสลาย เรื่องนี้ครึกโครมไปทั่วทั้งนครฟ้า ทั้งยังขับให้พรรคท้องฟ้ายิ่งแข็งแกร่งและทรงพลังมากกว่าเดิม อันที่จริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะเดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคมังกรเขียวล้วนสร้างขึ้นบนคะแนนคุณความดี ไม่มีการสะสมทางเวลา หอเรือนที่ตั้งอยู่กลางอากาศ เมื่อพายุคลื่นลมแรงพัดมาย่อมพังทลายลง
ในจำนวนคนร้อยกว่าคนที่เลือกจะอยู่ต่อนี้ นอกจากคนกลุ่มเดิมที่อยู่มาตั้งแต่แรกแล้วก็คือพวกนักพรตที่มีความรู้สึกจริงใจต่อพรรคมังกรเขียวอย่างแท้จริง ครั้งนี้พวกสวีเป่าไฉไม่ได้จากไปไหน ต่อให้เป็นเฉินม่านเหยาเองก็ไม่ได้จากไปอีกครั้ง แต่อยู่ในถ้ำของตัวเองเงียบๆ คอยหันไปมองห้องของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นระยะ
เวลาเก้าวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พักผ่อน แต่กำลังตรวจสอบแผนที่ของนครฟ้า เขาดูอย่างละเอียด ทุกพื้นที่ ทุกถนนหนทาง เขาล้วนดูละเอียดยิบ พิจารณาและศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด…เมื่อยามสนธยาของวันที่เก้ามาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาจากในถ้ำ
ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ทว่าสีหน้ากลับฮึกเหิม เมื่อเขารู้ว่าพรรคมังกรเขียวได้ล่มสลายลงไปแล้วในเวลาสั้นๆ แค่เก้าวัน และหลงเหลือคนอยู่เพียงเท่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งตะลึงทันที ทว่าหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มออกมา
การปรากฏตัวของเขาทำให้คนร้อยกว่าคนที่อยู่ในพรรคมังกรเขียวตอนนี้พากันจ้องมองนิ่ง เมื่อมองเห็นรอยยิ้มของป๋ายเสี่ยวฉุน หัวใจของพวกเขาก็เต้นรัวเร็วคล้ายมองเห็นความหวัง
“สหายนักพรตทุกท่าน พวกเจ้าจงเก็บสัมภาระแล้วตามข้ามา…พวกเรา ย้ายบ้านกัน!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยประกายแปลกประหลาด หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็ตะโกนบอกกับทุกคน
“ครั้งนี้พรรคมังกรเขียวได้สิ้นชื่อไปแล้ว ทว่าข้าคิดชื่อใหม่ได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ทว่าสีหน้าของเขากลับทำให้ทุกคนเกิดความมั่นใจขึ้นมาทันที ไม่นานพวกเสินซ่วนจื่อก็เป็นคนกลุ่มแรกที่จัดสัมภาระเรียบร้อย จากนั้นคนหนึ่งร้อยกว่าคนก็เดินออกไปจากถ้ำสถิต…อย่างเกรียงไกร!
พุ่งตรงจากเมืองเหนือ…ไปยังเมืองตะวันตก
ตลอดทางมีนักพรตไม่น้อยที่เห็นพวกเขาต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ภายใต้การนำของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาได้ไปจากเมืองเหนือ และก็มาถึงเมืองตะวันตกอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ชอบสอดรู้สอดเห็นและจำได้ว่าคนกลุ่มนี้คือพรรคมังกรเขียวเลยติดตามมาด้านหลัง อยากรู้ว่าคนของพรรคมังกรเขียวที่เหลือกันอยู่แค่นี้จะไปที่ไหน แม้แต่พรรคท้องฟ้าเองก็ยังส่งคนจำนวนไม่น้อยตามมาด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นที่อยู่ด้านหลัง เขามุ่งหน้าห้อตะบึงไปยังชายเขตของเมืองตะวันตกอย่างไม่หยุดพัก เมื่อมองไกลๆ จะเห็นได้ว่าตรงสุดทางของเมืองตะวันตก…มีทะเลทรายกว้างใหญ่แห่งหนึ่งดำรงอยู่!
หลังจากที่ทุกคนมองเห็นทะเลทรายแห่งนี้ก็ตะลึงงัน เพราะว่าที่นี่มีซากโบราณสถานอยู่แห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักพรตของนครฟ้าต้องไปทำภารกิจบ่อยๆ!