Skip to content

A Will Eternal 399

บทที่ 399 ความฝันของซ่งเชวีย

ภาพเหตุการณ์นี้หากมีคนนอกมาเห็นเข้าย่อมสะเทือนไปทั้งจิตวิญญาณแน่นอน เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตรวมโอสถช่วงกลางสามารถทำได้ ต่อให้เป็นพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ คนที่จะทำได้ถึงระดับนี้ก็มีไม่มากเช่นกัน!

ต้องรู้ว่าที่นี่คือสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอันเป็นสำนักต้นน้ำ จำนวนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของที่นี่มีเยอะมากกว่าแม่น้ำตอนกลางหลายต่อหลายเท่า แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พลังอำนาจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมาในยามนี้ก็มากพอจะเขย่าคลอนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจได้

บัดนี้พลานุภาพของคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดผงาดล้ำขึ้นมาเป็นครั้งแรก!

“นี่ยังเป็นเพียงความเย็นระดับกลางเท่านั้น หากถึงความเย็นระดับสูง…” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววรอคอย แล้วจึงนึกถึงคำอธิบายเกี่ยวกับความเย็นระดับสูง

“รัศมีหมื่นจั้งกลายมาเป็นพื้นที่น้ำแข็ง ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างกระจกน้ำแข็งสะท้อนให้ร่างจำแลงลงมาจุติได้ด้วย! เมื่อถึงเวลานั้น ที่สะท้อนออกมาก็ไม่ใช่เงาน้ำแข็งแห่งความเย็นอีกแล้ว แต่เป็นร่างจำแลงที่แท้จริง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วก็อดนึกถึงความเย็นระดับสุดขั้วไม่ได้

“ความเย็นระดับสุดขั้ว…สามารถปิดผนึกแม่น้ำทงเทียน…ในขอบเขตที่แน่นอน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหมัดแน่น ความคาดหวังในดวงตายิ่งเข้มข้นดุเดือด จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ได้ยุติการฝึกฝน เพราะเวลานี้ที่ฝ่าทะลุขั้นไปพร้อมกันไม่ได้มีเพียงคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดเท่านั้น แต่ยังมีเอ็นคงกระพันของเขาด้วย!

ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าลงมองขาซ้ายของตัวเอง เวลานี้เส้นเอ็นทั้งหมดในขาข้างซ้ายของเขาล้วนฝึกสำเร็จหมดแล้ว สามารถพูดได้ว่าขาซ้ายก็คือจุดที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของเขาตอนนี้ และก็เป็นจุดที่เหนียวทนทานที่สุดด้วย

นั่นคือจุดที่รวบรวมพละกำลัง เหนือล้ำเกินกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ ค่อยๆ ยกขาซ้ายขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรงหนึ่งครั้ง

การกระทืบครั้งนี้คือการระเบิดพลังเอ็นคงกระพันในขาซ้ายของเขาออกมาเต็มเหนี่ยว ยังไม่ทันได้สัมผัสกับพื้น แผ่นดินก็สั่นสะเทือน กรวดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนดีดตัวขึ้นมา ทั้งยังมีลมพายุลูกหนึ่งหมุนคว้างไปรอบด้าน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่พอใจ ดวงตาทั้งคู่ของเขาโชนแสงคมกล้า วินาทีที่เท้าซ้ายใกล้เหยียบลงไปบนพื้น ปากเขายังพ่นคำอีกสี่คำออกมาเบาๆ

“ผนึกมิวางวาย!”

พริบตาเดียว เท้าซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหยียบลงไปบนพื้นดิน วินาทีที่สัมผัสกัน ตลอดทั้งผืนแผ่นดินก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น รอยปริแตกจำนวนมากแผ่กระจายออกไปรอบด้านกลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้ามทางธรรมชาติแห่งหนึ่ง ปิดผนึกทุกสิ่ง ดับทำลายทุกอย่าง จุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ก็ยิ่งพังถล่มลงมาทันทีทันใด ฝุ่นผงคลุ้งกระจาย ไอหมอกตลบอบอวล

เสียงกัมปนาทอื้ออึงคล้ายเสียงฟ้าร้องดังจากจุดนี้แผ่ออกไปรอบด้าน แม้แต่ในนครฟ้าก็ยังได้ยิน เป็นเหตุให้คนไม่น้อยอึ้งตะลึง

และเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หวีดร้อง

โหยหวน ร่างถูกหลุมใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ้าเท้ากลบทับจนมิด หลังจากที่กรวดทรายกลบทับทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว เนิ่นนานหลังจากนั้น เมื่อฝุ่นผงสลายหายไป ถึงได้เผยให้เห็นว่าบนพื้นดินมี…หลุมลึกขนาดใหญ่กินอาณาเขตหลายร้อยจั้งปรากฏขึ้นมาหนึ่งหลุม!

รอบด้านหลุมลึกแห่งนี้มีแสงสีทองคล้ายเส้นด้ายแผ่ขยายออกไปแปดทิศ เส้นด้ายเหล่านี้ก็คือวิชาอภินิหารของบทมิวางวายซึ่งสืบทอดมาจากตรวนสลายลำคอและชนาเขย่าภูเขาอย่าง…ผนึกมิวางวาย!

ปิดผนึกทุกสิ่งอย่าง!

ตรงก้นของหลุมลึก ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เขาตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาข้างบน หน้าตาเนื้อตัวมอมแมมเขรอะไปด้วยฝุ่น เขาลืมไปว่าที่นี่คือทะเลทราย พอกระทืบเท้าลงไปแบบนั้นพื้นทรายของที่นี่ย่อมถล่มยวบลงไป ความรู้สึกที่ว่าก่อนหน้านี้ยังลำพองใจ แต่มาบัดนี้กลับถูกเม็ดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนกลบทับนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกขายหน้าอย่างมาก

หลังจากที่ปีนออกมาได้เขาก็หันรีหันขวางมองไปรอบด้านทันที พอพบว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่ถึงได้ถอนหายใจพรืดใหญ่ แล้วจึงจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ตั้งสติให้มั่นคง จากนั้นก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม

และหลังจากที่เขากลับไปได้ไม่นาน ตอนนี้ก็มีนักพรตจำนวนมากของนครฟ้าที่ได้ข่าวตามมาที่นี่ เมื่อมองเห็นหลุมลึกขนาดหลายร้อยจั้งนั้นแล้ว แต่ละคนก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สะท้านสะเทือนไปทั้งจิตใจ

“ที่นี่…ที่นี่คือทะเลทรายที่เกิดจากเวทคาถาของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเชียวนะ!!”

“ด้วยพลังของพวกเรา ไม่มีใครสามารถทำลายที่นี่ได้แม้สักกะผีก ทว่าตอนนี้กลับมีคนระเบิดที่นี่ให้กลายมาเป็นหลุมขนาดใหญ่…หรือว่ามีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือบนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราคนใดคนหนึ่งผ่านมาที่นี่?”

“ต่อให้เป็นนักพรตรวมโอสถธรรมดาทั่วไปก็ยังทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในพันคนที่มีรายชื่อติดอันดับกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา!” ขณะที่นักพรตเหล่านี้พากันวิพากษ์วิจารณ์ก็ได้ยกเรื่องกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารามาพูด ซึ่งแต่ละคนต่างก็แสดงความอิจฉาออกมาทางสีหน้า

กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราคือสิ่งที่ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังเป็นการจัดลำดับที่ทรงอำนาจมากที่สุด ขอแค่ใครก็ตามที่มีตบะต่ำกว่าก่อกำเนิดแล้วมีรายชื่ออยู่บนกระดานนี้ ก็ล้วนทำให้ตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรสายตะวันออกฮือฮาได้

ขณะที่คนเหล่านี้กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ห่างออกไปไกลมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งกำลังห้อตะบึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในรุ้งยาวเส้นนี้คือชายหนุ่มคนหนึ่ง คนผู้นี้ใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม ทว่ากลับดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่ถึงกระนั้นดวงตาก็ยังเปล่งประกายสุกใส ตลอดร่างแผ่ตบะเสมือนโอสถที่ขยับจากสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบมาหนึ่งระดับ!

ดูจากท่าทางของเขาเหมือนว่าหากมีเวลาอีกช่วงหนึ่งก็จะสามารถหลอมรวมมหาสมุทรวิญญาณในร่างให้กลายมาเป็นโอสถ และเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมโอสถได้ ซึ่งบางทีอาจมีอัตราความล้มเหลวอยู่บ้าง แต่ดูจากคลื่นความแข็งแกร่งที่ส่งผ่านมาจากร่างของเขาแล้วระดับความยากคงมีไม่มาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนร่างของคนผู้นี้ยังมีปราณดุร้ายน่าครั่นคร้ามหลงเหลืออยู่ บวกกับรอยแผลเป็นมากมายทั่วร่างของเขาก็ยิ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อยากเข้าใกล้

เขาก็คือซ่งเชวีย!

ก่อนหน้านี้หลังจากที่ไปจากป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็รับภารกิจจำนวนมากมาทำรวดเดียว ออกไปข้างนอกครั้งนี้จึงใช้เวลาเกือบหนึ่งปี และแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

หลายต่อหลายครั้งต้องสู้สุดชีวิต ภารกิจเหล่านั้นถึงได้สำเร็จไปเกินครึ่ง หลงเหลืออยู่เพียงภารกิจบางส่วนที่ต้องทำในวังใต้ดินของซากโบราณสถานเท่านั้น และตอนนี้คะแนนคุณความดีของเขาก็สะสมมาได้หลายแสนคะแนนแล้ว

เมื่อทำภารกิจข้างนอกเสร็จสิ้นเขาถึงได้กลับมา พอผ่านที่แห่งนี้ มองไปยังหลุมลึกแห่งนั้น ฝีเท้าของเขาก็พลันชะงักกึก หลังจากมองอย่างละเอียดเขาก็รู้สึกตกตะลึงไปเช่นกัน

“สามารถสร้างหลุมลึกขนาดนี้ที่นี่ได้ คนผู้นี้ไม่ธรรมดา…สักวันหนึ่งข้าซ่งเชวียก็ต้องทำได้เหมือนกัน!” นัยน์ตาซ่งเชวียเผยประกายดุดัน

ขณะเดียวกับที่ซ่งเชวียหยุดชะงัก นักพรตรอบด้านต่างก็พากันหันมามองซ่งเชวียด้วยความระแวดระวังเช่นกัน เพราะยังไงซะความรู้สึกที่ซ่งเชวียมอบให้กับผู้อื่นก็ไม่ใช่เพียงปราณดุร้ายที่เข้มข้นเท่านั้น ยังมีบุคลิกเย็นชาน่าสะพรึงกลัวของเขาด้วยที่ทำให้คนอื่นมองปราดเดียวก็รู้สึกว่าไม่ควรแหยมกับคนผู้นี้ เพราะเขาน่าจะเป็นคนประเภทที่อยู่ข้างนอกและคลุกคลีกับความเป็นความตายมานาน

มองเห็นสายตากริ่งเกรงจากทุกคนที่อยู่รอบด้าน ซ่งเชวียลำพองใจอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมากด้วย เขารู้สึกว่าหนึ่งปีมานี้คุ้มค่าแล้ว เวลาหนึ่งปีนี้ตนได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้มากมายนัก อีกทั้งไม่นานก็จะได้กลายเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองแล้วด้วย

“เจ้าพวกเศษสวะพวกนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะหิวตายไปแล้วก็ได้ หึ!” ซ่งเชวียแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ ทั้งยังมากด้วยความดูแคลน ในสายตาของเขา เสินซ่วนจื่อก็ดี สวีเป่าไฉก็ช่าง และยังมีจางต้าพั่งนั่นอีก แต่ละคนล้วนเป็นพวกไร้ค่า มีเพียงเฉินม่านเหยาเท่านั้นที่เขามองไม่ค่อยออกเท่าใดนัก

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุน…พอซ่งเชวียนึกถึงป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอดทันที ปีนั้นที่หุบเหวกระบี่อุกกาบาต ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ข่มเข้าไปแล้วหนึ่งครั้ง

แย่งเอาสร้างฐานรากวิถีฟ้าของเขาไป เรื่องนี้ซ่งเชวียไม่มีทางลืมไปได้ชั่วชีวิต และนึกถึงเมื่อใดก็ต้องคับแค้นอยู่ในใจทุกครั้ง ยังมีเหตุการณ์มากมายในสำนักธาราโลหิตที่ทำให้เขารู้สึกคลุ้มคลั่งเช่นกัน และพอนึกถึงสำนักสยบธาร ใจที่ไม่ยอมแพ้ของเขาก็ยิ่งดุเดือด

“ป๋ายเสี่ยวฉุน หุบเหวกระบี่อุกกาบาตเจ้ากดหัวข้าครั้งแรก ในสำนักธาราโลหิต เจ้ากดหัวข้าเป็นครั้งที่สอง สำนักสยบธาร เจ้าก็กดหัวข้าเป็นครั้งที่สาม…แถมจะอ้าปากหุบปากก็พร่ำเรียกเชวียเอ๋อร์ เชวียเอ๋อร์อยู่ได้ คราวนี้รอข้าซ่งเชวียกลายเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองเมื่อไหร่ จะกดหัวเจ้าเป็นสิบๆ ครั้งเลย!!” ซ่งเชวียสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายประกายเด็ดเดี่ยว

เขาเชื่อว่าตัวเองต้องทำได้อย่างแน่นอน

“ที่นี่คือสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา สำหรับข้าแล้วมันคือสถานที่แห่งโชควาสนา ก่อนหน้าที่ข้าจะจากมา บุรพาจารย์คาดหวังในตัวข้าอย่างมาก หวังว่าข้าจะกลายเป็นนักพรตก่อกำเนิด…ข้าต้องทำให้ได้!!” ซ่งเชวียสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้าลงแล้วยกมือขวาขึ้นตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือของเขาก็มีป้ายคำสั่งสีฟ้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งป้ายทันที

ป้ายคำสั่งนี้ไม่ใหญ่ แต่ป้ายเล็กๆ แผ่นเดียวนี้ซ่งเชวียต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเพื่อแลกเปลี่ยนมาจากนักพรตนครฟ้าคนหนึ่งที่รู้จักกันข้างนอก เพราะมันคือป้ายอนุญาตให้เข้าไปในซากโบราณสถานของพรรคท้องฟ้า

“คะแนนคุณความดีส่วนที่เหลือสำหรับใช้แลกเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองก็คงต้องดูที่การเดินทางไปซากโบราณสถานครั้งนี้แล้วล่ะ คราวนี้หากข้าออกมาจากในซากโบราณสถาน คะแนนคุณความดีก็น่าจะมากพอแล้ว ถึงเวลานั้นข้าก็จะได้กลายเป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง บินขึ้นไปอยู่บนสายรุ้ง!” ซ่งเชวียคิดมาถึงตรงนี้ในใจก็เร่าร้อน ความคาดหวังยิ่งเพิ่มพูน

“ไปลองสังเกตการณ์ดูก่อน จากนั้นค่อยเตรียมแผนการสำหรับเข้าไปด้านใน” ซ่งเชวียยิ้มน้อยๆ เอามือไพล่หลัง กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งไปยังจุดที่ตั้งของซากโบราณสถาน

เวลาไม่นานนัก ซ่งเชวียก็มองเห็นซากโบราณสถานแห่งนั้น อีกทั้งยังมองเห็นโรงเตี๊ยมขนาดไม่เล็กนอกซากโบราณสถานที่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นศาลาพักร้อนขนาดมโหฬารหลายสิบแห่งนอกโรงเตี๊ยม ด้านในมีโต๊ะและเก้าอี้จัดวางเอาไว้ มีนักพรตที่สวมอาภรณ์เหมือนกันนับร้อยคนทำหน้าที่คล้ายลูกจ้างในร้านกำลังทำงานกันมือเป็นระวิง

นักพรตจำนวนไม่น้อยสัญจรไปมา ผ่านจากที่แห่งนี้เข้าไปในซากโบราณสถาน

“ไม่เสียแรงที่เป็นพรรคท้องฟ้าผู้มีตระกูลคนฟ้าหนุนหลังจนได้เป็นองค์กรใหญ่อันดับหนึ่งในนครฟ้า…ไม่คิดว่าจะสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมาที่นี่ด้วย” นัยน์ตาของซ่งเชวียเผยความอิจฉา มากด้วยความปลงอนิจจัง สำหรับพรรคท้องฟ้าที่กุมสิทธิ์เข้าออกของสถานที่แห่งนี้ ส่วนลึกในใจของซ่งเชวียรู้สึกเจ็บจี๊ด แต่กลับทำอะไรไม่ได้

“ครอบครองพื้นที่แห่งนี้ เกรงว่าคะแนนคุณความดีที่ได้รับวันเดียวคงมากกว่าที่ข้าได้มาทั้งปีเสียอีก…”

เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาก็จากนครฟ้าไปทำภารกิจข้างนอกแล้ว จึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนครฟ้าตลอดหนึ่งปีมานี้ เวลานี้ท่ามกลางความปลงอนิจจังคละเคล้าไปด้วยความอิจฉา เขาก็ลูบคลำถุงเก็บของของตัวเอง หยิบเอาป้ายคำสั่งของพรรคท้องฟ้าออกมาไว้ในมือ แล้วจึงเดินรุดไปข้างหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!