Skip to content

A Will Eternal 408

บทที่ 408 ตรงนี้ต่างหากลานกว้างที่ข้าบอก

ทุกคนส่งเสียงฮือฮา ร้องอุทานตกใจพร้อมร่างที่สั่นเทิ้ม ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกศาลาปราบมารเลือกตัว ขณะที่ทุกคนกำลังสะเทือนใจอยู่นั้น ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านหน้าก็พลันหันขวับกลับมาถลึงตาใส่

“หุบปากกันให้หมด!”

เสียงนี้ดังประดุจอสนีบาตที่ก้องกังวานไปสี่ทิศ ทำให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบกริบกันในบัดดล แต่ละคนหันไปมองผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ยังมีใบหน้าเมตตาปราณี ทว่าตอนนี้ดวงตากลับฉายแววดุดัน

“วิถีของศาลาปราบมารคือกำจัดมารร้ายพิชิตปีศาจ สังหารศัตรู เกียรติยศสูงส่งเช่นนี้ พวกเจ้าก็ยังรังเกียจอย่างนั้นรึ? ตอนนี้จงฟังข้าให้ดี ความเร็วของข้าผู้อาวุในตอนนี้ใช้พลังตบะเพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น พวกเจ้าตามมาให้ทัน เมื่อข้าผู้อาวุโสไปถึงลานกว้างของตำหนักศาลาปราบมารเมื่อใด คนสุดท้ายที่ไปถึง ข้าผู้อาวุโสจะจัดภารกิจชิ้นใหญ่ไว้รอรับ! ข้าผู้อาวุโสแยกแยะการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน หากมีคนที่ความเร็วเกินกว่าข้า ถ้าเช่นนั้นภายในเวลาสามปี คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องทำภารกิจใดๆ!” ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็นจบก็หมุนตัวขวับ ระเบิดความเร็วพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันใด

ทุกคนที่อยู่รอบด้านสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ คำว่าภารกิจใหญ่นั้น แค่ฟังก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร ทุกคนจึงระเบิดตบะกระโจนตามไปอย่างสุดกำลังทันควัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนตอนนี้หน้าม่อยคอตก เขารู้สึกว่าตัวเองถูกเล่นงานเข้าให้แล้ว…ในใจแค้นเคือง ทั้งยังเกิดความหวาดกลัวต่อศาลาปราบมาร ขณะที่ห้อตะบึงตามผู้เฒ่าคนนั้นไป ในสมองของเขาก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวกับศาลาปราบมารซึ่งได้ยินมาช่วงก่อนหน้านี้

โดยเฉพาะคำพูดด้วยเสียงสั่นๆ จากลูกศิษย์ทั้งหลายเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้านไปยันตับไตไส้พุง

“ไม่น่าจะใช่เฉินม่านเหยา นางไม่มีแรงจูงใจให้ต้องเล่นงานข้า เรื่องนี้กำลังของเฉินม่านเหยาก็คงไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรกได้ มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าน่าจะเป็นเจ้าหลี่หยวนเซิ่งตระกูลคนฟ้า คนผู้นี้ถึงกับยอมทุ่มสุดกำลังเพื่อเล่นงานข้าให้ตาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน มองเห็นว่าสหายรอบด้านต่างก็ระเบิดความเร็วอย่างไม่มีใครยอมใครจนทิ้งระยะห่างจากตนไปมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยว เสียงตูมดังหนึ่งครั้งร่างก็พุ่งทะยานออกไป

ขณะที่พุ่งไปความเร็วก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงแหวกอากาศดังสวบๆๆ เสียดหู อีกทั้งร่างของเขายังกลายมาเป็นภาพติดตา พริบตาเดียวก็ไล่ตามไปทันทุกคนที่อยู่ด้านหน้า เผ่นโผนอย่างไม่คิดชีวิต

เขาไม่ต้องการเป็นคนสุดท้าย สิ่งที่เขาต้องการคือของรางวัลที่ผู้เฒ่าคนนั้นพูดถึง หากนำหน้าผู้เฒ่าได้ก็ไม่ต้องทำภารกิจยาวตลอดสามปี ประโยคนี้เป็นเหมือนสารกระตุ้นที่ฉีดอัดเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขามีเส้นเลือดฝอยปรากฏ เวลานี้ขณะที่กัดฟันห้อตะบึงไปข้างหน้า เขาก็เริ่มมองเห็นแผ่นหลังของผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนนั้นแล้ว มองดูเหมือนผู้เฒ่าก่อกำเนิดจะเคลื่อนที่ได้เร็วมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ออกแรงเต็มที แค่ก้าวเดินเตร็ดเตร่เท่านั้น เพียงแต่ว่าก้าวหนึ่งของเขากว้างหลายสิบจั้ง

เดิมทีตามความคิดของเขา แค่พวกลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลังตามมาทันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว และเขาก็กะว่าจะแสดงให้ลูกศิษย์พวกนี้เห็นถึงความร้ายกาจของตัวเองสักหน่อย เพราะอย่างไรซะศาลาปราบมารก็อยู่ยาก ข้อนี้เขาเองก็รู้ดี ดังนั้นทุกปีที่มีการคัดเลือกคนจึงต้องมีการข่มขู่กันให้เห็น

ขณะที่เขากำลังเดินมุ่งหน้าไปด้วยความปลงอนิจจังก็พลันได้ยินเสียงคำรามดังมาจากด้านลัง ผู้เฒ่าตะลึง เมื่อกวาดพลังจิตมองไปก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ควบเต็มเหยียดแซงหน้าทุกคนมาไกล แถมยังขยับเข้ามาใกล้ตนมากแล้วด้วย

“เอ๊ะ?” ผู้เฒ่ารู้สึกตะลึงระคนแปลกใจ หลายปีมานี้เวลาเขาเลือกนักพรตศาลาปราบมารยังไม่เคยเจอใครเร็วขนาดนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะขยับร่างเพิ่มความเร็วอย่างตั้งใจขึ้นมาอีกเล็กน้อย และพริบตาเดียวก็ทิ้งระยะห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห้อตะบึงตามมาด้านหลังหอบหายใจฮักๆ ทั้งๆ ที่เห็นว่าใกล้จะตามผู้เฒ่าได้ทันแล้ว แต่พริบตาเดียวความเร็วของอีกฝ่ายกลับพุ่งขึ้นสูง ทิ้งห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้ง เขาจึงร้อนรนขึ้นมาทันที ปีกตรงแผ่นหลังสยายออก โบกกระพืออย่างแรง ความเร็วระเบิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้เร็วกว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วน ไล่กวดตามผู้เฒ่าไป

ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง ความเร็วต่างก็มากด้วยกันทั้งคู่ และหากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนมีมากกว่าผู้เฒ่าคนนั้นด้วยซ้ำ ภายใต้การระเบิดของปีกและพลังกล้ามเนื้อ ท่ามกลางการหมุนโคจรของยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ จากก่อนหน้านี้ที่ห่างกับผู้เฒ่าหลายร้อยจั้ง มาตอนนี้กลับอยู่ห่างแค่สิบจั้งเท่านั้น

ผู้เฒ่าเองก็เบิกตากว้าง ความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ เวลานี้เขาได้ขยายความเร็วของตบะหนึ่งส่วนให้เพิ่มสูงสุดแล้ว หลายปีมานี้ เขาเลือกลูกศิษย์ศาลาปราบมารมาหลายครั้ง ไม่เคยเจอใครที่มีความเร็วเกินตบะหนึ่งส่วนของตัวเองมาก่อน ทว่าตอนนี้ กลับได้เจอป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เป็นนักพรตที่สร้างความแปลกใจให้กับเขาอย่างมาก

เขายังค้นพบด้วยว่าต่อให้ตบะหนึ่งส่วนนี้จะขยายไปจนถึงขีดสุดแล้ว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ตัวเองอยู่ดี

ยิ่งตอนนี้ห่างจากที่ตั้งของศาลาปราบมารที่เพียงแค่มองไปก็เห็นด้วยแล้ว ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไล่ตามมาทันข้างกายของผู้เฒ่า เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของเขาดังไปรอบด้าน เส้นเอ็นเขียวปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผาก นัยน์ตาเผยความยึดมั่นคล้ายกำลังสู้สุดใจขาดดิ้น

และป๋ายเสี่ยวฉุนก็สู้สุดใจจริงๆ เวลานี้เขามองเห็นศาลาปราบมารแล้ว มองเห็นว่าเบื้องหน้ามีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งซึ่งมีเมฆหมอกล้อมวน บริวเวณโดยรอบภูเขาลูกนี้สร้างศาลาและหอเรือนขนาดใหญ่เอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน สามารถมองเห็นนักพรตจำนวนไม่น้อยที่เดินเข้าๆ ออกๆ โดยเฉพาะบนภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามกับป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งมีอักษรขนาดมหึมาสลักไว้สามคำ!

ศาลาปราบมาร!

สามคำนี้ ทุกคำล้วนใหญ่หลายร้อยจั้ง เป็นสีเลือดทั้งหมด น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ขณะเดียวกันก็คล้ายจะมีกลิ่นอายของความเหี้ยมเกรียมอำมหิตแผ่ออกมาจากในอักษรทั้งสามตัวนั้นด้วย

ม่านตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง ความเร็วยิ่งมากกว่าเดิม เขาคิดว่าตัวเองต้องแซงหน้าผู้เฒ่าคนนั้นไปได้ และโชคดีไม่ต้องทำภารกิจไปตลอดสามปีแน่นอน

“เจ้าเด็กบ้านี่ทำอะไร คิดจะมีเรื่องกับข้าผู้อาวุโสให้ได้เลยใช่ไหม!” ผู้เฒ่าขึงตา เขาเป็นถึงเจินเหรินก่อกำเนิด อีกทั้งตบะก็สูงส่งลึกล้ำ ต่อให้จะใช้พลังแค่ส่วนเดียว ทว่าหากปล่อยให้เด็กรุ่นเล็กคนหนึ่งตามมาทันมันก็น่าขายหน้ามากเกินไป เวลานี้จึงขมวดคิ้วฉับ มองเห็นว่าศาลาปราบมารอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว เขาจึงเริ่มลังเลใจ แต่ทันใดนั้น…

ขณะที่อยู่ห่างจากตำหนักใหญ่ศาลาปราบมารไม่ถึงพันเมตร ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันระเบิดตูมตาม ชนาเขย่าภูเขาถูกร่ายใช้ เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง

ความเร็วก็ไต่ระดับสูงไปอีกหลายต่อหลายเท่า แซงหน้าผู้เฒ่าไปในพริบตา และใกล้จะถึงลานกว้างของตำหนักใหญ่เข้าไปทุกที

ดวงตาของผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่อยู่ด้านหลังเขาแทบจะถลนออกมา ในใจด่ากราด พลันก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วใช้การหายตัวทันที

แต่ขณะที่เขากำลังจะหายตัวไปนั้น…ไอความเย็นกลับระเบิดเปรี๊ยะปร๊ะออกมาจากทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ปกคลุมไปทั่วรัศมีพันจั้ง แล้วร่างของเขาก็หายวับไปในพริบตาคล้ายเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสง เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่บนลานกว้างของตำหนักใหญ่แล้ว

ภาพนี้ทำให้ผู้เฒ่าพลันอ้าปากค้างเหมือนคนเห็นผี ทว่าเมื่อกลอกตาหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็ยังคงหายวับไป

“ข้ามาถึงคนแรก ฮ่าๆๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจฮักๆ คำรามเสียงดังด้วยความฮึกเหิม เขาแน่ใจมากๆ ว่าตัวเองมาถึงเป็นคนแรก ขณะที่กำลังห้าวเหิมได้ใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแก่ชราดังลอยมาจากทิศไกล

“ถูกต้อง เจ้ามาถึงคนแรกจริงๆ แต่เจ้าไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น? ลานกว้างที่ข้าพูดถึงคือตรงนี้” เมื่อเสียงนั้นดังลอยมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงงัน รีบหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นทันทีว่าบนลานกว้างอีกแห่งหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล เจ้าศาลาปราบมารยืนอยู่ตรงนั้นและยิ้มตาหยีส่งมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง มองลานกว้างหน้าตำหนักหลักที่ตัวเองยืนอยู่ แล้วก็หันไปมองลานกว้างหน้าตำหนักรองที่ผู้เฒ่ายืนอยู่ สีหน้าเขาพลันมืดมนทันที ทั้งยังรู้สึกหดหู่เข้าไปอีก

“ท่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา รู้สึกว่าตาแก่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ถอนหายใจพรืดด้วยความคับแค้น รีบวิ่งไปใกล้แล้วประสานมือคำนับผู้เฒ่า

“ศิษย์ป๋ายเสี่ยวฉุน คารวะเจ้าศาลา”

ผู้เฒ่าก่อกำเนิดอมยิ้มน้อยๆ วางมาดของผู้เมตตา แต่ในใจกลับฮึดฮัดเสียงเย็น เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบังอาจพุ่งแซงหน้าตัวเองไป เขาได้จดลงบัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อผู้เฒ่ามาถึง ไม่นานก็มีคนไม่น้อยในศาลาปราบมารเร่งรุดเข้ามาหา คนที่เร็วที่สุดก็คือนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ไว้หนวดและเคราแพะ นักพรตผู้นี้มีตบะรวมโอสถช่วงท้าย พอเข้ามาใกล้ได้ก็รีบประสานมือคารวะผู้เฒ่าก่อกำเนิดด้วยความเคารพยำเกรงทันที อีกทั้งคำพูดคำจาของเขาก็แฝงไว้ด้วยความประจบสอพลอ ไม่สนใจสักนิดว่ามีป๋ายเสี่ยวฉุนยืนฟังอยู่ข้างๆ

ผู้เฒ่าก่อกำเนิดยิ้มอ่อนๆ หลังจากพยักหน้ารับ นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นถึงได้ยืดตัวขึ้นแล้วมายืนอยู่ข้างๆ นั่นถึงทำให้เขาหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย ทำท่าทางครุ่นคิด

ไม่นานหลังจากนั้น นักพรตคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมาถึง และคนสุดท้ายก็คือนักพรตเสมือนโอสถที่ขยับมาจากสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ขณะที่เขามาถึงด้วยอาการตัวสั่น ผู้เฒ่าคนนั้นก็มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยหนึ่งที จากนั้นจึงถอนสายตากลับ แม้เขาจะทำเช่นนี้ ทว่าชายเคราแพะที่อยู่ด้านข้างกลับจดจำไว้เรียบร้อยแล้ว

“ข้าผู้อาวุโสเฝิงโหย่วเต้า เจ้าศาลาปราบมาร นับแต่นี้ไปพวกเจ้าทุกคนก็คือนักพรตของศาลาปราบมาร ทุกอย่างต้องปฏิบัติตามกฏของศาลาปราบมาร อวิ๋นเต้าจื่อ เจ้าจัดการส่วนที่เหลือต่อ!” ผู้เฒ่าสั่งความสองสามประโยคก็หมุนตัวทะยานไปยังยอดเขา ขณะที่ทุกคนกำลังงงงัน ชายเคราแพะที่ถูกผู้เฒ่าเรียกว่าอวิ๋นเต้าจื่อเวลานี้กำลังมองพวกป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

“ทุกท่านไม่ต้องตกอกตกใจไป ข้าน้อยคือผู้ควบคุมของศาลาปราบมาร เมื่อมาถึงศาลาปราบมารแล้ว ต่อไปทุกคนก็คือคนกันเอง แต่เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรกก็จำเป็นต้องปฏิบัติกภารกิจหนึ่งครั้ง เดี๋ยวตอนนี้ข้าจะแบ่งงานให้พวกเจ้าเอง”

อวิ๋นเต้าจื่อยิ้มบางๆ สายตากวาดมองทุกคน ขณะที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาเขาก็เปล่งแสงน้อยๆ อย่างยากจะสังเกตได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!