Skip to content

A Will Eternal 47

บทที่ 47 เสี่ยวฉุนออกจากสำนัก

เช้าตรู่ เมื่อแสงอรุณแรกตกกระทบลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ว่าป้ายประจำตัวสั่นไหว เขายืนอยู่นอกที่พักของตัวเอง หันกลับไปมองที่พักที่อยู่อาศัยมาสองปีกว่าหนึ่งครั้งแล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที

“เดินทางครั้งนี้ต้องระมัดระวังให้จงหนัก ห้ามเอาชีวิตเล็กๆ ไปทิ้งเด็ดขาด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด สวมเสื้อหนังเจ็ดแปดชิ้นลงไป แล้วก็แบกหม้อสีดำใบใหญ่ของจางต้าพั่งเข้าไปอีก เดิมทีเขาผอมแห้ง แต่พอแต่งตัวเช่นนี้กลับดูเหมือนลูกกลมลูกหนึ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนจากเขาเซียงอวิ๋นไปพร้อมความในใจที่หนักอึ้ง เดินไปยังทางเข้าภูเขาชายฝั่งทิศใต้ ระหว่างทางลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยมองเห็นเขา ต่างก็ถูกการแต่งตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้อึ้งงัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้ามุ่ยสนิท หากเจอคนที่คุ้นเคยก็จะโบกมืออำลา ค่อยๆ ไปถึงทางเข้าภูเขาของชายฝั่งทิศใต้ เพิ่งจะเข้ามาใกล้ เขาก็มองเห็นว่าตรงนั้นมีคนอยู่สองคน คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่กำลังนั่งสมาธิ อีกคนหนึ่งคือหญิงสาว มองจากแผ่นหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคุ้นตาอยู่มาก หญิงสาวผู้นี้ยามนี้กำลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างทางเข้าภูเขาอย่างไร้ซึ่งความอดทน

“ตู้หลิงเฟย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง

เวลานี้ตู้หลิงเฟยเองก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน นางเองก็ตะลึงไปเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากที่พบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแต่งตัวเช่นนั้น นางก็ขมวดคิ้วฉับ

“คนสุดท้ายที่เข้าร่วมภารกิจสืบหาศิษย์พี่โหวที่หายตัวไปคือเจ้า?”

“ข้าเอง บังเอิญจังเลยเนอะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที สายตากวาดมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายตู้หลิงเฟยด้วย ชายหนุ่มผู้นี้ใบหน้าไร้อารมณ์ แต่บนร่างกลับมีกลิ่นอายดุร้ายตลบอบอวลไปทั่ว ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังเขา เขาลืมตาขึ้นมา มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งทีด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุกวาบ ก่อนหน้าที่จะมาเขาวิเคราะห์ไว้แล้วว่าในภารกิจครั้งนี้เฉียนต้าจินจะลงมืออย่างไร หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือหาสหายร่วมสำนักที่ปฏิบัติภารกิจเดียวกัน หลังจากออกจากสำนักไปไกลแล้วก็แอบลงมือ แบบนี้เทพก็ไม่รู้ผีก็ไม่เห็น

ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นตู้หลิงเฟยหรือว่าชายหนุ่มผู้นี้ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนหวาดระแวงทั้งหมด แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เผยมันออกมาทางสีหน้า ทั้งยังยิ้มให้ชายหนุ่มผู้นั้นอย่างไร้เดียงสา

“ข้าน้อยป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ทราบว่าศิษย์พี่คือ…”

“เฝิงเหยียน แห่งเขาชิงเฟิง” ชายหนุ่มยิ้มเช่นกัน เอ่ยปากเนิบช้า

“ที่แท้ก็ศิษย์พี่เฝิงนี่เอง ศิษย์พี่เฝิงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบุคคลโดดเด่นไม่ธรรมดา ข้าออกมาปฏิบัติภารกิจข้างนอกเป็นครั้งแรก หวังว่าศิษย์พี่เฝิงจะช่วยชี้แนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบกำหมัดประสาน สัมผัสได้แล้วว่าอีกฝ่ายบำเพ็ญตบะได้ถึงการรวมลมปราณขั้นที่เจ็ด

“พูดได้ดีๆ” ในดวงตาเฝิงเหยียนมีแววดูหมิ่นน้อยนิดจนแทบสัมผัสไม่ได้วาบผ่าน ที่เขาเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ก็เพราะลูกศิษย์ฝ่ายในอย่างเฉียนต้าจินให้คำมั่นสัญญากับเขา ทำให้เขาหวั่นไหวอย่างถึงขีดสุด ถึงได้รับปากมาลอบฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนระหว่างปฏิบัติภารกิจ

เรื่องนี้สำหรับเขาถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ถึงขั้นที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองลงมือโดยตรง ใช้ลูกเล่นแค่เล็กน้อยก็สามารถทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตายไปเพราะอุบัติเหตุได้

สิ่งเดียวที่ต้องระวังก็คืออย่าให้ตู้หลิงเฟยเห็น แต่สำหรับเขาแล้ว ในเมื่อภารกิจนี้มีตู้หลิงเฟย ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการผลักดันของเฉียนต้าจินเช่นกัน

ตู้หลิงเฟยขมวดคิ้ว นางคิดไม่ถึงว่าออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกจะต้องมาเจอกับเจ้าคนน่ารังเกียจหน้าด้านผู้นี้ด้วย ภารกิจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะคนอื่นบีบบังคับให้นางทำ แต่นางเป็นฝ่ายขอรับมาทำเอง เพราะถึงแม้ภารกิจประเภทนี้จะอันตรายพอสมควร แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังถือว่าง่าย อีกทั้งคะแนนคุณความดีก็ไม่น้อย

แถมนางยังติดอยู่ที่ขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณที่ห้ามานานมากแล้ว อยากจะได้คะแนนคุณความดีที่มากพอไปแลกธูปหลิงอวิ๋น เพื่อนำมาใช้ฝ่าทะลุไปอีกขึ้น พอนึกถึงธูปหลิงอวิ๋น นางก็ยิ่งรังเกียจป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นไปอีก

‘ขี้ขลาดอย่างกับหนู!’ ตู้หลิงเฟยมองเห็นท่าทางเช่นนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็ยิ่งให้สะอิดสะเอียน โดยเฉพาะการแต่งตัวตลอดทั้งร่างที่ไม่ต่างไปจากลูกกลมลูกหนึ่งของอีกฝ่าย แถมยังแบกหม้อสีดำใบใหญ่เบ้อเริ่ม จะมองยังไงก็คือท่าทางของคนที่กลัวตายจนถึงขีดสุด

ในเวลานี้จึงทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที ไม่ให้ความสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก ประสานหมัดไปทางเฝิงเหยียน

“ศิษย์พี่เฝิง คนมาครบแล้ว โปรดนำผ้าใบลอยตามลมออกมา ทำภารกิจให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อกลับมาให้เร็วที่สุด”

เฝิงเหยียนยิ้มน้อยๆ มือขวาตบลงไปที่ถุงผ้า ทันใดแสงสีขาวเส้นหนึ่งก็ลอยออกมาและขยายใหญ่ตามลม ไม่นานก็กลายร่างเป็นเรือสีขาวขนาดยาวประมาณสองจั้งกลางอากาศ

คลื่นพลังวิเศษแผ่กระจายออกมาจากเรือลำนี้เป็นระลอก กลายเป็นอานุภาพข่มขวัญ ไม่ธรรมดาทีเดียว

“ศิษย์พี่เฝิง นี่คืออะไรเหรอ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพอเห็นก็ถามหยั่งเชิงขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ ของสิ่งนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะเมื่อเรือลำนี้ลอยอยู่กลางอากาศ แค่มองก็รู้ว่าเป็นวัตถุที่โดยสารได้ จึงยิ่งรู้สึกว่าไม่ธรรมดา

ดวงตาตู้หลิงเฟยฉายแววดูหมิ่น เฝิงเหยียนที่อยู่ด้านข้างยิ้มให้

“วัตถุชิ้นนี้ก็คือผ้าใบลอยตามลม พวกเราออกไปทำภารกิจข้างนอก หากสถานที่ที่ต้องไปอยู่ไกล สำนักจะให้เราเช่าเรือประเภทนี้มา ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณในการควบคุมมากนัก ใช้งานสะดวกมาก เพียงแต่ว่าต้องใช้หินวิเศษเยอะมาก” เฝิงเหยียนพูดแล้วกระโดดผลุงขึ้นไปอยู่ในเรือ

ตู้หลิงเฟยตามไปติดๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รีบกระโดดขึ้นไปด้วย เรือลำนี้ไม่ใหญ่ พื้นที่ว่างด้านในไม่เยอะ เพียงแต่ว่าเมื่อบรรจุคนสามคนแล้วก็ยังมีที่ว่างเหลือเฟือ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ท้ายสุด ลูบคลำทางนี้ที มองทางนั้นที ก็ยิ่งรู้สึกว่าวัตถุนี้ไม่เลว

“เดี๋ยวต่อไปข้าจะหามาไว้สักลำ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดกับตัวเอง

“ต่อให้เจ้าขายตัวเองก็ยังไม่พอซื้อ!” ตู้หลิงเฟยมองเห็นท่าทางบ้านนอกของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอ่ยปากเสียดสี

ป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่ตาประเมินตู้หลิงเฟย ฟังจบก็พยักหน้า

“งั้นขายเจ้าก็น่าจะพอซื้อ”

“เจ้า!” ตู้หลิงเฟยถลึงดวงตาคู่งาม กำลังจะเอ่ยปากต่อ ผ้าใบลอยตามลมเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของเฝิงเหยียนก็คำรามหนึ่งครั้ง กลายร่างเป็นสายรุ้งเส้นยาวทะยานไปยังขอบฟ้า

เมื่อมองไกลๆ เรือสายรุ้งยาวเส้นนี้ค่อยๆ หายไปตรงขอบฟ้า

ในเวลาเดียวกันนั้น บนเขาเซียงอวิ๋น ในหออาจารย์โอสถ ผู้เฒ่าสวีที่รับผิดชอบการทดสอบเลื่อนขั้นศิษย์โอสถ ในมือถือแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“ศาลาพิพากษ์ข้ามหน้าเขาเซียงอวิ๋นเรา บังคับให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปปฏิบัติภารกิจ?” ผู้เฒ่าสวีอ่านแผ่นหยกอย่างละเอียด หลังผ่านไปครู่หนึ่งจึงคลายหัวคิ้ว เขาดูออกว่าภารกิจนี้ง่าย แม้ว่าจะอันตรายพอสมควรแต่กลับไม่ร้ายแรงถึงชีวิต

“เด็กคนนี้ขี้เกียจจนเป็นนิสัยแล้ว ลงโทษเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” ผู้เฒ่าสวีนึกถึงสิ่งที่หลี่ชิงโหวกำชับก่อนจากไป รวมถึงนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เขาเคยพูดถึง ดังนั้นจึงวางแผ่นหยกลงไม่ให้ความสนใจอีก และหลอมยาต่อไป

เวลาเดียวกันนั้น ในส่วนที่อยู่ของลูกศิษย์ฝ่ายในบนเขาชิงเฟิง นอกถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง เฉียนต้าจินยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังเรือที่อยู่ห่างออกไปไกล ใบหน้าเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

“ด้วยตบะของเฝิงเหยียน แอบฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนถือว่าง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ ป๋ายเสี่ยวฉุน…ความรู้ด้านพืชหญ้าของเจ้านั้นไม่เลว แต่น่าเสียดาย เจ้าไม่มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นมาเสียแล้ว คราวนี้เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!” ส่วนลึกในดวงตาของเฉียนต้าจินมีประกายเย็นยะเยียบวาบผ่าน ยิ้มน้อยๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส คลื่นน้ำเขียวมรกตกว้างไกลหมื่นลี้ อยู่บนเรือลำนี้ แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตึงเครียด แต่หลังจากที่มองเห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่กลายเป็นเล็กกระจิดริดอยู่ใต้ฝ่าเท้า ก็ยังคงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

เขายื่นหัวมองลงไป สามารถมองเห็นยอดเขาแต่ละยอดเป็นดั่งกระบี่ เทือกเขาแต่ละแห่งราวกับมังกร โดยเฉพาะเขามองเห็น…แม่น้ำสายใหญ่ที่ใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

“แม่น้ำทงเทียน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่เขากลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก เคยอ่านตำรามามากมาย รู้ว่าตลอดทั้งโลกของการบำเพ็ญเพียรนี้ ในความเป็นจริงแล้วล้วนอาศัยแม่น้ำทงเทียนสายนี้ในการฝึกบำเพ็ญตบะ

แม่น้ำสายนี้คือศูนย์รวมแห่งต้นกำเนิดของพลังวิญญาณทั้งหมด

ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักใดก็ล้วนสร้างอยู่ในสถานที่ที่ใกล้กับแม่น้ำทงเทียน และยิ่งเป็นต้นน้ำ พลังวิญญาณก็ยิ่งเข้มข้น

สถานที่ตั้งของสำนักธาราเทพถือว่าเป็นส่วนปลายน้ำเท่านั้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็สามารถยืนหยัดมาได้นับหมื่นปี ในข้อมูลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยอ่านบอกไว้ว่า เมื่อหมื่นปีก่อนสำนักธาราเทพไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่อยู่ที่สุดปลายของแม่น้ำ ทว่าเพราะปฐมาจารย์ท่านหนึ่งมีความสามารถโดดเด่นออกมาในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรและคนในสำนักที่อยู่สุดปลายน้ำจำนวนไม่ถ้วน ได้รับการให้ความสำคัญจากสำนักใหญ่ ถึงได้มีคุณสมบัติขยับมาก่อตั้งสำนักขึ้นที่ปลายน้ำนี้

‘ว่ากันว่าระดับความแข็งแกร่งของสำนักที่อยู่ช่วงกลางแม่น้ำทงเทียน ต่อให้มีสำนักธาราเทพอีกหลายแห่งก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ และส่วนที่อยู่ต้นน้ำนั้น กล่าวกันว่า…ยังมีสำนักที่น่ากลัวยิ่งกว่าตั้งอยู่’ ป๋ายเสี่ยวฉุนกดกลั้นแรงกระเพื่อมในใจลงไป การออกเดินทางของเขาครั้งนี้ ในใจมีความระแวดระวังอยู่มาก

แม่น้ำทงเทียนนี้อยู่ด้านล่างไม่ไกลออกไป น้ำเป็นสีทองอร่าม คลื่นโหมซัดสาดต่อเนื่องไม่ต่างไปจากมหาสมุทร อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำมียอดเขาสี่ยอดทะลุแผ่นฟ้าขึ้นมา พลังวิญญาณน่าตื่นตะลึง

‘ตรงนั้นน่าจะเป็นชายฝั่งทิศเหนือของสำนักธาราเทพ’ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังสี่ยอดเขาของชายฝั่งทิศเหนือ และก็ยิ่งมองเห็นยอดเขาหลักของสำนักธาราเทพ เขาลูกนั้นทอดขวางข้ามแม่น้ำทงเทียน กลายเป็นสะพานภูเขา!

‘ภูเขาจ่งเต้า!’ ตอนแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกหลี่ชิงโหวพามาก็เคยเห็นสถานที่เหล่านี้มาก่อน เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขายังเป็นคนธรรมดา แต่ตอนนี้กลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว เมื่อมองไปอีกครั้ง ความรู้สึกจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เรือบินทะยานอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ห่างจากสำนักไปไกล ไปตามเส้นทางของแม่น้ำทงเทียนแต่ละเส้นที่ไหลซัดสาด ทะยานดิ่งไปยังปลายแม่น้ำ

“ศิษย์น้องตู้ ศิษย์น้องป๋าย พวกเจ้าเองก็คงเห็นภารกิจแล้ว สถานที่ที่พวกเราต้องไปในครั้งนี้คือเทือกเขาลั่วซิงที่อยู่ปลายแม่น้ำทงเทียน ข่าวคราวครั้งสุดท้ายของศิษย์น้องโหวที่ส่งมาก็มาจากที่นั่น เทือกเขาลั่วซิงแห่งนี้คือเส้นชายขอบอำนาจของสำนักธาราเทพเราแล้ว อีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขาก็คือขอบเขตของสำนักธาราเลือด” เฝิงเหยียนเอ่ยปากเนิบนาบ เสียงของเขาเมื่ออยู่ในเรือถูกเสียงลมกลบให้เลือนราง ฟังไม่ชัดเจนนัก

“การเดินทางครั้งนี้อาจจะต้องเจอกับอันตรายในระดับหนึ่ง แต่พวกเรารับภารกิจมาแล้วก็ต้องมีการเตรียมใจกันมาก่อน ดังนั้นขอแค่ระมัดระวังให้มากหน่อยก็ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรแล้วล่ะ”

“เพียงแต่สถานที่ที่พวกเราต้องไปอยู่ไกลมาก ต้องใช้หินวิเศษไม่น้อย ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่พวกเราเดินเอาแล้วกัน หากเป็นสถานที่ที่ข้ามไปได้ยากค่อยใช้เรือลำนี้ข้ามไป” เฝิงเหยียนพูดจบ ส่วนลึกในดวงตามีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน นั่งอยู่ด้านหน้าหลับตาลงทำสมาธิ

ตู้หลิงเฟยไม่อยากสนใจป๋ายเสี่ยวฉุน จึงนั่งพิงด้านข้าง สูดลมหายใจทำสมาธิเช่นเดียวกัน

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งระแวดระวัง ถึงแม้จะนั่งสมาธิ แต่ในใจกลับครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา สองคนข้างหน้านี้ ใครกันแน่ที่เฉียนต้าจินส่งมา

‘ตู้หลิงเฟยมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด… ถ้างั้นเฝิงเหยียนคนนี้ ในสิบก็มีแปดเก้าส่วนที่จะเป็นเขา!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!