บทที่ 508 หรือว่าต้องล่อลวงสตรีแดง
ออกมาด้วยอารมณ์ฮึกเหิม กลับไปด้วยความกลัดกลุ้มเต็มหัวใจ หลังจากที่กลับมาถึงค่ายทหาร พอนึกถึงภาพการเดินทางของผู้บังคับกองหมื่นในวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเต็มไปด้วยความริษยา
“ผู้บังคับกองหมื่น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน
พอไพล่นึกไปถึงว่าข้างกายของเหนียนจือหรงมีผู้บังคับกองพันสิบคนห้อมล้อมก็อดย้อนมาดูตัวเองไม่ได้
“ไม่ได้การล่ะ ข้าต้องกลายมาเป็นผู้บังคับกองหมื่นให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน ดวงตาฉายความเด็ดเดี่ยว ครึ่งปีมานี้เขาแทบจะไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้หลอมยาด้วย เวลาเกือบทั้งหมดล้วนใช้หมดไปกับการดื่มด่ำฐานะของผู้บังคับกองพัน และบัดนี้เขาพลันตระหนักได้ว่า ผู้บังคับกองพันยังไม่ใช่ปลายทางของตัวเอง
เมื่อความคิดอยากกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นบังเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดนึกถึงเรื่องที่ป๋ายหลินบอกให้ตัวเองพยายามมุมานะจนกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นไม่ได้
“หลังจากที่ปลดเกษียณด้วยฐานะผู้บังคับกองหมื่น กลับไปถึงสำนักก็จะได้เป็นผู้อาวุโสของศาลาเลือดเหล็ก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ รู้สึกว่าข้อมูลที่ตัวเองรู้ยังไม่ครอบคลุมเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงออกไปสืบข่าวจากข้างนอก
เรื่องแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นความลับสำหรับในกองทัพใหญ่ทั้งห้า ทั้งยังเป็นเรื่องที่พูดคุยกันอย่างแพร่หลายด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่เอ่ยถามนิดหน่อยก็รับรู้เรื่องทั้งหมด เมื่อเขาได้ยินว่าความสูงส่งของฐานะผู้อาวุโสศาลาเลือดเหล็กเหนือเกินกว่าผู้อาวุโสทั่วไป แถมยังลำดับชั้นต่ำกว่าเจ้าสำนักแค่ครึ่งเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าแสดงความสนใจอย่างถึงขีดสุด
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…นั่นมันเจ้าสำนักของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเชียวนะ แม้ว่าจะเป็นก่อกำเนิดเหมือนกัน แต่ฐานะก็สูงส่งอย่างยิ่ง ทว่าผู้อาวุโสของศาลาเลือดเหล็กนี้กลับเป็นรองแค่ครึ่งเดียว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อ แต่หลังจากที่เขาสืบข่าวมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
“กองทัพใหญ่ทั้งห้า แม้แต่เจ้าสำนักยังไม่กล้าแตะต้อง คนฟ้าก็ยังเป็นแค่ผู้รักษาการณ์ ผู้ที่สามาถควบคุมกองทัพใหญ่ทั้งห้าได้อย่างแท้จริง มีเพียง…บุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้น!”
“ที่ศาลาเลือดเหล็กมีตำแหน่งเหนือกว่าผู้ใดเช่นนี้ก็เพราะว่าศาลาเลือดเหล็กฟังคำสั่งจาก…บุรพาจารย์ครึ่งเทพเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก ใจเต้นกระหน่ำรัวแรง
เขาครุ่นคิดว่าหากตนอยู่ที่นี่จนได้เป็นผู้บังคับกองหมื่น ถ้าเช่นนั้นผ่านไปไม่กี่ปีเมื่อเวลาประจำการเต็มจำนวนจนได้กลับไปอยู่สำนัก หลังจากเอาสัตว์ฟ้าห้าธาตุอย่างธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินมารวบรวมเป็นหนึ่งส่วนอย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นก่อกำเนิดสัตว์ฟ้าได้สำเร็จ ลำดับต่อมาก็สามารถได้กลายเป็นผู้อาวุโสของศาลาเลือดเหล็ก!
เมื่อถึงเวลานั้นตนก็อยู่สูงส่งเกินผู้ใด ตำแหน่งแตกต่างไปจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ทางสำนักสยบธารก็ต้องได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเพราะเหตุนี้ และตนก็จะได้รับสิ่งดีๆ มากมายเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้อนเร่า นัยน์ตาคล้ายมีดวงดาวเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายพริบพราว เต็มไปด้วยความรอคอยคาดหวัง
“ข้าต้องกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบขาตัวเองฉาดใหญ่
แต่หลังจากมีปณิธานยิ่งใหญ่แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มกลัดกลุ้ม เมื่อปีก่อนเขาก็เคยคำนวณแล้วว่าหากจะกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นได้จำเป็นต้องมีคุณความชอบในการรบมหาศาล และต้องลงสนามรบแบบเมื่อปีนั้นอีกนับร้อยครั้งถึงจะได้
ทว่าตอนนี้เวลาผ่านไปเกินครึ่งปีแล้ว สงครามขนาดเท่าคราวก่อนกลับไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจอย่างห้ามไม่อยู่ ดังนั้นหลายวันหลังจากนั้นเขาจึงมักจะไปยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดสายตามองไกลไปยังแดนทุรกันดารด้านนอก หวังว่าจะได้เห็นกองทัพใหญ่ของแดนทุรกันดาร
“ทำไมถึงยังไม่มาสักที…”
“บัดซบเอ๊ย ข้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว แค่เจ็ดแปดปีเท่านั้น จะทำอย่างไรดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนถอนหายใจเฮือกๆ อยู่บนกำแพงเมือง มองไปข้างนอกตาปริบๆ รอคอยด้วยความวิตกกังวล
“พวกชนพื้นเมืองและพวกผู้ฝึกวิญญาณนี่ก็ขี้ขลาดเสียจริง ทำไมไม่มาโจมตีสักที!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรอมาหนึ่งเดือนกว่า ความหงุดหงิดก็เพิ่มพูนถึงขีดสุด
ช่วงเวลาที่ผ่านมา นักพรตที่อยู่บนกำแพงเมืองได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็ได้ยินเสียงเขาบ่นพึมพำบ่อยๆ แต่ละคนได้แต่หันมามองหน้ากันด้วยสายตาแปลกประหลาด
ในความรู้สึกของพวกเขา การที่พวกชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารไม่มาโจมตี นับเป็นเรื่องดี…แต่ทำไมความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงไม่เหมือนกับพวกเขาเอาเสียเลย แต่ละคนจึงได้แต่รู้สึกพิลึกพิลั่น
แน่นอนว่ามีคนบางส่วนที่เมื่อหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้
“ทำไมถึงไม่มา? ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือไร หากไม่เพราะวิธีการเหล่านั้นของเจ้า ถ้าเป็นในอดีต การโจมตีของแดนทุรกันดารเว้นระยะแค่ไม่กี่วันก็ต้องมีเกิดขึ้นใหม่แล้ว แถมขนาดก็ค่อนข้างใหญ่ด้วย”
ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนอับจนหนทาง ตอนนี้หากเขาคิดถึงคุณความชอบในการรบเมื่อใดตาก็ต้องแดงก่ำเมื่อนั้น จึงพอกัดฟันเตรียมจะใช้ทางลัด
“ช่วยไม่ได้ พวกชนพื้นเมืองเหล่านั้นว่ายาก ข้าคงได้แต่คิดหาวิธีการอื่นมาสั่งสมคุณความชอบในการรบ! ข้าต้องกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตาแดงก่ำ หลังกลับจากกำแพงเมืองก็มุ่งหน้าไปยังดวงตายักษ์เหนือเจดีย์สูงตรงจุดศูนย์กลางของนครหลักทันที
เขาจำได้ว่าตอนที่เขามาแลกเปลี่ยนสิ่งของเมื่อคราวก่อนเคยเห็นกระดานภารกิจอันหนึ่ง และด้านในก็ดูเหมือนจะมีประกาศต้องฆ่าอยู่ด้วย ซึ่งประกาศต้องฆ่านั้นเหมือนกับประกาศต้องฆ่าของแดนทุรกันดารที่ด้านบนมีรายชื่อของคนบางส่วน และเมื่อสังหารคนเหล่านั้นก็จะได้รับรางวัลเป็นคุณความชอบในการรบที่น่าตะลึง
“ตอนนี้ข้าเป็นผู้บังคับกองพัน ลูกน้องใต้สังกัดที่แข็งแกร่งก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะหาคุณความชอบในการรบมาไม่ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อทะยานไปถึงพื้นที่จุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว เมื่อมาหยุดอยู่ด้านล่างเจดีย์สูงก็เห็นว่าที่นั่นมีคนอยู่ไม่น้อย พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมาเยือนพวกเขาต่างก็พากันหันมาจับจ้อง
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองดวงตายักษ์บนเจดีย์สูง หยิบเอาแผ่นป้ายประจำตัวออกมา ก่อนจะผสานพลังจิตเข้าไป แล้วก็มองเห็นประกาศต้องฆ่าทันที สายตาของเขาจึงไปตกอยู่ที่รายชื่ออันดับหนึ่งอย่างฉับไว
การมองครั้งนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สูดลมหายใจเฮือกใหญ่
“สตรีแดง!”
ในประกาศต้องฆ่านี้ ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งก็คือสตรีแดง อีกทั้งยังมีหมายเหตุบอกไว้ชัดเจนว่าหญิงสาวผู้นี้มีตบะคนฟ้าช่วงต้น ลงมือโหดเหี้ยมอำมหิต นิสัยเย็นชา ทั้งยังมีคำเตือนบอกไว้ด้วยว่าหากตบะไม่ถึงคนฟ้า เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้นี้หากหนีได้ก็ให้หนีทันที
นับตั้งแต่ที่หญิงสาวผู้นี้ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ นักพรตที่ตายด้วยน้ำมือนางมีมากมายจนคนที่ได้ฟังตะลึงพรึงเพริด โดยเฉพาะนักพรตก่อกำเนิดที่ยิ่งถูกนางสังหารไปไม่น้อย
ที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือหญิงสาวผู้นี้ฝึกบำเพ็ญตบะโดยใช้เวลาไม่ถึงสองร้อยปี
เวลาไม่ถึงสองร้อยปีแต่กลับฝึกได้ถึงขั้นคนฟ้า เรื่องแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ในความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน แถมอีกฝ่ายยังเป็นนักพรตของแดนทุรกันดาร แดนทุรกันดารที่ทรัพยากรขาดแคลนแร้นแค้น ไม่มีพลังฟ้าดิน มีเพียงพลังจิตวิญญาณ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังฝึกมาถึงระดับนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าทรัพยากรที่สตรีแดงผู้นี้ได้รับต้องมากมหาศาลผิดจากคนทั่วไป
“ข้าจำสตรีแดงผู้นี้ได้…” ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังรายชื่ออันดับหนึ่งของประกาศต้องฆ่านี้ ในสมองของเขาก็พลันมีใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งลอยขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้รูปโฉมงามล้ำ แถมยังงามพิสุทธิ์กว่าเฉินม่านเหยาถึงสามส่วน นางสวมชุดคลุมยาวสีแดงทำให้เรือนร่างดูอรชรอ้อนแอ้น ทว่าประกายแสงคมกล้าในดวงตากลับทำให้ปราณดุร้ายของหญิงสาวผู้นี้พวยพุ่งเสียดฟ้า ต่อให้เห็นแค่ภาพวาดของนางก็ยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดสำลักลมหายใจได้
เขานึกขึ้นได้ทันทีว่าตอนนั้นที่ตัวเองอยู่บนกำแพงเมือง
คนที่ประมือกับเฉินเห้อเทียนก็คือหญิงสาวผู้นี้ ขณะเดียวกันเขาก็คิดได้ว่าเป็นหญิงสาวผู้นี้อีกเหมือนกันที่ออกคำสั่งให้สังหารตน…
ภาพวาดของสตรีแดงไม่ได้มีอยู่แค่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่มองไปยังรายชื่อนี้ก็จะมีภาพวาดของนางปรากฏขึ้นมาทันทีเพื่อง่ายต่อการจดจำของนักพรตทุกคน
บุคคลที่โดดเด่นเช่นนี้ รางวัลที่ตลอดทั้งกำแพงเมืองมีมอบให้ก็ย่อมน่าตะลึงไปตามๆ กัน ไม่ว่าใครก็ตามที่สังหารคนผู้นี้ได้จะได้เลื่อนขั้นกลายเป็นแม่ทัพกองพลทันที!
หากไม่มีแม่ทัพกองพลอื่นให้เปลี่ยนตัวก็ยังสามารถสร้างกองพลของตัวเองขึ้นมาได้ รางวัลเช่นนี้มูลค่ามหาศาลเกินกว่าการเป็นผู้บังคับกองหมื่นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการเสียอีก ทำเอาดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองไปฉายประกายกระตือรือร้นเร่าร้อน เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา แต่พอนึกถึงความเป็นจริง เขาก็แบะปากหน้ามุ่ย
“นี่มันเหลวไหลสิ้นดี คนที่จะจัดการแม่นี่ได้ก็ต้องมีแต่คนฟ้าเท่านั้น ใครจะยังอยากได้ตำแหน่งแม่ทัพกองพลอะไรนี่กันล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว รู้สึกว่าหากตนมีความสามารถเช่นนี้จริงก็คงไม่อยู่ที่นี่ แต่กลับสำนักสยบธารไปนานแล้ว เพราะอย่างไรซะสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็คงไม่อยากจะล่วงเกินคนฟ้าคนหนึ่งง่ายๆ หรอกกระมัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจแล้วก็หันมามองชื่อที่สอง ชื่อที่สองนี้ก็เป็นคนฟ้าเหมือนกัน…นามว่าจิงเจ๋อ ผลงานในการรบที่ระบุไว้ยาวเหยียดด้านหลังทำเอาคนมองประหวั่นพรั่นพรึง
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหาย เมื่อมองไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาพบว่าสามสิบอันดับแรกล้วนคือผู้ฝึกวิญญาณที่มีขอบเขตก่อกำเนิดทั้งสิ้น แม้ว่าเบื้องหลังจะเริ่มมีขอบเขตรวมโอสถปรากฏ แต่คุณความชอบในการรบกลับลดน้อยลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดูคร่าวๆ เขาก็พบว่าหากตัวเองลงมือกับรวมโอสถ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องสังหารตั้งแต่คนที่อยู่อันดับสามสิบกว่ามาถึงสองร้อยกว่าจึงจะพอรวบรวมคุณความชอบในการรบที่เพียงพอสำหรับการเป็นผู้บังคับกองหมื่นได้
“จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด จำต้องล้มเลิกความคิดที่จะสะสมคุณความชอบในการรบจากประกาศต้องฆ่านี้ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้อันตรายเกินไป แต่พอนึกถึงเกียรติยศรวมไปถึงข้อดีต่างๆ มากมายหลังจากได้เป็นผู้บังคับกองหมื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกไม่ยินยอมจนต้องขบคิดว่าตัวเองมีข้อดีอะไรอีกที่สามารถเพิ่มคุณความชอบในการรบให้มากขึ้นได้
“ปวดหัวจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็พบว่านอกจากหลอมยาแล้ว ดูเหมือนว่าตนจะ…ไม่มีดีอะไรอีกแล้ว
“ไม่ถูกสิ ข้ายังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า พลันนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองให้คำปรึกษาจ้าวเทียนเจียวโดยเรียกตัวเองว่าเทพแห่งความรัก นั่นจึงทำให้ใจเขาสั่นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
หันกลับมามองรายชื่ออันดับหนึ่งบนประกาศต้องฆ่า ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกคิดไม่ตกเล็กน้อย
“หรือว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นได้ก็ต่อเมื่อสละใบหน้าอันหล่อเหลาไปล่อลวงสตรีแดงผู้นั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเจ็บแค้นทั้งอึดอัดคับข้องใจ โดยเฉพาะคิดว่าอีกฝ่ายแก่กว่าตัวเอง มองดูเหมือนจะสวย แต่ไม่แน่ว่านางอาจมีความชอบอะไรที่แปลกประหลาด เขารู้สึกว่าหากตัวเองทำเช่นนี้จะเป็นการสละตนมากเกินไป
“ไม่คุ้มเอาเสียเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตกอีกครั้ง ล้มเลิกความคิดที่น่าหวาดกลัวนี้ไปในที่สุด