Skip to content

A Will Eternal 510

บทที่ 510 นี่มันปล้นกันชัดๆ

“วิธีนี้เท่ากับชี้โพรงให้กระรอกชัดๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไปถึงค่ายพักทหารด้วยความฮึกเหิม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เรียกหาจ้าวหลงให้อีกฝ่ายเอาแผนที่นอกกำแพงเมืองมาให้

ในค่ายพัก หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาแผนที่อยู่พักใหญ่ก็ชี้นิ้วไปยังหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ถึงสิบลี้

“ที่นี่แหละ!”

จ้าวหลงที่ยืนอยู่ด้านข้างอึ้งงัน มองหุบเขาเล็กๆ บนแผนที่ด้วยความใคร่รู้ ที่นั่นธรรมดาอย่างมาก ปกติไม่เคยเห็นเงาของสิ่งมีชีวิตใด เขาไม่เข้าใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ไปที่นั่นหมายความว่ายังไงกันแน่

“ไต้เท้า หุบเขาแห่งนี้มันทำไมหรือ?” จ้าวหลงถาม

“ตามรายงานบอกว่าในหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้มีสัตว์เขาวิญญาณตบะเทียบเคียงกับก่อกำเนิดขั้นต้นอยู่ ต้องการให้คนไปสังหารสัตว์นี้ที่นั่น เพื่อเอาเขาวิญญาณมาแลกคุณความชอบในการรบ เจ้าเอาภารกิจนี้ไปประกาศให้ข้าหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“หา?” จ้าวหลงตะลึงไปครู่ สัตว์เขาวิญญาณคือสัตว์ดุร้ายที่พิเศษชนิดหนึ่งในแดนทุรกันดาร เขาของมันไม่เพียงแต่มีมูลค่าทางยา ยังเป็นวัสดุหลักในการสร้างธนูเขาวิญญาณด้วย เพียงแต่ว่าสัตว์เขาวิญญาณชนิดนี้โดยทั่วไปแล้วจะอยู่อาศัยในจุดที่มีวิญญาณพยาบาทรวมตัวกัน ทว่าหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้ห่างจากกำแพงเมืองแค่สิบลี้เท่านั้น ที่นั่นไม่มีวิญญาณใดๆ อยู่ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ว่าสัตว์เขาวิญญาณจะเข้าออกที่นั่น

แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่ใกล้กำแพงเมืองซึ่งมีสงครามเกิดขึ้นเป็นประจำแบบนี้ ต่อให้มีสัตว์เขาวิญญาณอยู่จริงก็คงหนีไปไหนต่อไหนนานแล้ว นอกเสียจากว่าว่าสัตว์เขาวิญญาณนี่จะโง่ถึงได้เลือกอาศัยอยู่แถวนั้น

ที่สำคัญที่สุดก็คือสัตว์เขาวิญญาณที่มีตบะเทียบเคียงกับก่อกำเนิดขั้นต้น ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในจุดลึกของแดนทุรกันดาร…

“เรื่องนี้…ไต้เท้า ที่นั่นมีสัตว์เขาวิญญาณอยู่ด้วยหรือขอรับ? อีกอย่างการประกาศภารกิจก็มีเพียงผู้บังคับกองหมื่นเท่านั้นที่ทำได้ พวกเรา…” จ้าวหลงลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้านึกฉงน

“ข้าบอกว่ามีก็ต้องมีสิ รีบเอาภารกิจนี่ไปส่งให้ท่านขุนพลเร็วเข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ

“แล้วเอ่อ…จะให้ตั้งคุณความชอบในการรบเท่าไหร่หรือขอรับ?” จ้าวหลงยิ้มเจื่อน กำมือคารวะสอบถาม

“ภารกิจนี้อันตรายเกินไป ภารกิจที่มีความเสี่ยงภัยมากมหาศาลจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นนี้ มีเพียงได้รางวัลหนักๆ เท่านั้นถึงจะมีคนยอมรับไปทำ เอาอย่างนี้ ของรางวัลเอาเป็นคุณความชอบในการรบหนึ่งร้อยล้านคะแนนก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้งแล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

คำพูดของเขาดังออกมา จ้าวหลงก็ยืนเซ่อทันที ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พลันเข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่างจึงใช้สายตาแปลกประหลาดมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน

“อีกอย่าง อย่าลืมเตือนท่านขุนพลว่าก่อนที่จะประกาศภารกิจนี้ให้บอกข้าสักหน่อย จะปล่อยให้คนอื่นแย่งภารกิจนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำชับด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง

จ้าวหลงยิ้มเจื่อน พยักหน้ารับแล้วจึงจากไป ตลอดทางที่เดินอยู่ในนครหลัก ใจเขาเต็มไปด้วยความปลงอนิจจัง

เรื่องการคุมเองขโมยเองเช่นนี้เขาก็อิจฉาเหมือนกัน…และไม่นานเขาก็มาถึงที่พักของป๋ายหลิน หลังจากรายงานกันต่อไปเป็นทอดๆ ภารกิจนั้นจึงไปถึงมือป๋ายหลินในที่สุด

ตอนที่แผ่นหยกภารกิจนี้ตกอยู่ในมือของป๋ายหลิน ป๋ายหลินมองเห็นคุณความชอบในการรบหนึ่งร้อยล้านคะแนนก็ตาเหลือกทันที เกือบจะขว้างแผ่นหยกทิ้งลงพื้น

“นี่มันปล้นกันชัดๆ!”

“ต่อให้ต้องการคุณความชอบในการรบก็ไม่ควรจะโจ่งแจ้งขนาดนี้ หุบเขาเล็กๆ ที่ห่างไปไม่ถึงสิบลี้มีสัตว์เขาวิญญาณอยู่ก็ยังพอว่า นี่ยังต้องให้มีตบะเทียบเคียงกับก่อกำเนิดขั้นต้นด้วย! แถมสุดท้ายยังมีหน้าให้รางวัลตัวเองถึงหนึ่งร้อยล้านคะแนน!” ป๋ายหลินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่พอคิดว่าอย่างไรซะตัวเองก็ไม่สามารถพูดให้สำนักยอมล้มเลิกภารกิจของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ดังนั้นหลังจากที่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งเขาจึงทำการแก้ไขเล็กน้อย ลดรางวัลคุณความชอบในการรบหนึ่งร้อยล้านคะแนนลงมาเหลือหนึ่งล้านคะแนน…เสร็จแล้วจึงส่งไปที่ดวงตายักษ์เหนือยอดเจดีย์

คุณความชอบในการรบหนึ่งล้านคะแนนก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว มากพอจะทำให้คนคนหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองร้อยได้ทีเดียว

“ได้ดีไอ้ลูกหมานี่เลย” ป๋ายหลินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ต้องรู้ว่าภารกิจที่ประกาศจากกองถลกหนัง คุณความชอบในการรบก็ต้องมีกองถลกหนังเป็นคนจ่าย…แถมขณะเดียวกันกับที่เขารู้สึกเสียดายนี้ยังต้องเป็นคนส่งข้อความเสียงไปเตือนป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเองอีกด้วย

ไม่นานภารกิจนี้ก็ถูกประกาศผ่านดวงตายักษ์เหนือเจดีย์สูง แทบจะวินาทีเดียวกับที่ภารกิจถูกประกาศออกมาคนไม่น้อยก็มองเห็นทันที ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ

“ภารกิจที่ได้คุณความชอบในการรบหนึ่งล้านคะแนน สวรรค์…รีบรับเร็วเข้า!”

“นี่…นี่มันภารกิจอะไรกัน หุบเขาเล็กๆ ห่างไปสิบลี้? สัตว์เขาวิญญาณที่มีตบะเทียบเคียงกับก่อกำเนิดช่วงต้น นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”

“ภารกิจนี้ข้าเอาแล้ว!” นักพรตทุกคนที่มองเห็นภารกิจนี้ต่างก็เบิกตากว้าง ใจสั่นอย่างรุนแรง แทบจะใช้ความเร็วที่มากที่สุดของตัวเองไปแย่งชิงมันมา

แต่ต่อให้พวกเขาจะเร็วแค่ไหนก็ยังเร็วสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ เขามารออยู่ตรงนี้นานแล้ว เมื่อได้รับการเตือนจากป๋ายหลิน พอภารกิจนี้โผล่มาปุ๊บเขาจึงรับมาปั๊บ ก่อนที่จะจากไปอย่างเบิกบานท่ามกลางความเสียดายของคนนับไม่ถ้วน

“พวกเจ้าจะมาแย่งชิงอะไรกับข้า ภารกิจนี้ข้าคิดขึ้นมาให้ตัวเองเชียวนะ ต่อให้พวกเจ้าแย่งไปได้ พอไปถึงหุบเขาเล็กนั่นก็หาสัตว์เขาวิญญาณไม่เจออยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหลือบตามองถุงเก็บของของตัวเองด้วยความลำพองใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมยารวมวิญญาณ เขาก็เคยขอเขาของสัตว์เขาวิญญาณมาเก็บไว้ในถุงเก็บของบ้างแล้วบางส่วน และด้านในนั้นก็มีเขาวิญญาณชิ้นหนึ่งที่เทียบเคียงได้กับก่อกำเนิดช่วงต้นพอดี

“ตอนนี้ข้าก็แค่เอาป้ายคำสั่งออกไปที่หุบเขาเล็กแล้วกลับมา แค่นี้ก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว” การกระทำที่ใช้สิทธิ์ของตัวเองมาฮุบเอาคุณความชอบในการรบอย่างเปิดเผยเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคะนองอย่างยิ่ง

แต่ถึงแม้จะลำพองใจ กระนั้นก็ยังระมัดระวังอย่างถึงที่สุดสำหรับการออกไปข้างนอกของตัวเอง หลังจากคิดไปคิดมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตนไม่ควรเสี่ยงภัยจะดีกว่า

“แม้ว่าจะออกไปแค่สิบลี้ อีกทั้งยังอยู่ในขอบเขตของสนามรบ แต่จะทำตัวประมาทไม่ได้…ข้าจะไปคนดียวไม่ได้ ต้องพาคนไปด้วยกันเยอะๆ จึงจะดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยกับความคิดนี้ของตัวเองอย่างยิ่ง ขบคิดว่าหากพานักพรตทั้งพันคนไปด้วยก็ออกจะดูสะดุดตาเกินไปหน่อย แต่หากเอาไปน้อยเขาก็กังวลว่าจะเกิดอันตรายอีก สุดท้ายจึงกัดฟันกรอด

“ไม่สนแล้ว ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง คนหนึ่งพันคนในค่ายของข้านี้ต้องไปด้วยกันทั้งหมด!” หลังจากตัดสินใจได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสั่งความออกไปทันที นักพรตหนึ่งพันคนใต้สังกัดเขาล้วนฟังคำสั่งจากเขาเพียงคนเดียว หลังจากได้รับข่าวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะปิดค่ายทหาร นักพรตนับพันก็ทำตามคำสั่งทันที

พวกเขาไม่ได้ถามป๋ายเสี่ยวฉุนว่าครั้งนี้จะให้พวกเขาไปทำอะไรกันแน่ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือผู้บังคับกองพันของพวกเขา มีพระคุณเคยช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ที่พวกเขาจะทำก็คือ ไม่ว่าสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนจะมองไปทางไหน พวกเขาก็พร้อมจะกระโจนเข้าสังหารทางนั้นอย่างกระหายเลือดทันที!

และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างไม่เป็นธรรม เขาไม่เสียดายที่จะเอาคุณความชอบในการรบแลกเปลี่ยนมาเป็นเสื้อเกราะและอาวุธวิเศษที่มากพอสำหรับคนทั้งหนึ่งพันคน ทั้งยังแจกจ่ายยาออกไป ทำให้ในด้านอาวุธยุทธภัณฑ์ของนักพรตเหล่านี้เหนือกว่ากองทัพอื่นอยู่มากนัก

ในที่สุดหลังจากเตรียมการอยู่หลายวัน กลางดึกของคืนนนี้ พระจันทร์ไม่สว่าง ฟ้าดินมืดสนิท ป๋ายเสี่ยวฉุนออกคำสั่งคำเดียว นักพรตนับพันก็พากันแปลงโฉมก่อนจะกระจายกันออกไปข้างนอก!

คนเหล่านี้อยู่ในกำแพงเมืองมาหลายปี รู้จักพวกผู้ฝึกวิญญาณเป็นอย่างดี ต่อให้เป็นนอกกำแพงเมืองก็ไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขา แต่ละคนหลังจากแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วกลับมองดูไม่เหมือนนักพรต แต่เหมือนพวกผู้ฝึกวิญญาณมากกว่า โดยเฉพาะบนร่างของพวกเขาล้วนพกวิญญาณพยาบาทบางส่วนติดตัวไปด้วย ทำให้ตลอดทั้งร่างแผ่คลื่นของวิญญาณออกมา

เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากจะเจอกับผู้แข็งแกร่งหรือจำเป็นต้องร่ายใช้วิชาอภินิหารที่ต้องใช้พลังวิญญาณแล้ว มิฉะนั้นหากมองเพียงผิวเผินก็ยากที่จะแยกแยะตัวตนของพวกเขาได้

เพราะอย่างไรซะนักพรตกับผู้ฝึกวิญญาณก็แทบจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งอาศัยปราณวิญญาณของแม่น้ำทงเทียน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอาศัยพลังดวงวิญญาณเท่านั้น

นักพรตทั้งพันคนนี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกพร้อมกัน แต่แยกตัวกันไปตามแปดทิศ มองดูเหมือนตัวใครตัวมัน แต่ในความเป็นจริงแล้วขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งข้อความมาให้พวกเขาก็จะมารวมตัวกันในระยะเวลาสั้นแสนสั้นทันที

หลังจากที่ส่งลูกน้องหนึ่งพันคนออกไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะวางใจลงได้บ้างจึงเริ่มปลอมตัว ก่อนจะพกพาเอาใจที่เด็ดเดี่ยวกัดฟันเดินออกไปจากกำแพงเมือง

หลังออกมาจากกำแพงเมือง ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำใบหน้าของตัวเองก็ยังรู้สึกไม่วางใจเท่าไหร่นัก พอคิดไปคิดมาก็พลันตบลงไปบนถุงเก็บของ หยิบเอาถังน้ำใบใหญ่ออกมาจากข้างใน

ในถังน้ำใบนี้บรรจุน้ำของแม่น้ำทงเทียนไว้จนเต็ม ด้านในแช่หน้ากากที่เกือบจะโปร่งใสไว้ชิ้นหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือหน้ากากหนังคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า เปลี่ยนแปลงปราณทุกอย่าง รวมไปถึงสามารถซุกซ่อนคลื่นพลังชีวิตได้

“แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะมีปัญหาเล็กน้อย ทว่าตอนนี้มีเพียงมันเท่านั้นถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาและปราณของข้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“หากข้าทำเวลารีบไปหุบเขาเล็ก อยู่สักพักแล้วก็รีบกลับมาทันทีคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

“อีกอย่างในขอบเขตแค่สิบลี้นี้ ขอแค่ไม่เจอกับกองทัพใหญ่ของแดนทุรกันดาร ข้าเองก็คงไม่มีอันตรายมากนัก”

มองหน้ากากครั้งหนึ่ง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเผยความเด็ดเดี่ยว หลังจากหยิบหน้ากากนี้ขึ้นมาสวมไว้บนใบหน้า

ทันใดนั้นรูปโฉมและท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ชายหนุ่มอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าเหลืองตอบ คลื่นของพลังวิญญาณสลายหายไป แทนที่มาด้วยคลื่นพลังของดวงวิญญาณที่เข้มข้นระลอกหนึ่ง

มองดูแล้วราวกับกลายมาเป็นผู้ฝึกวิญญาณจริงๆ!

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงวางใจลงได้อย่างแท้จริง ก่อนที่เขาจะห้อทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึก แสงจันทร์บนท้องฟ้าอ่อนจางจนไม่สามารถให้ความสว่างกับพื้นดินได้ รอบด้านจึงมืดมิด ได้แต่อาศัยแสงจันทร์รุบรู่ทำให้พอจะมองเห็นเค้าโครงพร่าเลือนของหินยักษ์และโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนได้บ้าง…

นอกจากนี้บางครั้งรอบด้านก็มีวิญญาณเร่ร่อนลอยผ่านไป รวมไปถึงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยบนพื้นดินที่แทะกินเนื้อเน่าเปื่อยและบางครั้งถึงจะเงยหน้ามามองรอบด้านด้วยความระแวดระวัง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!