บทที่ 512 มาสิ ใครกล้าลงมือ
หลังจากตัดสินใจได้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะกดกลั้นความคึกคะนองในใจ ก่อนจะห้อทะยานออกไปไกล ระหว่างทางที่มองเห็นพวกวิญญาณเร่ร่อนซึ่งกระจายตัวกันอยู่เขาก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย แต่เลือกเข้าไปใกล้ พอมาหยุดอยู่เบื้องหน้าวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นเขาก็จะสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บพวกมันไปโดยตรง
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกวิญญาณเร่ร่อนไม่ทันรู้สึกตัวก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บไปแล้ว
“ฮ่าๆ นี่มันคือการเก็บคุณความชอบในการรบชัดๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิม ความเร็วก็เพิ่มมากขึ้น ตามหาวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่เพียงลำพัง พอเจอก็รีบเก็บโดยไม่ปล่อยไปแม้แต่ตนเดียว
ไม่นานวิญญาณเร่ร่อนที่เขาเก็บได้ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหากเจอกับวิญญาณกลุ่มเล็กๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งปิติยินดี เขาจะเบียดเสียดเข้าไปในกลุ่มวิญญาณ หยิบเอายารวมวิญญาณหนึ่งเม็ดขึ้นมาบีบ เสียงปุ๊งดังขึ้น วิญญาณรอบกายเขาก็จะถูกดูดสวบเข้ามา ก่อนที่เขาจะเก็บพวกมันเข้าไปไว้ในถุงเก็บของ
“เยี่ยมไปเลย หน้ากากนี้คืออาวุธร้ายสำหรับโลดแล่นในแดนทุรกันดารแท้ๆ!” ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เก็บเกี่ยวเอาวิญญาณในแดนทุรกันดารไปได้มากพอนับหมื่นตน แถมนี่ยังไม่ได้เจอกับวิญญาณกลุ่มใหญ่เลยด้วยซ้ำ มิฉะนั้นปริมาณก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีจุดสูงสุด
และก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนมุมานะในการเก็บเกี่ยว จึงเป็นเหตุให้นักพรตพันคนที่กระจายตัวอยู่รอบด้านเพื่อติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลับๆ ปลอดภัยมากขึ้น แถมยังมีคนไม่น้อยที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนกับตาตัวเอง สำหรับเรื่องที่ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะผ่านไปที่ไหน วิญญาณของที่นั่นก็หายเกลี้ยงนั้น แรกเริ่มพวกเขายังอึ้งตะลึง แต่ภายหลังก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว จึงไม่ตกใจมากเท่าใดนัก
ในสายตาของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนคือดาวอัปมงคลสำหรับวิญญาณพยาบาทอย่างแท้จริง…ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับวิญญาณ หากเกิดขึ้นด้วยฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาก็ล้วนไม่รู้สึกแปลกใจ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งฟ้าใกล้จะสว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเกี่ยวผลพวงไปตลอดทาง แล้วก็เดินออกมาไกลหลายร้อยลี้ ออกห่างขอบเขตสนามรบของกำแพงเมืองมาไกลมากแล้ว และถือว่าได้เดินเข้ามาในโลกของแดนทุรกันดารอย่างแท้จริง
ที่นี่มีหินประหลาดตั้งตระหง่าน พืชพรรณที่งอกบนพื้นดินก็มีรูปร่างดุร้ายแปลกตา สัตว์วิเศษที่เข้าๆ ออกๆ ก็ยิ่งมีหน้าตาเหี้ยมเกรียม บางครั้งยังมีเงาร่างของชนพื้นเมืองปรากฏให้เห็น
แถมป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังได้เห็นผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งที่กำลังไล่ล่าสัตว์ร้ายตัวหนึ่งพุ่งผ่านไประหว่างเทือกเขาซึ่งห่างไปไกล
ผู้ฝึกวิญญาณคนนี้ไม่เหมือนกับที่เขาเคยเห็นบนสนามรบ อาภรณ์ไม่ได้หรูหราสวยงามนัก หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลางดงาม แต่ธรรมดาอย่างยิ่ง อีกทั้งปราณบนร่างที่ถึงแม้จะเป็นรวมโอสถแต่กลับปะปนยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ฝึกวิญญาณเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นเมื่อปลายปีก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่รู้จัก แต่ตอนนี้ตัวเขาเป็นถึงผู้บังคับกองพัน รายงานลับที่มีเพียงผู้บังคับกองพันเท่านั้นถึงจะรับรู้ทำให้เขายิ่งเข้าใจแดนทุรกันดารมากขึ้น
เขารู้ว่าในแดนทุรกันดาร ผู้ฝึกวิญญาณไม่ได้มาจากขั้วอิทธิพลเดียวกัน อันที่จริงแล้วก็คล้ายคลึงกับสำนักของนักพรตที่ผู้ฝึกวิญญาณแต่ละคนต่างก็มีความเป็นมาแตกต่างกันออกไป ทั้งยังมีหลายคนซึ่งเหมือนนักพรตที่ฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเอง
และจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อ่านหมายเหตุคลุมเครือในข้อมูลก็ดูเหมือนว่าอิทธิพลหลักจะแบ่งออกเป็นหวังเฉิงและฮวางเฉิงซึ่งเป็นเหมือนกับทหารประจำการ อย่างผู้ฝึกวิญญาณที่เจอบนสนามรบก่อนหน้านี้ก็คือคนประเภทนี้
ทว่านี่ยังเป็นส่วนน้อย ผู้ฝึกวิญญาณที่มากกว่านั้นจะกระจัดกระจายอยู่รอบนอก ต่างก็มาจากขั้วอิทธิพลเล็กๆ ใหญ่ๆ มากมาย และเห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกวิญญาณที่พลังจิตวิญญาณปะปนกันอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอยู่ตรงหน้านี้ก็คือคนประเภทนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทางเคร่งเครียด เห็นว่าตัวเองออกมาห่างจากกำแพงเมืองไกลพอควรแล้วจึงชะงักฝีเท้า คิดขึ้นได้ว่าควรจะกลับกำแพงเมืองเพื่อยุติภารกิจครั้งนี้ของตัวเอง
ทว่าขณะที่เขากำลังจะจากไป ทันใดนั้นกลางเทือกเขาที่ห่างไปไกลก็มีเสียงกัมปนาทดังลอยมา เมื่อเสียงดังขึ้น ที่นั่นก็มีฝุ่นผงจำนวนมากคละคลุ้งขึ้นกลางอากาศ มองออกไปก็ราวกับว่ามียอดเขาแห่งหนึ่งพังถล่มลงมาจนกลายเป็นที่ราบโดยไม่รู้เกิดจากสาเหตุใด
ท่ามกลางการถล่มนั้นก็พลันมีวิญญาณจำนวนมากโผล่พรวดออกมาจากด้านใน ก่อนจะหนีกระเจิงไปรอบด้านคล้ายต้องการหลบหนี ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งค้างไปทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปก็เห็นทันทีว่าแปดทิศของที่แห่งนี้มีชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณจำนวนไม่น้อยสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ละคนพอเห็นวิญญาณพวกนั้นกระเจิงไปสี่ทิศก็ดีใจจนเนื้อเต้น พากันห้อทะยานมายังยอดเขาที่พังถล่มหมายจับวิญญาณที่แตกฮือออกมา
วิญญาณ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนคือคุณความชอบในการรบ สำหรับแดนทุรกันดารก็มีมูลค่าเช่นเดียวกัน ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาโจมตีกำแพงเมืองได้ ทั้งยังเป็นทรัพยากรของพวกเขาอีกด้วย เพราะอย่างไรซะแดนทุรกันดารก็ไม่มีพลังฟ้าดิน มีเพียงวิญญาณเหลือคณานับหาที่สิ้นสุดไม่ได้เหล่านี้เท่านั้น
และยิ่งเข้าไปใกล้สนามรบของกำแพงเมืองทากเท่าไหร่ เนื่องจากสงครามและความตาย วิญญาณของที่นี่จึงยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นกลางดึกของที่นี่ถึงได้มีชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณเยื้องกรายมาถึงเพื่อจับวิญญาณเร่ร่อน
เห็นว่าเมื่อยอดเขาพังทลายแล้ววิญญาณเหล่านั้นหนีกระเจิงไปรอบด้าน แถมยังมีชนพื้นเมืองหลายสิบคนและผู้ฝึกวิญญาณอีกสิบกว่าคนเข้าไปแย่งชิง ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แข็งค้างทันที
“วิญญาณของที่นี่อย่างน้อยก็หลายหมื่นเชียวนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น กวาดตามองทุกคนก็พบว่าในบรรดาคนเหล่านั้นไม่มีก่อกำเนิด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสร้างฐานรากและรวมโอสถ สามถึงห้าคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีตบะแค่รวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น เขาจึงขยับร่างบินฝ่าเข้าไปท่ามกลางกลุ่มของชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณ เจอวิญญาณเมื่อไหร่ก็คว้ามาเก็บไว้เมื่อไหร่
“ของข้า ของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลอดทะลุทะลวงไปตามกลุ่มวิญญาณ ยิ่งจับก็ยิ่งได้มาก
พวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณมองไม่ออกถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน นึกไปว่าเขาเองก็เป็นผู้ฝึกวิญญาณเหมือนกันจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทว่าไม่นานพวกเขาก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง พบว่าวิญญาณที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจับได้มีมากเกินไป จำนวนที่เขาจับได้คนเดียวกลับมีมากถึงห้าส่วนกว่าของจำนวนรวม
อีกทั้งพวกเขามองไปก็เห็นว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งน่าเหลือเชื่อ พริบตาเดียวที่เขาพุ่งเข้าไปในกลุ่มวิญญาณ ยังไม่ทันรอให้วิญญาณตั้งตัว เขาโบกมือทีเดียวก็กวาดเอาวิญญาณไปกลุ่มเบ้อเร้อ ทำเอาพวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณได้แต่กระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่า
เหตุการณ์เหล่านี้พวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่มีตบะเทียบเคียงสร้างฐานรากได้แต่ข่มอารมณ์ ทว่าผู้ฝึกวิญญาณหลายคนที่มีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบกลับเผยความเคียดแค้นและไอสังหารออกมาทางดวงตา
“ไอ้ลิงนี่มาจากไหน ทำไมถึงเร็วขนาดนี้!”
“บัดซบ เขาคนเดียวกลับแย่งได้มากกว่าพวกเราทุกคนเสียอีก เขาอยากตายหรืออย่างไร!”
โดยเฉพาะผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นที่สวมอาภรณ์ปกติ แต่ดวงตากลับมีประกายแสงสีม่วงเปล่งวาบ ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในสามคนที่มีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าอีกสองคนที่เหลือกลับมองเขาเหมือนเป็นหัวหน้า ผู้เฒ่ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตามีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน
แดนทุรกันดารนั้นไม่มีกฎกติกา มีเพียงคำว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก อ่อนแอเป็นเหยื่อแข็งแกร่งเป็นผู้ล่าเท่านั้น อยู่ที่นี่ ฝีมือต่างหากถึงจะเป็นเพียงหนึ่งเดียว เมื่อเห็นว่าไอสังหารของคนเหล่านี้เพิ่มพูน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หรี่ตาลง ชะงักฝีเท้า หันกลับมามองด้วยสายตาเดือดดาลไม่ต่างกัน อีกทั้งบนร่างยังแผ่ปราณดุร้ายออกมา
หากในบรรดาคนเหล่านี้มีก่อกำเนิดอยู่ด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่มีทางวางท่าเช่นนี้แน่นอน แต่ตอนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนก็แค่รวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น มีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลัว
โดยเฉพาะนึกได้ว่าห่างออกไปยังมีลูกน้องของตัวเองอีกหนึ่งพันคนที่ตนแค่ออกคำสั่งคำเดียว ทุกคนก็จะพากันมาถึงอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งไม่กลัวเข้าไปใหญ่ เขาจึงยิ่งทำตัวกร่างไม่หวั่นเกรง ตอนที่แข่งมองตากัน สายตาของเขาก็ดุดันยิ่งกว่า ทำท่าทางราวกับว่าหากพูดไม่เข้าหูก็พร้อมจะเปิดฉากต่อยตีทันที
“มาสิ ใครกล้าลงมือ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเกรี้ยวกราด
สุดท้ายแล้วผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็ไม่กล้าลงมือ เพราะอย่างไรซะความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้ก็ทำให้พวกเขากริ่งเกรงอยู่มาก อีกทั้งมองดูแล้วอีกฝ่ายก็มีท่าทางราวกับมารร้ายผู้โหดเหี้ยม เชี่ยวชาญการต่อสู้ที่ป่าเถื่อน ดังนั้นผู้เฒ่าจึงแค่แค่นเสียงเย็นแล้วก็ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก แต่ห้อทะยานไปยังจุดที่ภูเขาถล่มจนกลายมาเป็นแอ่งที่ราบ
ขนาดผู้แข็งแกร่งรวมโอสถยังทำเช่นนี้ พวกผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองที่มีตบะเทียบเคียงกับสร้างฐานรากก็ยิ่งไม่กล้าแหยมกับป๋ายเสี่ยวฉุน ได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ ก่อนจะตรงไปยังที่ราบหมายไปเสี่ยงดวงเช่นกัน
เห็นว่าทุกคนต่างก็บินไปตรงที่ราบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะหึหึ อารมณ์คึกคักเต็มที่ แค่นเสียงด้วยความลำพองใจอยู่หลายที
“ถือว่าพวกเจ้ารู้อะไรควรไม่ควร รู้จักถึงความร้ายกาจของนายท่านป๋าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง วางท่าราวกับใต้หล้านี้ข้าไม่มีศัตรู การวางอำนาจรังแกคนอื่นเช่นนี้เขาย่อมไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความโอหัง เอามือไพล่หลังก่อนจะบินไปยังที่ราบเช่นคนอื่นๆ
เพิ่งจะเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบทันทีว่าในแอ่งที่ราบแห่งนี้มีรูอยู่มากมาย ซึ่งในรูเหล่านั้นมีวิญญาณจำนวนมากกำลังบินออกมา ทั้งยังมีบางส่วนที่เป็นวิญญาณก่อกำเนิดสีชาดด้วย
“ทำไมที่นี่ถึงมีวิญญาณมากขนาดนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องอุทานด้วยความปิติยินดี รีบบุกเข้าไปแล้วเริ่มเก็บเกี่ยวทันที ทุกที่ที่ผ่านวิญญาณก่อกำเนิดแต่ละดวงล้วนถูกเขากวาดไปในชั่วพริบตา ทำเอาผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองเหล่านั้นได้แต่คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ไอสังหารจึงยิ่งเข้มข้น ทั้งยังเริ่มตีวงเข้ามาล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนช้าๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเม้มปาก ในใจแอบรอคอยให้พวกเขาลงมือ หลังจากนั้นตัวเองจะได้หมุนตัวกลับอย่างสง่างาม แล้วเรียกให้นักพรตหนึ่งพันคนเผยกาย พอนึกถึงภาพเหตุการณ์นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันควัน
“รีบลงมือกับข้าเร็วเข้าสิ” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องเรียกอยู่ในใจ ความเร็วในการแย่งชิงวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น คราวนี้เขาไม่พุ่งเป้าไปที่แค่วิญญาณก่อกำเนิดเท่านั้น แต่ผ่านที่ใดไม่ว่าจะเป็นวิญญาณแบบใดก็คว้าเอามาหมด
ผู้เฒ่ารวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบคนนั้นพลันยกยิ้ม ในรอยยิ้มแฝงเร้นไว้ด้วยความน่าสยดสยอง ทันใดนั้นร่างของเขาก็แผ่ควันดำออกมา ควันนี้เมื่ออยู่ข้างนอกก็กลิ้งตลบในชั่วพริบตา หลังจากก่อตัวกันขึ้นเป็นกะโหลกขนาดใหญ่ยักษ์ ผู้เฒ่าก็เดินขึ้นหน้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งก้าว
ทว่าวินาทีที่เขายกเท้าก้าวออกมา ทันใดนั้นเสียงสนั่นหวั่นไหวที่รุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ก็พลันดังสะเทือนออกมาจากในแอ่งที่ราบ
ตูม!