Skip to content

A Will Eternal 525

บทที่ 525 ซ่งเชวียผู้ลำพองใจ

“หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันหนึ่งจะให้รางวัลเป็น…ดวงวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงหรือเปล่า?” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญอย่างจริงจังเขาก็ต้องตกใจไปกับความคิดของตัวเอง รีบส่ายหัวไล่ความคิดนี้ให้ออกไปจากสมอง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าชีวิตนี้ตนจะไม่ออกไปจากกำแพงเมืองอีกแม้แต่ครึ่งก้าว

“หึหึ ขอแค่ข้าไม่ออกไปจากนครหลัก แถมทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกก็พาคนไปด้วยหมื่นคน ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าพวกแดนทุรกันดารจะสังหารข้าได้!”

“ต่อให้อีกฝ่ายจะมีสายลับอยู่ในกำแพงเมือง แต่อย่างไรซะที่นี่ก็คือกำแพงเมือง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็พอจะวางใจลงมาได้ไม่น้อย แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก

“ไม่ได้สิ ตบะของข้ายังอ่อนด้อยเกินไป ตอนนี้คือรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว คิดจะฝ่าทะลุขั้นยังต้องใช้วิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุอย่างทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง แม้ว่าเขาจะยังเหลือคุณความชอบในการรบอีกไม่น้อย แต่ทรัพยากรอย่างวิญญาณสัตว์ฟ้านั้นแลกมาได้ยากลำบากอย่างยิ่ง

ต่อให้เอาวิญญาณคนฟ้าไปแลกกับสำนักก็จำเป็นต้องกลับสำนักก่อนถึงจะปลอดภัย หากเอามาแลกที่นี่จะมีความเสี่ยงมากเกินไป

“ตบะมิอาจยกระดับได้ แต่ข้ายังมีวิชาอมตะมิวางวาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบหยิบเอาแผ่นหยกออกมาสั่งความให้จ้าวหลงไปเตรียมการตามรายการที่เขาเขียนออกมา

หลังจากได้เป็นผู้บังคับกองหมื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ดื่มด่ำกับอภิสิทธิ์พิเศษไม่น้อย เขาไม่เพียงแต่สามารถประกาศภารกิจง่ายๆ บางส่วนได้ ยังสามารถรีดไถเอาทรัพยากรมาได้ด้วย

เพียงแต่ด้วยคุณความชอบในการรบของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้ เขาเองก็ไม่อยากจะเอาเปรียบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จึงรูดคุณความชอบในการรบจำนวนไม่น้อยให้จ้าวหลงไปซื้อหามาให้เขา

ไม่นานหลังจากนั้น วัตถุดิบวิเศษฟ้าดินที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการก็ถูกจ้าวหลงแลกเปลี่ยนกลับมาได้ หลังจากประกาศว่าตัวเองจะปิดด่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มฝึกวิชาอมตะมิวางวายของตัวเองทันที

“คราวนี้ข้าต้องฝึกบทที่สามของวิชาอมตะมิวางวายให้ถึง…ขั้นสมบูรณ์แบบในรวดเดียวเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอารากวิญญาณดินออกมาชิ้นหนึ่งแล้วโยนเข้าไปในปาก พอเคี้ยวละเอียดแล้ว รากวิญญาณดินนั้นก็กลายมาเป็นพลังชีวิตที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดตาทั้งคู่ลง ก่อนจะเริ่มโคจรวิชาอมตะมิวางวาย

เมื่อเริ่มโคจร พลังชีวิตเหล่านั้นก็ถูกดึงออกไปทันที กลายมาเป็นกระแสความร้อนเป็นเส้นๆ ที่ผสานรวมเข้าไปในศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเอ็นคงกระพันเล็กละเอียดหลายเส้นอย่างช้าๆ

เรื่องแบบนี้จะเสียสมาธิไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถเร่งความเร็ว ได้แต่ปล่อยให้มันดำเนินไปช้าๆ ยังดีที่คุณความชอบในการรบของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเยอะมาก วัตถุวิเศษฟ้าดินที่แลกเปลี่ยนมาได้จึงมีไม่น้อยและพอให้เขาได้กัดกินอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเวลาผ่านพ้น หนึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เวลาหนึ่งปี ป๋ายเสี่ยวฉุนสงบจิตใจฝึกบำเพ็ญตบะ ไม่ออกไปข้างนอกอีก ทำให้ในกำแพงเมืองเองก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเมื่อหนึ่งปีก่อนน้อยลง

แล้วก็ผ่านไปอีกครึ่งปี เมื่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่คนภายนอกมีต่อเรื่องนี้ยิ่งแผ่วจางลงไป วันนี้ในห้องลับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านอยู่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเบิกโพลง วินาทีที่ดวงตาของเขาเปิดออกก็ราวกับมีประกายสายฟ้าวาบผ่าน

ลมหายใจของเขาหนักแน่นราบเรียบ ยามนี้เมื่อลืมตาขึ้น มือทั้งคู่ของเขาก็ทำมุทราก่อนจะสะบัดออกไปด้านข้างอย่างแรง ทันใดนั้นวัตถุดิบวิเศษฟ้าดินที่จัดวางเอาไว้อยู่รอบกายเขาก็พากันระเบิดออกดังตูม ก่อนจะกลายมาเป็นเศษผง

ชั่วขณะที่กลายมาเป็นเศษผง พวกมันก็มารวมตัวเข้าด้วยกัน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากออก เขาก็ดูดเศษผงวัตถุดิบฟ้าดินทั้งหมดเข้าไปในปากราวกับปลาวาฬสูบน้ำ

พลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุดพลันระเบิดครืนครั่นอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน พลังชีวิตเหล่านี้ยังไม่ทันแผ่กระจายออกไปก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงเอามารวมอยู่ที่ส่วนศีรษะ

ตรงจุดนั้น เอ็นคงกระพันของเขาฝึกไปได้มากถึงเก้าส่วนแล้ว ตอนนี้ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียว…และเสี้ยวนี้ก็ราวกับประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิท จำเป็นต้องให้เขาใช้พลังชีวิตที่น่าตะลึงไปฝืนทำลายให้แตกออก

และขณะที่ทั้งกายและใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการฝ่าทะลุสู่ขั้นสมบูรณ์แบบของบทที่สามวิชาอมตะมิวางวาย นอกกำแพงเมืองตอนนี้คือช่วงเที่ยงตรงพอดี ทว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาบนพื้นดินไม่ร้อนแรง กลับอ่อนจางด้วยซ้ำ

กลางนภากาศที่ห่างออกไปไกลพอจะมองเห็นลำแสงสีดำลำหนึ่งได้รำไร ลำแสงนี้พวกนักพรตห้ากองทัพใหญ่ที่อยู่ในกำแพงเมืองเห็นกันมาจนชินตานานแล้ว หลังจากที่มันปรากฏขึ้นเมื่อหนึ่งกว่าปีก่อน พวกคนไม่น้อยที่ทยอยถูกส่งออกไปตรวจสอบก็ได้เอาข่าวกลับมาเป็นจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่กลับไม่มีเบาะแสสำคัญมากนัก

รู้เพียงแค่ว่าที่นั่นคือสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งที่มีตำหนักใต้ดินอยู่หลายแห่ง กว้างใหญ่ไพศาล และมีโครงกระดูกของสัตว์ตัวใหญ่จนน่าตกใจอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของแดนทุรกันดารหรือกำแพงเมืองก็ล้วนไม่มีใครล้มเลิกความตั้งใจ มักจะส่งคนออกไปตรวจสอบเป็นประจำ พยายามที่จะตามหาเบาะแสใหม่ให้เจอ และก็ด้วยเหตุนี้ ทางสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเองก็ยังออกคำสั่งให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราที่เดินทางมาที่นี่ก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาจะต้องมาตรวจสอบสถานที่แห่งนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ดังนั้นพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่มาที่นี่ในปีนั้นซึ่งถึงแม้จะกระจายตัวกันออกไป แต่ไม่ว่าแต่ละฝ่ายจะไปอยู่ที่ไหน ทำเรื่องอะไร ก็ล้วนจำเป็นต้องไปที่แห่งนั้นครั้งหนึ่ง

ดังนั้นระยะเวลาภายในหนึ่งปีครึ่งนี้จึงมีคนไม่น้อยจำเป็นต้องเข้าออกกำแพงเมือง และไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้าหรือคนที่ออกกำแพงเมืองแห่งนี้ก็ล้วนมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบทีละชั้นอย่างแน่นหนาถึงจะได้

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเนื่องจากได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่น ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ผู้ที่สามารถออกคำสั่งกับเขาได้มีเพียงศาลาเลือดเหล็กเท่านั้น และศาลาเลือดเหล็กที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ปกป้องคนของตัวเองมาโดยตลอด แน่นอนว่าย่อมไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ยามนี้นอกกำแพงเมืองมีนักพรตอยู่สามคนซึ่งต่างก็ปลอมตัวให้ดูเหมือนผู้ฝึกวิญญาณ พวกเขากำลังห้อทะยานเข้ามาใกล้ สามคนนี้สองคนเป็นชายหนึ่งคนเป็นหญิง หญิงสาวมองดูแล้วหน้าตางามพิสุทธิ์ ส่วนชายอีกสองคน คนหนึ่งเป็นวัยกลางคน ตบะรวมโอสถช่วงกลาง สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายหนุ่ม เรือนกายแข็งแกร่งบึกบึน อกผายไหล่ผึ่ง ทั้งยังมีปราณดุร้ายเข้มข้นลอยอวลไปทั่วร่าง ทำให้ลักษณะของเขาดูไม่ค่อยน่าเข้าใกล้เท่าไหร่นัก

อีกทั้งเขายังมีพลังอำนาจอย่างหนึ่งที่ทำให้ใครก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะเชื่อมั่นและยอมรับนับถือ

โดยเฉพาะจุดลึกในดวงตาทั้งคู่ของคนผู้นี้ที่คล้ายจะแฝงความเย็นเยียบราวกับว่าซุกซ่อนกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งที่พร้อมถูกดึงออกจากฝักได้ทุกเมื่อเอาไว้ ทำให้ทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับคนผู้นี้

ทั้งบนร่างของเขายังมีรอยแผลเป็นจำนวนไม่น้อย แต่แผลเป็นเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำลายรูปโฉมของเขา กลับยิ่งทำให้เขามีความเป็นชายที่องอาจซึ่งมากพอจะสร้างแรงดึงดูดต่อสตรีเพศ

หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงนี้ต้องจำได้ทันทีว่า คนผู้นี้…ก็คือซ่งเชวีย!

“ในที่สุดก็ได้กลับมาแล้ว!” เมื่อเห็นกำแพงเมืองอยู่ในคลองจักษุ คนทั้งสามก็ชะลอฝีเท้า สาวงามอ้อนแอ้นข้างกายซ่งเชวียคนนั้นผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด

“นึกไม่ถึงเลยว่าไปคราวนี้จะใช้เวลาถึงสามปี…และหากไม่เป็นเพราะพี่ซ่ง พวกเราก็คงตายอยู่ในแดนทุรกันดารกันไปแล้ว” เมื่อหญิงสาวเอ่ยเช่นนั้น อารมณ์ของชายวัยกลางคนก็กระเพื่อมไหวเช่นกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสามปีนี้เป็นสิ่งที่เขายากจะลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต ตอนที่จากไป กลุ่มของพวกเขามีกันสิบกว่าคน ทว่าภารกิจแรกก็ถูกกักตัวอยู่ในพื้นที่ปิดตาย ไม่สามารถส่งข่าวออกมาได้ แล้วก็ยากที่จะได้รับเบาะแสอื่นๆ จากโลกภายนอก

และที่นั่นก็กักตัวชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณเอาไว้ไม่น้อย ต่างฝ่ายต่างมิอาจออกไปได้ การเข้าไปของพวกเขาตอนแรกเริ่มยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่นานก็เนื่องจากความขัดแย้งที่สั่งสมจึงทำให้แต่ละฝ่ายลงมือเข่นฆ่ากัน

วันนี้เมื่อได้กลับมา ความรู้สึกที่รอดพ้นมาจากเคราะห์กรรม รอดตายหลังจากผ่านภัยครั้งใหญ่เช่นนั้นทำให้ในใจเขาเต็มไปด้วยความปลงอนิจจังไร้ที่สิ้นสุด มองซ่งเชวียที่อยู่ข้างกาย นัยน์ตาเขาก็เผยความซาบซึ้งใจและเคารพนับถือ

ในพื้นที่ปิดตายแห่งนั้น เป็นเพราะซ่งเชวียอาศัยความสามารถและเสน่ห์ของตัวเอง ซ้ายกำราบ ขวาเกลี้ยกล่อม ใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อน รวมชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณในพื้นที่ปิดตายให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ชั่วคราว อาศัยกำลังของทุกคน ในที่สุดก็หาทางออกจนเจอถึงได้ฝ่ากันออกมาได้

“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ซ่ง ด้วยผลเก็บเกี่ยวที่ท่านได้รับคราวนี้ กลับมาครั้งนี้ต้องได้ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า หรืออาจมีความเป็นไปได้ถึงขั้นติดสิบอันดับแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราด้วยซ้ำ อันที่จริงข้ารู้สึกว่าด้วยความสามารถในการสู้รบของพี่ใหญ่ซ่ง ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังมากพอที่จะต่อสู้กับสิบอันดับแรกได้เลย” ตอนที่หญิงสาวผู้นั้นหันมามองซ่งเชวีย นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชอบ

ซ่งเชวียยิ้มอ่อนบาง ไม่ได้เอ่ยค้านถ่อมตัว เพราะต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าคราวนี้ตนไปอยู่แดนทุรกันดารมาสามปี หากจะใช้คำว่าลอกคราบเปลี่ยนเป็นคนใหม่ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ตบะของเขาเองก็เปลี่ยนจากตอนที่จากไปนั่นคือใกล้รวมโอสถช่วงกลางฝ่าทะลุมาถึงรวมโอสถช่วงท้าย หรือแม้แต่ภายใต้การระเบิดพลังในการต่อสู้ ร่ายใช้เวทลับของสำนักธาราโลหิต เขายังถึงขั้นสังหารผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบไปคนหนึ่งด้วยซ้ำ

ผลงานการต่อสู้เช่นนี้มากพอจะทำให้เขาภาคภูมิใจในตัวเอง เขาพอจะจินตนาการได้เลยว่าเมื่อตัวเองกลับเข้าไปในกำแพงเมือง กลับไปถึงนครเขตแดน อยู่ที่นั่น เขาจะต้องกลายมาเป็นบุคคลที่โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแน่นอน

“คนอื่นๆ ต่อให้มีโชควาสนาแค่ไหนก็สู้ข้าไม่ได้เด็ดขาด!” ซ่งเชวียมองถุงเก็บของของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวด ระยะเวลาสามปี เขาที่อยู่ในแดนทุรกันดารไม่ได้ทำภารกิจสำเร็จเพียงแค่สามชิ้น แต่ทำได้มากถึงเจ็ดชิ้น ภารกิจเหล่านี้ล้วนทำเสร็จสิ้นในพื้นที่ปิดตายแห่งนั้น อีกทั้งเขายังเป็นคนรวบรวมกลุ่มคนมากมายในพื้นที่ปิดตายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทิ้งเส้นสายในแดนทุรกันดารจำนวนไม่น้อยให้กับตัวเอง

อีกทั้งในบรรดาวิญญาณพยาบาทที่ได้รับมา ถึงแม้จะไม่มีวิญญาณสัตว์ฟ้า แต่กลับได้วิญญาณก่อกำเนิดมามากถึงสามร้อยกว่าดวง ต้องรู้ว่ามูลค่าของวิญญาณก่อกำเนิดเหล่านั้นสูงถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นดวงไหนก็ล้วนเอามาขายได้ในราคาที่ไม่ธรรมดา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้รับเบาะแสของวิญญาณสัตว์ฟ้าดวงหนึ่งมาอย่างลับๆ เรื่องนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ สหายทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายล้วนไม่มีใครทราบเรื่อง

และเขาก็ได้วางแผนให้กับตัวเองว่าห้าปีแรกจะทำภารกิจอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มพูนตบะในขณะเดียวกันก็ทำความคุ้นเคยกับแดนทุรกันดารไปด้วย ส่วนห้าปีหลังเขาจะฝ่าทะลุสู่ขั้นสมบูรณ์แบบ และออกไปตามหาวิญญาณสัตว์ฟ้า

“ด้วยผลงานในการต่อสู้ของข้า ด้วยจำนวนภารกิจที่ข้าทำไป คนที่จะเหนือกว่าข้า หาได้ยากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน หึ ปีนั้นตอนที่ข้าจากไป ได้ยินมาว่าเขาถูกกักตัวอยู่ในกำแพงเมืองด้วยฐานะของอาจารย์หลอมโอสถคนหนึ่งเท่านั้น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!