Skip to content

A Will Eternal 539

บทที่ 539 ผู้มาเยือนมีเจตนาร้าย

เมื่อแต่ละคนมาถึงแอ่งที่ราบของเขาวงกตและผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เงาร่างหนึ่งก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว ทุกที่ที่ผ่านบนท้องฟ้าล้วนปรากฏคลื่นกระเพื่อมเป็นชั้นๆ ทำให้พวกผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้พากันหน้าเปลี่ยนสี

“ไสหัวไป!” หลังจากที่เสียงแค่นเย็นชาดังออกมาจากปากของร่างนี้ พวกผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองที่อยู่ใกล้กับทางเข้าเขาวงกตต่างก็กระจายตัวกันทันที ทำให้คนผู้นี้บินสวบมาถึงได้โดยตรง

ตอนที่มาอยู่เหนือทางเข้าของเขาวงกต คนผู้นี้หยุดชะงักไปครู่หนึ่งจึงทำให้เห็นลักษณะของเขาอย่างชัดเจน นั่นคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลา สวมอาภรณ์หรูหรา มองแล้วแตกต่างไปจากผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารอย่างมาก ซึ่งดูเหมือนว่าบนร่างของคนผู้นี้มีความสูงศักดิ์ดำรงอยู่

โดยเฉพาะกลางหว่างคิ้วของเขาที่มีรอยแผลเป็นเป็นรูปดาวหนึ่งดวง ดูเหมือนว่าแผลเป็นนี้จะแฝงเร้นไว้ด้วยพลังที่มหัศจรรย์บางอย่าง ระหว่างที่มันกะพริบพราวก็ทำให้ทั่วร่างของชายหนุ่มผู้นี้เผยพลานุภาพสยบที่ชวนพิศวงออกมา

อีกทั้งด้านหลังของเขายังแบกธนูคันใหญ่ไว้หนึ่งคัน ธนูนี้เป็นสีดำ แถมบนตัวธนูยังมีลายเส้นสีเงินอีกเก้าเส้น ทำให้ทุกคนที่มองเห็นต่างก็ทั้งหวาดกลัวและทั้งคุ้นตา

“อาจารย์หลอมวิญญาณของตระกูลผู้หลอมวิญญาณ…” พวกผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่รอบด้านต่างก็พากันใจสะท้าน นัยน์ตาเผยความเคารพเลื่อมใส ส่วนพวกชนพื้นเมืองก็ยิ่งตัวสั่น รีบคารวะทันใด

เพราะอย่างไรซะตลอดทั้งแดนทุรกันดารแห่งนี้ อาจารย์หลอมวิญญาณก็มีตำแหน่งสูงศักดิ์ และพวกตระกูลของอาจารย์หลอมวิญญาณก็ยิ่งเป็นบุคคลที่เหนือชั้น ซึ่งตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณบางตระกูลที่มีรากฐานลึกล้ำ แม้แต่อ๋องและโหวของแดนทุรกันดารเองก็ยังให้ความสำคัญอย่างมาก

อาจารย์หลอมวิญญาณคนใดก็ตามที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเองหรือเป็นคนในตระกูล หากตรงหว่างคิ้วมีตราประทับก็คือหลักฐานที่พิสูจน์ได้ดีที่สุด เพราะมีเพียงอาจารย์หลอมวิญญาณที่มาจากตระกูลของผู้หลอมวิญญาณเท่านั้น กลางหว่างคิ้วถึงจะมีตราประทับของบรรพชน

ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ แม้ตบะจะไม่ใช่ก่อกำเนิด แต่เป็นรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าด้วยฐานะของผู้เป็นหนึ่งในตระกูลของอาจารย์หลอมวิญญาณ ทำให้เขาที่อยู่ในแดนทุรกันดาร ไม่พูดว่าสามารถทำตัวกำเริบเสิบสานได้ แต่ก็มากพอจะทำให้คนมากมายให้ความเคารพยำเกรง

ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าโจวอีซิง เขามองผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองรอบด้านด้วยสายตาเฉยชา ไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะมาเขาวงกตแห่งนี้ แม้แต่สงครามของกำแพงเมืองเขาเองก็ไม่เคยเข้าร่วม ต่อให้ตระกูลผู้หลอมวิญญาณของเขาจะไม่ยิ่งใหญ่นัก ทว่าก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในพื้นที่ที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

ที่เขามาที่นี่ในตอนนี้ เป้าหมายของเขานั้นชัดเจนมาก ซึ่งเป้าหมายที่ว่านี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!

“วิญญาณสัตว์ฟ้าครบทั้งห้าธาตุ ต่อให้ตระกูลสามารถเอามาได้อย่างกล้อมแกล้ม ทว่ากลับไม่มีทางตกมาถึงข้า…ขอแค่สังหารป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ข้าก็จะได้มันมาครองตรงๆ อีกทั้งหากรวมกำเนิดแล้ว ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสามารถเลื่อนระดับการหลอมวิญญาณของตัวข้าเอง ทดลองหลอมไฟสิบสีหรือสิบเอ็ดสี…หากสามารถหลอมไฟสิบสีออกมาได้ ระดับการหลอมวิญญาณของข้าก็จะไต่ไปถึงระดับสามของจุดสูงสุด หากหลอมไฟสิบเอ็ดสีออกมาได้จริงๆ …นับจากนี้เป็นต้นไป ข้าก็จะกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลือง!!” คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของโจวอีซิงก็เปล่งประกายแห่งความคาดหวัง ขยับร่างพุ่งสวบเข้าไปในทางเข้า แสงเปล่งวาบหนึ่งครั้งเขาก็ถูกส่งเข้าไปในเขาวงกต

เขาวงกตในเวลานี้มีคนเข้ามามากเกือบสองแสนคน…ในบรรดานี้นักพรตของกำแพงเมืองมีแค่สามหมื่นคน ที่เหลือล้วนเป็นผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดาร ซึ่งในจำนวนนั้นมีอาจารย์หลอมวิญญาณอยู่หลายร้อยคน

ตอนที่คนมากมายขนาดนี้เข้ามาข้างใน พวกเขาต่างก็ถูกสุ่มส่งตัวไปยังตำแหน่งต่างๆ เพื่อกระจายตัวกันอยู่ในเขาวงกต ทว่าเขาวงกตนี้กว้างใหญ่เกินไป คนสองแสนคนเข้ามาต่างก็ไม่สามารถสร้างคลื่นลูกใหญ่ได้มากนัก

โดยเฉพาะเขาวงกตแห่งนี้มีการตัดสลับกันอย่างซับซ้อน พลังจิตก็ถูกระงับ พวกคนที่ตามมาไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปเดินมาต่างก็แยกจากกันโดยไม่ทันรู้ตัว แม้ว่าพวกเขาจะตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตลอดเวลา แต่มาถึงตอนนี้กลับยังไม่มีใครเจอร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุน

ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกนักพรตของแดนทุรกันดารต่างก็ยิ่งร้อนใจ กลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะถูกคนอื่นชิงฆ่าไปเสียก่อน ดังนั้นจึงยิ่งตามหากันอย่างเร่งร้อนมากขึ้นจนถึงขนาดที่ว่าต่อให้ระหว่างการค้นหาจะเจอกับนักพรตของกำแพงเมือง พวกเขาก็ยังทำแค่กวาดสายตามองหนึ่งครั้งแล้วทะยานออกห่างเพื่อค้นหาต่อทันทีเพราะไม่อยากจะเสียเวลา

แม้ว่าไม่ใช่นักพรตของแดนทุรกันดารทุกคนที่ทำเช่นนี้ แต่โดยภาพรวมแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวก็ถือว่าดึงดูดความสนใจจากนักพรตของแดนทุรกันดารส่วนใหญ่ได้สำเร็จ ทำให้นักพรตของฝ่ายกำแพงเมืองที่อยู่ในเขาวงกตแห่งนี้ลดความกดดันลงไปมากโข

แน่นอนว่าหากเจอเข้ากับนักพรตของกำแพงเมืองที่อยู่เพียงลำพัง การปลิดชีพเพื่อช่วงชิงทรัพย์สินของอีกฝ่ายก็ยังเกิดขึ้นเป็นประจำ อีกทั้งไม่ได้เกิดแค่กับนักพรตของกำแพงเมืองเท่านั้น ต่อให้เป็นระหว่างนักพรตแดนทุรกันดารด้วยกันเองก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

เวลาเดียวกันนั้น เรื่องราวแปลกประหลาดเกินคาดคิดมากมายก็ทยอยกันเกิดขึ้นในพื้นที่หลายแห่ง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนี้ได้สวมหน้ากากหนังคนไว้เรียบร้อยนานแล้ว เขากลายมาเป็นนักพรตวัยกลางคนที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่ในเขาวงกตด้วยความระมัดระวังไปตลอดทางเพราะกลัวว่าจะมีคนจำได้ หลังจากเข้ามาในเขาวงกตแล้วเขาก็ร่ายใช้ความเร็วเต็มขีดจำกัดทันที เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา แม้ว่าจะสลัดพวกคนที่ไล่ฆ่าเขาได้สำเร็จ ทว่าเขาเองก็หลงทางเหมือนกัน อีกอย่างเขาก็ทดลองร่ายเวทคาถาที่สามารถผสานรวมกับฟ้าดิน อยากรู้ว่าตนจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ แต่กลับค้นพบว่าเขาวงกตแห่งนี้มีพลังแห่งความว่างเปล่าบางอย่างปิดผนึกอยู่ ทำให้การผสานรวมกับฟ้าดินของเขามิอาจร่ายใช้ได้

“ก็แค่หลงทางเองไม่ใช่หรือ ในเขาวงกตแห่งนี้ทุกคนก็หลงทางกันทั้งนั้นแหละ” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเอง นวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าตัวเองเวียนหัวเล็กน้อย มองผนังที่กางกั้นอยู่รอบด้าน ไม่ว่ามองยังไงมันก็เหมือนกันหมด แถมไม่ต่างอะไรไปจากที่ตัวเองเห็นมาตลอดทางด้วย

ในเขาวงกตแห่งนี้มีผนังจำนวนนับไม่ถ้วน แถมยังเชื่อมต่อกับเพดานด้านบน ทำให้คนมิอาจบินได้สูงเกินไปนัก และแน่นอนว่ายากที่จะสังเกตการณ์สภาพการณ์รอบด้านได้ ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ที่นี่พลังจิตก็ถูกระงับไปด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นทดลองโจมตีกำแพง แต่กลับพบว่ามันแข็งแกร่งทนทานถึงขีดสุด ยากที่จะเขย่าคลอนได้ แถมยังไม่สามารถทิ้งเครื่องหมายใดๆ ไว้ได้แม้แต่น้อย และนี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด วินาทีที่เหยียบเข้ามาในเขาวงกตแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบแล้วว่าด้านในเต็มไปด้วยปราณความเย็นอึมครึม

ความเย็นอึมครึมนี้ไม่เหมือนกับไอความเย็นของเขา เพราะนั่นคือปราณแห่งความตาย ราวกับว่าเขาวงกตแห่งนี้คือสุสานขนาดใหญ่ยักษ์ ความรู้สึกเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองมาจากข้างหลังตลอดเวลา

แต่พอเขาหันหน้ากลับไปกลับไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อย

“นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบริมฝีปาก ระวังตัวมากกว่าเดิม หลังจากเดินออกมาข้างหน้าหลายก้าวเขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี หยุดชะงักทันใด นัยน์ตาฉายแสงคมกริบ ตลอดทั้งร่างราวกับกลายมาเป็นกระบี่แหลมคมที่พร้อมถูกชักออกจากฝักทุกเมื่อ

เวลาเดียวกันนั้น ตรงหัวเลี้ยวเบื้องหน้าเขาบัดนี้มีเงาร่างสี่ร่างโผล่พรวดออกมาอย่างรวดเร็ว คนทั้งสี่นี้สามคนคือผู้ฝึกวิญญาณ และยังมีคนหนึ่งที่เป็นยักษ์ชนพื้นเมืองซึ่งย่อร่างให้เหลือหนึ่งจั้งกว่า

เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสี่คือกลุ่มเดียวกัน ตบะต่างก็ไม่ธรรมดา ล้วนเป็นรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะผู้ฝึกวิญญาณหนึ่งในนั้นที่ในร่างคล้ายจะมีตัวอ่อนของก่อกำเนิดอยู่ด้านใน…ซึ่งเป็นการก่อกำเนิดที่ล้มเหลว จึงกลายมาเป็นคนที่อยู่ในขั้นเสมือนกำเนิด

ผู้ที่อยู่ขอบเขตเสมือนกำเนิดเช่นนี้ สำหรับนักพรตคนหนึ่งแล้วถือว่าเป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายไปในคราวเดียวกัน เรื่องดีก็คือมีตบะอยู่เหนือรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบไปอีกหนึ่งขั้น แต่เรื่องร้ายก็คือคนประเภทนี้หากคิดจะฝ่าทะลุสู่ก่อกำเนิดจะทำได้ยากมากกว่าคนอื่นเป็นสิบๆ เท่า

ตอนนี้ยักษ์ชนพื้นเมืองตนนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าคล้ายช่วยปกป้องคนในกลุ่ม ส่วนผู้ฝึกวิญญาณสามคนนั้นที่ถึงแม้จะไม่ได้สวมอาภรณ์หรูหรา แต่ข้างกายของพวกเขากลับมีอาวุธวิเศษหลายประเภทล้อมวนไปมา

ข้างกายของสองคนในนั้นมีกระบี่บินสีเขียวและสีแดงร้องคำราม วัตถุดิบในการสร้างกระบี่บินสองเล่มนี้ธรรมดา แต่บนนั้นกลับมีลายเส้นสีเงินอยู่ถึงหกเส้น!

นี่หมายความว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มล้วนผ่านการหลอมพลังจิตมาถึงหกครั้ง!

และที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือเหนือศีรษะของผู้ฝึกวิญญาณเสมือนกำเนิดคนนั้นมีไข่มุกวิเศษลูกหนึ่งที่ส่องแสงแวววาว และบนไข่มุกนี้ก็มี…เส้นสีเงินเจ็ดเส้นไหลเวียนอยู่!

คนทั้งสี่มีสีหน้าระแวดระวัง หลังเดินออกมาจากหัวเลี้ยวจึงมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่สวมหน้ากากทันที ดวงตาของพวกเขาต่างก็แน่วนิ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นก็จ้องเขม็งไปยังคนทั้งสี่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอกับผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดาร ก่อนหน้านี้เขาก็เคยเจอมาแล้วหลายกลุ่ม เพราะมีหน้ากากอยู่ด้วย คนเหล่านั้นจึงมักไม่ให้ความสนใจเขา แค่มองประเมินพักหนึ่งก็จากไป

ทั้งสองฝ่ายต่างก็จ้องกันเขม็ง หลังจากผ่านไปหลายชั่วอึดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยห่างเปิดทางให้ก่อน ดวงตาของคนทั้งสี่เป็นประกาย พอมองเห็นเสื้อเกราะบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ เดินหน้าออกมาอย่างเชื่องช้า ทว่าวินาทีที่ทั้งสองฝ่ายห่างกันประมาณสิบจั้ง ชนพื้นเมืองหนึ่งเดียวในนั้นก็พลันคำรามกร้าว แสยะยิ้มแล้วกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“พวกเขามองไม่ออกถึงตัวตนของข้า นี่เป็นเพราะหมายตาเสื้อเกราะบนร่างข้า อีกทั้งข้ายังตัวคนเดียวเลยคิดจะสังหารเพื่อชิงสมบัติ ศึกนี้ต้องรีบสู้รีบจบ!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงเย็นเยียบ นาทีที่ยักษ์ชนพื้นเมืองตนนั้นพุ่งตัวเข้ามา เขาไม่ได้ถอยหลังแต่ถลาออกไปหนึ่งก้าว ความเร็วนั้นมากพอจะทำให้คนทั้งสี่หน้าเปลี่ยนสี

ยังไม่ทันรอให้พวกเขาเห็นรูปร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจนก็ได้ยินเสียงดังครืนครั่นและเสียงร้องโหยหวนมาจากยักษ์ชนพื้นเมืองตนนั้น ร่างของยักษ์ชนพื้นเมืองนี้หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะระเบิดออก เลือดเนื้อถูกแรงมหาศาลม้วนตลบให้กลายมาเป็นลูกธนูสีเลือดที่ตรงดิ่งเข้าหาผู้ฝึกวิญญาณทั้งสาม

จนกระทั่งบัดนี้พวกเขาสามคนถึงมองเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงจุดซึ่งยักษ์ชนพื้นเมืองระเบิดตัวได้อย่างชัดเจน คนทั้งสามล้วนเป็นผู้ที่เคยลงสนามรบมาก่อนจึงรู้ว่าได้มาเจอกับผู้แข็งแกร่งเข้าให้แล้ว ดังนั้นไอสังหารของแต่ละคนจึงยิ่งเดือดพล่าน

จนกระทั่งลูกธนูสีเลือดนั้นเยื้องกรายมาถึง เนื่องจากแฝงเร้นไว้ด้วยสารพิษ แม้จะสร้างผลกระทบให้กับคนทั้งสาม แต่พวกเขาเองก็มีวิธีการระงับและแก้ไข เห็นเพียงว่าไข่มุกวิเศษเหนือศีรษะของนักพรตเสมือนกำเนิดคนนั้นเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นม่านแสงสกัดกั้นลูกธนูสีเลือดไว้ข้างนอก แม้ว่ามันจะยังแทงทะลุเข้ามาเล็กน้อย แต่คนทั้งสามกลับไม่สนใจ ยังคงระเบิดไอสังหารกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน!

“ตาย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!