บทที่ 543 หมั่นโถวเลือด
สถานที่ที่พวกหมวกปรากฏก่อนหน้านี้ หลังจากที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนต่างคนต่างหนีไป ในพื้นที่ที่ว่างเปล่าแห่งนั้นจึงเหลือแค่เพียงซากศพของผู้ฝึกวิญญาณสิบกว่าคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น กะโหลกศีรษะของผู้ฝึกวิญญาณเหล่านี้กลวงโบ๋ เผยให้เห็นกระดูกศีรษะสีขาว มองดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ใบหน้ามากมายที่ปรากฏอยู่บนผนังรอบด้านก็ทำท่าผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ยามนี้พวกมันกำลังเปิดปากวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องคล้ายคันปากมาก
“ในที่สุดก็ไปเสียที หมวกสีแดงไปแล้ว ฮ่าๆ”
“วันนี้หมวกสีแดงทำตัวผิดปกติมาก ไม่เห็นมารังแกพวกเราอย่างทุกที”
“นั่นสิๆ ผิดปกติมากเลย แปลกจังเลยแหะ…” ทว่าขณะที่พวกใบหน้าในกำแพงกำลังพูดคุยกันด้วยท่าทีฮึกเหิม ทันใดนั้นพวกมันก็พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ละใบหน้าเบิกตากว้าง จ้องเขม็งไปยังทิศทางหนึ่ง เสียงที่ออกจากปากก็ขาดหายไปกลางคันคล้ายถูกบีบให้หยุดชะงักอยู่แค่ลำคอ นัยน์ตาเผยความหวาดกลัวยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นหมวกสีแดงเมื่อครู่นี้เสียอีก แถมทุกใบหน้าก็ยังพากันตัวสั่นสะท้าน
สถานที่ที่สายตาของพวกมันมองไป บัดนี้ความว่างเปล่าพลันบิดเบือนก่อนจะก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างหนึ่งที่พร่าเลือน เรือนร่างนี้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นช้าๆ นั่นคือหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผมยาวสลวย หน้าตาก็งามเย้ายวน แต่ไม่รู้ทำไมบนร่างของนางกลับมีความพิลึกพิลั่นบางอย่างที่บอกไม่ถูกแผ่ออกมา
“คนมากันเยอะเลยนะเนี่ย…พี่ชายก็มาด้วยน้า”
หญิงสาวผู้นี้ปิดปากหัวเราะจนดวงตาทั้งคู่ยิบหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว มองดูแล้วยิ่งงดงามมากกว่าเดิม ทว่าความรู้สึกแปลกพิลึกก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นตามไปด้วย เพราะว่าดวงตาทั้งคู่ที่เหมือนรูปจันทร์เสี้ยวของนาง ในลูกตาดำกลับมีลูกตาดำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชั้นราวกับว่ามีลูกตาดำเล็กใหญ่ทับซ้อนอยู่ด้วยกัน ภาพเหตุการณ์นี้มากพอจะทำให้ใครก็ตามที่มองเห็นเย็นเยียบไปทั่วทั้งจิตวิญญาณ
หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ที่นี่ต้องมองออกในปราดเดียวว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์!
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังเผ่นหนีสุดชีวิต ด้านหลังของเขามีหมวกเจ็ดแปดใบไล่ตามมาติดๆ ตลอดทางป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามทดลองโจมตีกลับไป ทว่าหมวกเหล่านี้กลับมองข้ามเวทลับทุกอย่างของป๋ายเสี่ยวฉุน นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ ต่อให้เขาสามารถร่ายใช้ความเร็วสุดขีดที่ทำให้รอบด้านเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าได้ แต่หมวกพวกนี้กลับชวนพิศวงอย่างมาก เพราะความเร็วของพวกมันไม่ลดน้อยลงไปเลย
“ตามข้ามาทำไมเล่า…ข้า…หัวข้าไม่อร่อยหรอกนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวอย่างถึงที่สุด มือทั้งคู่กุมศีรษะ ห้อตะบึงไปตลอดทาง
ยังดีที่ระหว่างทางนี้ได้เจอกับผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารอีกไม่น้อย ดูเหมือนว่าหมวกเหล่านั้นเองก็ไม่ได้คิดจะกินป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้ ไม่นานมันพวกมันจึงค่อยๆ ถูกคนอื่นๆ ดึงดูด บวกกับที่ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนมีมากเขาจึงสลัดหมวกพวกนั้นทิ้งไปได้ในที่สุด
เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าด้านหลังไม่มีหมวกตามมาอีกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ผ่อนลมหายใจ ย้อนนึกถึงความแปลกประหลาดของหมวกเหล่านั้นเขาก็ยังหวาดผวาไม่คลาย แต่พอคิดได้ว่าหมวกพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามตนมาจริงๆ แต่หันไปตามคนอื่นแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พบว่าตัวเองกลัดกลุ้มเล็กน้อย
“หรือว่าหัวของข้าไม่อร่อยจริงๆ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำหนึ่งประโยค แล้วก็รีบสลัดความคิดนี้ของตัวเองทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหาสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่ ลังเลชั่วครู่เขาก็โบกมือหนึ่งครั้ง รอบด้านมีไอหมอกแผ่ออกมา หลังจากที่มันปกคลุมไปแปดทิศ เขาก็แผ่ไอความเย็นออกมาปิดผนึกรอบด้านอีกเล็กน้อย นั่นถึงได้เลียริมฝีปาก ก่อนจะหยิบเอาไฟเก้าสีออกมาจากในถุงเก็บของ
หลังจากที่สลายการปิดผนึกด้วยน้ำแข็งออกไปอย่างระมัดระวังแล้ว ดวงตาของเขาที่ถือไฟเก้าสีก็เผยความตื่นเต้น แม้ว่าไฟนี้จะสลัวรางลงไปไม่น้อย แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นไฟเก้าสีอยู่ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนถือมันอยู่ในมือก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังน่าครั่นคร้ามที่อยู่ภายใน ย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าคุ้มแล้ว
“ไฟเก้าสีนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ หากไม่เป็นเพราะมันไม่มีราก เกรงว่าไอความเย็นของข้าก็คงมิอาจปิดผนึกมันได้”
“มีไฟนี้ ร่มราตรีนิรันดร์ของข้าก็สามารถหลอมพลังจิตได้เก้าครั้ง…”
“หากได้เก้าครั้งอานุภาพของมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ระดับความเป็นไปได้ที่ข้าจะรักษาชีวิตรอดตอนอยู่ที่นี่ก็ยิ่งสูงมากขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็สังเกตการณ์ไปรอบด้านอีกครั้ง จากนั้นจึงรีบหยิบเอาหม้อกระดองเต่าและร่มราตรีนิรันดร์ออกมาเริ่มหลอมพลังจิต
“ที่นี่คือเขาวงกต ไม่รู้ว่าพลังฟ้าดินจะพอหรือเปล่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนหน้าที่จะตามคนสามหมื่นออกมาข้างนอก เขาก็เคยได้หลอมพลังจิตในกำแพงเมืองมาก่อน ตอนนั้นเขาก็สัมผัสได้แล้วว่าเป็นเพราะพลังฟ้าดินมีบางเบา การหลอมพลังจิตจึงไม่มั่นคง แต่ยังดีที่หม้อกระดองเต่าใบนี้มหัศจรรย์มากพอจึงฝืนหลอมได้สำเร็จ ยามนี้ไฟเก้าสีไม่เพียงแต่สลัวราง แถมยังอยู่ในเขาวงกตอีกด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงลังเลอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากนั้นเขาก็กัดฟันกรอด
“เพื่อเพิ่มอัตราการมีชีวิตรอด ยังไงก็คุ้มหากลองทำดู ถ้าล้มเหลวจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเอาไว้ แต่ไหนแต่ไรมาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยขี้เหนียวอยู่แล้ว ตอนนี้พอตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเขาจึงเริ่มหลอมพลังจิตทันที
เมื่อไฟเก้าสีถูกหม้อกระดองเต่าดูดเอาไป ลายเส้นบนหม้อกระดองเต่าก็พลันเจิดจ้าบาดตา ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเล็กน้อย จ้องเขม็งไปที่มันตาไม่กะพริบ หลังจากที่ลายเส้นเหล่านั้นแผ่ไปทั่วแล้ว สีหน้าเขาก็พลันฮึกเหิม รีบหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ใส่ลงไปในหม้อกระดองเต่าทันที
แทบจะวินาทีเดียวกับที่วางร่มลงไป หม้อกระดองเต่าก็เกิดสั่นคลอน ลายเส้นยิ่งเปลี่ยนมาเป็นสว่างไสวคล้ายมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง มันถึงขนาดหลุดออกจากหม้อ
กระดองเต่าบินเข้าหาร่มราตรีนิรันดร์คล้ายเชือกถักที่พอนาบประทับลงไปด้านในแล้วก็รวมตัวกันออกมา…เป็นลายเส้นที่เก้า!
นาทีที่ลายเส้นที่เก้าปรากฏขึ้น ร่มราตรีนิรันดร์ก็สั่นสะท้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงร้องคำรามที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเบิกบานคึกคักดังออกมาจากภายใน ไม่นานหม้อกระดองเต่าก็สงบลง ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอึ้งงัน
“นี่คือสำเร็จแล้ว? ไม่เห็นรู้สึกถึงพลังฟ้าดินที่เยื้องกรายมาเยือนเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ หยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์มาดูอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็พบว่าเขาหลอมพลังจิตสำเร็จในครั้งเดียวจริงๆ
แต่เขากลับยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ มองหม้อกระดองเต่าที มองร่มราตรีนิรันดร์อีกที ครั้งก่อนๆ เวลาที่เขาหลอมพลังจิตมักจะต้องดึงดูดเอาพลังฟ้าดินมาจากรอบด้าน แต่ครั้งนี้กลับไม่มีพลังฟ้าดินแม้แต่เสี้ยวเดียว
หลังจากย้อนนึกถึงรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเปล่งแสงวาบ
“สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือไฟ!”
“การหลอมพลังจิตของข้าก่อนหน้านี้ใช้วัสดุที่มีไฟหลายสี ต้องเผาไหม้ก่อนถึงจะก่อตัวกันขึ้นมาเป็นไฟหลายสี แต่ว่าครั้งนี้ใช้ไฟหลายสีโดยตรงเลย…แถมเห็นได้ชัดว่าไฟนี่มาจากแดนทุรกันดาร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ไพล่นึกไปถึงผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดาร โดยเฉพาะอาจารย์หลอมวิญญาณที่ส่วนใหญ่ล้วนมีอาวุธวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตหลายครั้งติดตัว เขาแอบรู้สึกเหมือนตัวเองจับเบาะแสบางอย่างได้
“บางทีการหลอมพลังจิตของแดนทุรกันดารอาจไม่จำเป็นต้องใช้พลังฟ้าดิน มิฉะนั้นในพื้นที่ที่พลังฟ้าดินขาดแคลนเช่นนั้นจะมีอาวุธที่ผ่านการหลอมพลังจิตหลายครั้งได้อย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดอยู่พักใหญ่ รู้ว่าในเขาวงกตที่มีอันตรายซ่อนแฝงอยู่ทั่วทุกแห่งนี้ไม่มีเวลาให้เขามามัวคิดมาก ดังนั้นหลังจากที่ฝังกลบเรื่องนี้ไว้ในใจเรียบร้อยแล้วเขาก็สลายไอหมอกและไอความเย็นออก ก่อนที่จะตามหาทางออกอยู่ในเขาวงกตอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การระมัดระวังตัวทุกฝีก้าวของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีเรื่องแปลกประหลาดอย่างการเจอกับพวกหมวกแดงเกิดขึ้นอีก แต่เขาเองก็เริ่มค้นพบแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นนักพรตกำแพงเมืองหรือชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดาร…ก็ดูเหมือนว่าจำนวนของพวกเขาจะลดลงไปบางส่วน
“ก่อนหน้านี้วันหนึ่งต้องได้เจอคนอย่างน้อยสิบกว่าคน…แต่ตอนนี้ วันหนึ่งแค่ได้เจอสามคนห้าคนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นี่มันลดลงจนเหลือน้อยเกินไปหน่อยไหม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองผนังรอบด้านด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แรงกล้าว่าเขาวงกตนี้คล้ายกลายมาเป็นปากใหญ่แห่งความตายที่กลืนกินทุกอย่างที่ย่างเท้าเข้ามา ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้านไปทั้งใจ
“ไม่ได้ ข้าต้องหาทางออกให้เจอ!”
“แต่ที่นี่ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็เหมือนกันหมด ทางออกอยู่ตรงไหนกันนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเองก็ได้ทดลองวิธีการบางอย่างเช่นการทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ ทว่ากลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
สุดท้ายก็ได้แต่ใช้วิธีการโง่งมอย่างการจับจ้องไปที่แค่ผนังฝั่งขวาแล้วเคลื่อนหน้าอย่างเชื่องช้าต่อไป เวลาผันผ่าน ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองเดินจนเวียนหัวไปหมด หน้าตาของเขาห่อเหี่ยว ขณะที่กำลังจะเดินผ่านหัวเลี้ยวหนึ่ง เขาพลันเบิกตากว้าง หนังหัวชาดิกอีกครั้ง
ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวระลอกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา ก่อนจะกลายมาเป็นน้ำแข็งเย็นเยียบที่ตลบอบอวลไปทั่วทั้งในและนอกร่าง เขากลั้นลมหายใจ จ้องไปเบื้องหน้าเขม็งพลางถอยหลังอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจ
ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาไม่ใช่หมวกสีแดง ที่นั่นคือพื้นที่กว้างขวางเหมือนลานกว้างแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางสี่เส้น บนลานกว้างนั้นมีเทียนขนาดใหญ่ยักษ์สองเล่มกำลังเผาไหม้
เปลวเทียนเป็นสีเขียว ส่องสะท้อนให้ตลอดทั้งลานกว้างเป็นสีเขียวมันขลับ มองแล้วน่าสยดสยองอย่างมาก
ระหว่างเทียนขนาดใหญ่ทั้งสองแท่งวางถาดใบโตเอาไว้ ในถาดนี้มีหมั่นโถวเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนกองซ้อนกันเอาไว้…ราวกับภูเขาลูกย่อม!
หมั่นโถวเลือดเหล่านั้นเป็นสีแดงแจ๋ราวกับเพิ่งแช่เลือดสดๆ มา ทำให้คนมองประหวั่นพรั่นพรึง…แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุด ที่ทำให้หนังหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะระเบิดก็คือบนลานกว้างแห่งนี้มีคนหลายร้อยคนยืนอยู่ตรงนั้น
ในบรรดาคนหลายร้อยคนนี้มีทั้งนักพรตของกำแพงเมือง มีผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดาร และยังมีชนพื้นเมือง หรือแม้แต่อาจารย์หลอมวิญญาณก็มี…คนเหล่านี้ยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าเผยความวิปลาส กำลังจ้องเขม็งไปยังหมั่นโถวเลือดที่วางอยู่บนถาด ไม่มีใครเอ่ยคำใด มีเพียงเสียงลมหายใจหอบหนักที่ดังออกมาจากลานกว้างแห่งนี้
กลิ่นหอมระลอกหนึ่งลอยกรุ่นขึ้นมาจากหมั่นโถวสีเลือดบนถาด เมื่อมันแพร่กระจายไปรอบด้านจึงลอยมาเข้าจมูกของป๋ายเสี่ยวฉุน
กลิ่นนั้นเต็มไปด้วยความหอมหวาน แต่พอเข้ามาในร่างแล้วกลับกลายมาเป็นกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพที่ฉุนกึกจนคนที่ได้กลิ่นแทบจะขย้อนเอาอวัยวะภายในออกมา