บทที่ 547 ชู่ว์…
“ธนูชิ้นนั้นดีนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก
ยิ่งคิดยิ่งอยากได้ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเล่นละครเกินจริงไปหน่อย มิฉะนั้นจะทำให้ดาวนำโชคของเขาตกใจจนต้องหนีไปได้ยังไง
“ต่อไปไม่เรียกเขาว่าต้าซิงซิงแล้ว นี่มันดาวนำโชคชัดๆ น่าเสียดาย เขาวงกตแห่งนี้ใหญ่เกินไป คิดว่าคงยากที่จะได้เจอเขาอีกครั้งแล้วล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง มองรอบด้านตาปริบๆ คิดถึงโจวอีซิงอย่างมาก
เขาทอดถอนใจอยู่กั่บตัวเองพักหนึ่งก่อนจะเริ่มมองประเมินลูกธนูวิญญาณที่หลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งซึ่งอยู่ในมือ มองไปมองมา หัวใจเขาก็เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ลูกธนูดอกนี้ไม่ธรรมดา ไม่พูดถึงที่มันเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างของจริงและภาพมายา ทั้งยังทำให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่จ้องมองนานๆ มีความรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของตัวเองจะถูกมันดึงดูดเข้าไปด้วย
“สรุปแล้ว เป็นเพราะลูกธนูดอกนี้ไม่ธรรมดาอยู แล้ว หรือว่า…หลังจากที่หลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ขึ้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เขานึกไปถึงกระบี่เขาสวรรค์ของสำนักสยบธาร กระบี่เล่มนั้นหลอมพลังจิตมาแล้วสิบครั้ง หากการหลอมพลังจิตครั้งที่สิบเอ็ดสามารถทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ได้จริง ถ้าเช่นนั้นหากกระบี่เขาสวรรค์หลอมพลังจิตสำเร็จอีกครั้ง ต้องยิ่งร้ายกาจเพิ่ม ขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน
“ของดีจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเก็บลูกธนูดอกนี้เข้าไปไว้ในถุงเก็บของ หลังจากตบเบาๆ ด้วยความพึงพอใจเขาก็เกิดอารมณ์ห้าวเหิมอย่างมาก รู้สึกว่า
มาเขาวงกตครั้งนี้ ตนได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลจริงๆ
“หึหึ ในเขาวงกตแห่งนี้จะมีใครรวยกว่าข้าอีก คนฟ้าแล้วอย่างไร หากข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเอาของในกระเป๋าออกมา ต่อให้เป็นคนฟ้าก็ต้องมาตาค้างเหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
ลำพองใจอยู่พักใหญ่ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าผ่านมาหลายวันขนาดนี้ตนยังหาทางออกไปจากเขาวงกตไม่ได้ รวมไปถึงเรื่องพิลึกพิลั่นมากมายที่เกิดขึ้นในเขาวงกตก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ ความลำพองใจทั้งหมดหายวับไป แทนที่มาด้วยการพร่ำเตือนตัวเองว่าต้องระวังให้มาก
“มีทรัพย์สินมากแค่ไหนก็ไม่มีค่าเท่าชีวิตน้อยๆ ของข้าหรอกนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหดหัว มองไปรอบด้านอย่างตื่นตัว ก่อนจะเดินไปข้างหน้าด้วยความระแวดระวัง
บัดนี้ ในช่องทางของเขาวงกตที่ห่างจากจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อแสงดาวเปล่งวาบขึ้นร่างของโจวอีซิงก็เดินโซเซออกมา เพิ่งจะปรากฏตัว
เขาก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำทันที หลังจากกระอักเลือดคำนี้แล้ว รอยดวงดาวกลางหว่างคิ้วของเขาก็แทบจะแตกสลาย ทั้งยังมีรอยปริแตกเล็กละ
เอียดให้เห็นด้านในแล้วด้วย หลังจากรู้สึกว่ารอยดวงดาวของตนซีดสลัวจนแทบไม่มีแสง โจวอีซิงก็รู้สึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าคนเดียว!!” ใบหน้าของเขาซีดเผือด ร่างสั่นสะท้านน้อยๆ ปากก็สบถด่าด้วยความแค้นเคือง
“ไฟเก้าสีของข้า ลูกธนูวิญญาณไฟของข้า เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตาย!! หากไม่เป็นเพราะเจ้า ข้าก็คงไม่มาที่นี่ ไม่มาที่เขาวงกตบัดซบนี่!!” โจวอีซิงใกล้บ้าเต็มทีแล้ว เขารู้สึกว่ารอยดาวกลางหว่างคิ้วของตัวเอง อย่างมากสุดคือนำส่งอีกครั้งมันก็จะแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีจริงๆ
ตอนที่เขาเดินทางมาที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าความอันตรายในเขาวงกตแห่งนี้จะบีบให้ตนต้องใช้พลังรอยดวงดาวติดต่อกันหลายครั้ง
ยามนี้เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กัดฟันยืนหยัดต่อไป ขณะเดียวกันก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อด้วย
“อย่าได้เจอกับเรื่องประหลาดพวกนั้นอีกเลย…แล้วก็ไม่ต้องเจอป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว…ขนาดลูกธนูวิญญาณไฟยังฆ่าเขาไม่ได้ เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้้ผิดมนุษย์มนา!” โจวอีซิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเสร็จก็ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน แล้วจึงเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ยามนี้ความคิดเดียวในสมองเขาก็คือหาทางออกให้เจอแล้วรีบจากไป นับแต่นี้จะไม่หวนกลับมาเขาวงกตนี้อีก ส่วนเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่น…เขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่ารอให้ตนกลับไปยังตระกูลเมื่อไหร่จะต้องขอให้พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ท่านลุง ท่านอา ของตัวเองหาโอกาสกลับมาสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนแถวๆ กำแพงเมืองให้ได้
ขณะที่โจวอีซิงภาวนาว่าอย่าให้เจอป๋ายเสี่ยวฉุนอีกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในเขาวงกตก็พกพาเอาความตื่นตัวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า เห็นกำแพงรอบด้านที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองเวียนหัวไปหมดแล้ว
“ทางออกอยู่ตรงไหนกันเนี่ย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย พอยืนคิดอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งเขาก็กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที
“มั่วแล้วๆ ข้าเดินมั่วไปหมดแล้ว เอาเถอะ เอาจุดที่ข้าอยู่ตรงนี้เป็นจุดตั้งต้นก็แล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วเดินชิดขวาไปเรื่อยๆ
เขากำลังคำนวณฝีเท้าของตัวเอง ขณะเดียวกันก็วาดเส้นหนึ่งลงไปในแผ่นหยก ใช้วิธีการและความอดทนเช่นนี้ตามหาต่อไป เมื่อเจอกับทางแยกก็จะเลี้ยวขวาดังเดิม และบนแผ่นหยกของเขาก็เริ่มมีเส้นบิดเบี้ยวๆ เส้นหนึ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา…
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน ตั้งแต่เขาเข้ามาจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ยังดีที่ตอนจะมาที่นี่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เตรียมเหล้าวิเศษมาเป็นจำนวนมาก นั่นถึงทำให้เขารักษาตบะและพลังในการต่อสู้อยู่ในระดับมาตรฐานไว้ได้ ทว่าเนื่องจากต้องให้ตัวเองอยู่ในสภาวะพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ ดังนั้นการเผาผลาญจึงมีมากเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าผ่านไปอีกไมกี่่เดือน เหล้าวิเศษของเขาคงไม่พอใช้แน่ๆ
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งกลัดกลุ้ม มากขึ้นเรื่อยๆ นั้น วันนี้ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นยามใด เขาพลันเห็นว่าในช่องทางเบื้องหน้ามีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างนี้ ไม่ได้เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่ค่อยๆ เดินเข้ามายังทิศทางที่เขายืนอยู่
“ใคร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ ร่มราตรีนิรันดร์ปรากฏพรวดขึ้นมาในมือทันที ทั้งยังตวาดเสียงดัง ทว่าเงาร่างนั้นกลับยังคงเดินมาข้างหน้าราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน ขณะที่กำลังจะถอยหนีกลับมองเห็นคนที่มาเยือนได้อย่างชัดเจน นั่นจึงทำให้เขาอึ้งงันไปครู่หนึ่ง
คนผู้นี้้คือนักพรตของกำแพงเมือง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคุ้นหน้าเล็กน้อย คือหนึ่งในคนสามหมื่นคนที่มาครั้งนี้ ทว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาอึ้งงัน ที่ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาหดตัวอย่างแท้จริงนั้นเป็นเพราะสีหน้าที่เลื่อนลอยและดวงตาที่ไร้แววชีวิตชีวาของคนผู้นี้้ต่างหาก…อีกทั้งตบะบนร่างของเขายังถอยร่นไปอยู่ในขั้นสร้างฐานรากระดับต้น
ขณะที่เดินมาข้างหน้า ขาทั้งคู่ก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงไม่ได้ลอยมา แต่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกดันออกมามากกว่า
ดูเหมือนเขาจะมองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ยังคงเดินหน้าไปด้วยท่าทางเลื่อนลอย
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ชอบมาพากลอย่างมาก เมื่อเห็นว่านักพรตคนนี้เดินมา ใจเขาอยากจะลงมือ แต่กลับลังเลอยู่ครู่เพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงหลบทางให้แล้ว จ้องเขม็งไปยังนักพรตผู้นั้น
ไม่นานคนผู้นี้ก็เข้ามาใกล้ ทว่ากลับไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่น้อยราวกับมองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็เดินผ่านเขาไปตรงๆ ขณะ
เดียวกันกับที่คนผู้นี้เดินผ่านไป สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองไปยังแผ่นหลังของเขา การมองครั้งนี้ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม ความรู้สึกขนลุกขนชันทำให้เส้นผมทั้งหัวของเขาแทบจะตั้งตรงขึ้นมา
“นี่…นี่…นี่มันอะไรกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ รีบถอยห่างทันใด มองไปยังแผ่นหลังของนักพรตคนนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว เห็นเพียงว่าด้าน
หลังนักพรตคนนี้กลับมี…คนกระดาษยาวเจ็ดฉื่อใบหนึ่งแปะเอาไว้!!
คนกระดาษนี้มีมือมีเท้า ส่วนศีรษะยังวาดหน้าตาชัดเจนราวกับมีชีวิตจริง…มันแนบสนิทอยู่กับแผ่นหลังของนักพรตผู้นั้นดังเกิดมาเป็นร่างเดียวกัน สามารถมองออกได้ว่ามีพลังชีวิตและพลังตบะเป็นระลอกๆ กำลังถูกดูดออกมาจากในร่างของนักพรตผู้นี้้แล้วผสานรวมเข้าไปในร่างของคนกระดาษ
คนกระดาษนี้กำลังหลับตา สีหน้าดื่มด่ำเป็นสุข แถมใบหน้าของมันยังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป มองดูแล้วเริ่มคล้ายคลึงกับนักพรตผู้นั้น
ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม รีบยกมือขึ้นอุดปากของตัวเองทันที กลัวว่าตัวเองจะร้องตะโกนออกมาแล้วไปทำให้คนกระดาษนั่นตื่นเข้า รอจนนักพรตผู้นี้้เดินโซเซจากไปไกลแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด
“นี่มันสถานที่ผีบ้าผีบออะไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดกลัวไม่เป็นสุข ไม่ว่าจะเป็นหมวกสีแดง หมั่นโถวเลือด หรือจะเป็นคนกระดาษนี่ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถใช้ตบะมาต้านทานได้ เพราะมันคือการดำรงอยู่ของสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณคนสั่นคลอน…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนนกที่ตกใจลูกธนู หลังจากลังเลอยู่ครู่ก็ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ เขาไม่กล้าเดินไปตามทิศทางนี้อีกแล้ว ได้แต่หยิบเอาแผ่นหยกใหม่ขึ้นมาเปลี่ยนทิศทาง วาดภาพขึ้นมาใหม่ ระวังตัวจนถึงระดับไม่กล้าทำตัวเลินเล่อแม้เพียงน้อย
แต่เดินไปเดินมาเขาพลันค้นพบว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างปรากฏขึ้นมาอีกห้าร่าง เมื่อมองอย่างละเอียดก็เห็นว่ามีทั้งนักพรตกำแพงเมือง แล้วก็มีผู้ฝึกวิญญาณรวมไปถึงชนพื้นเมืองอยู่ด้วย คนทั้งห้านี้มีท่าทางเหมือนนักพรตที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน ทุกคนต่างก็เดินมาข้างหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ด้านหลังของพวกเขาก็มีคนกระดาษแนบติดอยู่…
ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจแผ่วเบา ถอยหลังออกไปช้าๆ เปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง ทว่าไม่นานนักเขาก็ต้องมองเซ่อไปทันที เพราะเขาเห็นว่าเบื้องหน้าของเขากลับมีนักพรตและผู้ฝึกวิญญาณอีกสิบกว่าคนที่ด้านหลังมีคนกระดาษติดอยู่…
“บัดซบ เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจเสียแล้ว เขาเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง ในที่สุดครั้งนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อยเพราะไม่เจอกับนักพรตคนกระดาษอีก และป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายใจได้เสียที
ทว่าช่วงเวลาดีๆ มักจะอยู่ ได้ไม่นาน หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันชะงักกึก เขามองเห็นว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างหนึ่งกำลังบินมาอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้คือผู้ฝึกวิญญาณ พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าของเขาก็แฝงไว้ด้วยความหนักใจคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักถึงฝีมือของแต่ละฝ่าย ทว่ากลับไม่ได้ลงมือ แค่แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วรีบบินจากไปไกล
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เห็นผู้ฝึกวิญญาณคนนี้เหมือนกัน หลังจากพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้เลื่อนลอยเขาก็แอบผ่อนลมหายใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน
เขาพบว่าด้านหลังของผู้ฝึกวิญญาณคนนี้ก็มีคนกระดาษเหมือนกัน และเห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกวิญญาณคนนั้นสัมผัสไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ตอนที่เขาพุ่ง ทะยานผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไปอย่างรวดเร็ว คนกระดาษนั้นดันลืมตาขึ้นมาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง แถมยังส่งยิ้มชวนขนหัวลุกมาให้เขา ก่อนจะยกมือที่เป็นกระดาษขึ้นมาวางบนปากตัวเอง แล้วทำสีหน้าชู่ว์…ราวกับเตือนป๋ายเสี่ยวฉุนว่ามันกำลังเล่นซ่อนหาอยู่ ห้ามเขาบอกใคร…
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนหน้าไม่มีสีเลือด เหงื่อเย็นๆ แตกพลั่ก ขนลุกขนชันไปทั้งร่าง รีบพยักหน้ารับเร็วๆ กลัวว่าคนกระดาษนี้จะเข้าใจผิด แถมยังถึง
ขั้นตบหน้าอกตัวเองรับรองว่าตัวเองจะไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน…
เหมือนว่าคนกระดาษนั้นจะเข้าใจท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วหลับตาลงใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งผู้ฝึกวิญญาณคนนี้จากไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่หน้าผาก เขาตระหนักได้แล้วว่าเห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกวิญญาณคนนั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าด้านหลังของตัวเองมีคนกระดาษแนบติดอยู่
“คนกระดาษพวกนี้ถึงกับทำให้คนสัมผัสไม่ได้ว่ามันอยู่ใกล้…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นตระหนกก็พลันหันหลังขวับ