Skip to content

A Will Eternal 56

บทที่ 56 ประคับประคองกันและกัน

เวลานี้เป็นยามสายัณห์ของวันที่สองแล้ว พวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนเหินห้อทะยาน พยายามลองส่งข้อความผ่านแผ่นหยกอยู่ตลอดเวลา แต่ยังคงไม่สามารถติดต่อสำนักได้ แม้จะร้อนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ยังดีที่มียามากพอ ในถุงเก็บของของคนทั้งเจ็ดจากตระกูลลั่วเฉินซึ่งถูกป๋ายเสี่ยวฉุนไล่ฆ่าพอมีของอยู่บ้าง แม้ว่าจะสู้ของสำนักธาราเทพไม่ได้ แต่ในเวลาอย่างนี้ย่อมดีกว่าไม่มีเลย

ภายใต้การรักษาจากยา ตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยจึงพอฟื้นพลังได้ กดกลั้นอาการบาดเจ็บลงไป เดินทางรุดหน้าในยามค่ำคืนไปพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหายมาตลอดทาง ไม่ว่าจะมีลมพัดหรือยอดหญ้าขยับล้วนทำให้เขาเหงื่อตกได้ทั้งสิ้น หัวใจเกร็งตัวแน่นอยู่ไม่คลาย เส้นเลือดฝอยในตาทั้งคู่ก็ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะอาการปวดแปลบช่วงบนของร่างกายก็ยิ่งทำให้เขาแสยะปากแยกเขี้ยวอยู่ตลอด

ความเจ็บปวดนี้ใช่ว่าจะทนไม่ได้ เมื่อเทียบกับการฝึกวิชาอมตะมิวางวายของเขาแล้ว นี่ยังถือว่าห่างชั้นกันนัก เพียงแต่ความเจ็บปวดของวิชาอมตะมิวางวายนั้นก็เพื่อตบะที่แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้พอเขามองเห็นว่าบนร่างมีหลายจุดที่เลือดเนื้อไหลปนกันจนแยกไม่ออก เขากังวลว่าอาการบาดเจ็บจะยิ่งทรุดหนัก อันตรายถึงชีวิต จึงหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างช่วยไม่ได้

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ตู้หลิงเฟยคงยิ่งดูถูกเหยียดหยามป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ท่าทีของนางกลับกันอย่างสิ้นเชิง นัยน์ตาฉายความอ่อนโยน คอยปลอบใจอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ห่าง

“ไม่เป็นไรนะ ศิษย์น้องป๋ายไม่ต้องกลัว บาดแผลนี้มองแล้วเหมือนจะร้ายแรง แต่ในความเป็นจริงไม่อันตรายถึงชีวิต”

“เจ้าอย่าขยับ ข้าจะช่วยทายาให้…”

เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าแสยะปากแยกเขี้ยว ต่อให้อยู่ท่ามกลางวิกฤตเช่นนี้ ตู้หลิงเฟยก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับปาก ในรอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่บอกได้ไม่ชัดเจน

นางรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวตาย แต่ยิ่งรู้ในข้อนี้ นางก็ยิ่งซาบซึ้งใจที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนวกกลับมาช่วย นางรู้สึกว่าบนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนผู้อยู่เบื้องหน้า มีความกล้าหาญมากเกินกว่าคนทั่วไป

ความกล้าหาญนี้รวมตัวกันกลายเป็นร่างแกร่งกร้าว จารึกอยู่ในความทรงจำของนางยากลืมเลือน

ได้รับการปลอบใจจากตู้หลิงเฟย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำพองใจขึ้นมา บอกกับตัวเองว่าการสู้ตายถวายชีวิตครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เลวทีเดียว ทำให้สาวงามอย่างตู้หลิงเฟยอ่อนโยนกับตนเองถึงเพียงนี้

โหวอวิ๋นเฟยมองเห็นภาพนี้ นัยน์ตาก็เผยรอยยิ้ม ท่ามกลางการหนีเอาตัวรอด ยากนักที่พวกเขาจะเกิดความอ่อนโยนต่อกันเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะการประคับประคองกันและกัน ยิ่งทำให้ทั้งสามคนมีความสัมพันธ์แนบแน่นมากขึ้น

“หากพวกเราได้กลับไปถึงสำนัก ศิษย์น้องป๋าย ศิษย์น้องตู้ บุญคุณครั้งนี้ ข้าไม่มีวันลืมตลอดชีวิต!” โหวอวิ๋นเฟยพูดอย่างหนักแน่น

“หากกลับไปถึงสำนัก…” นัยน์ตาตู้หลิงเฟยเผยความคาดหวัง แต่ก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ในใจขมปร่า นางรู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่พวกนางสามคนจะกลับไปพร้อมลมหายใจ…มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เงียบงันเช่นกัน

เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวสองวันก็ผ่านพ้นไป ทั้งสามคนแทบไม่ได้พักผ่อน ห้อทะยานกันสุดกำลัง ระหว่างทางลองพยายามส่งข้อความผ่านแผ่นหยกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวเช่นเคย

อาการบาดเจ็บของโหวอวิ๋นเฟยสาหัสขึ้น สีหน้าของตู้หลิงเฟยก็ค่อยๆ ซีดขาว ความเหนื่อยล้าบวกเข้ากับอาการบาดเจ็บ ทำให้ทั้งสองคนจิตใจห่อเหี่ยวหมดเรี่ยวแรง

“น่าเสียดายที่พวกเราไม่อาจหลบซ่อนตัวได้ ต้องพยายามส่งข้อความให้สำนักโดยเร็วที่สุด จากการคำนวณของข้า พิธีกรรมนั่นของตระกูลลั่วเฉินใกล้จะสำเร็จแล้ว หากสำเร็จ…ผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากผู้นั้นย่อมมาปรากฏตัวด้วยตัวเอง ต่อให้พวกเราหลบซ่อนมิดชิดแค่ไหน ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี” โหวอวิ๋นเฟยถอนหายใจเสียงเบา พูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย

และในเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหน้าเปลี่ยนสี ดึงตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยพุ่งดิ่งไปยังที่ราบระหว่างภูเขา นั่งยองลงไปอย่างรวดเร็ว

อีกสองคนที่เหลือหน้าเปลี่ยนสี เงียบเสียงทันที

ผ่านไปไม่นานนัก ทันใดนั้นกลางท้องฟ้ามีรุ้งยาวเส้นหนึ่งคำรามผ่านมา รุ้งยาวเส้นนั้นคือกลุ่มหมอกเลือด ในไอหมอกมีคนตระกูลลั่วเฉินพลังลมปราณขั้นแปดผู้หนึ่งกำลังก้มหน้ามองไปรอบด้าน เพราะก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนซ่อนตัวทันเวลา คนตระกูลลั่วเฉินผู้นี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นานนักก็จากไปไกล

ใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำโครมคราม มองเงาร่างของอีกฝ่ายที่ห่างไปไกล เส้นเลือดในดวงตาก็ยิ่งมีมาก แต่เขาเข้าใจว่าตนเองไม่อาจลงมือ นอกจากสามารถฆ่าคนผู้นี้ได้ในพริบตา มิเช่นนั้นเกรงว่าในเวลาไม่นาน จะยิ่งมีคนตระกูลลั่วเฉินจำนวนมากปรากฏตัว

“พวกมันไล่ตามมาแล้ว…” ตู้หลิงเฟยถอนหายใจเบาๆ ในใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุน ลังเลอยู่ชั่วครู่ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากกลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงมือให้ห้อทะยานไปเบื้องหน้า

ตลอดทางคนทั้งสามยิ่งเงียบงัน ฟ้าดินรอบด้านราวกับพากันบีบอัดเข้ามา ยิ่งทำให้ในใจเขากระวนกระวายอย่างรุนแรง เหมือนว่าเงามืดแห่งความตายยิ่งขยายใหญ่ และจะกดทับพวกเขาทั้งสามคนให้แหลกเหลว

“พวกเรายังมีความหวัง!” โหวอวิ๋นเฟยพูดขึ้นอย่างฉับพลัน

“ผู้อาวุโสตระกูลลั่วเฉินผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานราก แม้จะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา แต่ค่ายกลของเขาไม่มีทางไร้ขอบเขต ผู้อาวุโสตระกูลโหวของข้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานรากเหมือนกัน ข้าเคยเห็นท่านผู้อาวุโสวางค่ายกลอยู่ครั้งหนึ่ง ถ้าจะให้ครอบคลุมรัศมีหมื่นลี้ จะต้องไปประทับตราตามจุดเชื่อมต่อก่อนจึงจะได้”

“ความหมายของศิษย์พี่โหวก็คือต่อให้บรรพบุรุษตระกูลลั่วเฉินผู้นั้นเตรียมการก่อนอย่างไรก็ตาม ก็เกินหมื่นลี้ไปได้ไม่มาก!” นัยน์ตาตู้หลิงเฟยเปล่งกระกาย รีบพูดอย่างรวดเร็ว

“ถูกต้อง ดังนั้นยิ่งพวกเราอยู่ห่างจากตระกูลลั่วเฉินมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะใช้แผ่นหยกส่งข้อความให้สำนักก็ยิ่งมีมาก ขอแค่ส่งข้อความไปถึงสำนัก พวกเราก็จะได้รับการช่วยเหลือ!” โหวอวิ๋นเฟยพูดอย่างหนักแน่น

“ขอบเขตหมื่นลี้ อิงตามความเร็วของพวกเรา ยังต้องการเวลาอีกประมาณแปดเก้าวัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ กัดฟันเดินหน้าต่อไป

พวกเขาคอยหลบหลีกซ่อนตัวกันมาตลอดทาง เจอร่างของคนตระกูลลั่วเฉินติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนหลบหลีกพ้นเนื่องจากประสาทสัมผัสต่ออันตรายที่ไวเป็นพิเศษของป๋ายเสี่ยวฉุน

แต่ท่ามกลางความตื่นตัวสูงสุดของจิตใจ บวกกับการห้อตะบึงอย่างไม่หยุดพัก ทั้งยังต้องช่วยดึงอีกสองคนที่เหลือ ความเหนื่อยล้าของเขายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็ค่อยๆ ซีดขาวลง

ส่วนอาการบาดเจ็บของโหวอวิ๋นเฟยและตู้หลิงเฟยก็ยิ่งสาหัสมากขึ้น ความเร็วค่อยๆ ลดช้าลง จนถึงสุดท้าย แทบจะเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียวที่คอยฉุดดึงพวกเขาสองคนให้เดินหน้า

คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งระมัดระวังมากขึ้น นิสัยของเขาชอบความมั่นคง ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังความรู้สึกไวต่ออันตราย ท่ามกลางความระแวดระวัง คราวนี้เขาทนทรมานได้ถึงสามวันติด

สามวันมานี้คนทั้งสามหลบๆ ซ่อนๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่อนเพลียเต็มกำลัง สีหน้าเหนื่อยล้า พอเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่ง เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวในใจป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเต้นกระหน่ำ รีบพาอีกสองคนเข้าไปหลบด้านหลังหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แต่กลับช้าไป มีเสียงคำรามดังผ่านท้องฟ้ามาในชั่วพริบตา ป๋ายเสี่ยวฉุนผลักคนทั้งสองให้ถอยกรูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง แสงสีขาวหนึ่งเส้นหล่นตรงลงมาบนหินก้อนนี้อย่างรวดเร็ว หินใหญ่แตกกระจายไปทั่ว โหวอวิ๋นเฟยกระอักเลือดสด มุมปากตู้หลิงเฟยเองก็มีเลือดไหล และในเวลานี้เอง เสียงเย็นชาก็ดังลอยมาจากบนท้องฟ้า

“ที่แท้พวกเจ้าก็หลบกันอยู่ที่นี่เอง!”

เห็นแค่ว่ามีลูกศิษย์พลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดคนหนึ่งยืนอยู่บนหมอกสีเลือด มือซ้ายถือกระจกหนึ่งชิ้น และมือขวาตบลงไปบนถุงเก็บของ ในมือมีแผ่นหยกปรากฏออกมาหนึ่งแผ่น กำลังจะส่งข้อความ

“ห้ามให้เขาส่งข้อความเด็ดขาด!” โหวอวิ๋นเฟยร้อนรน ตู้หลิงเฟยสีหน้าซีดขาว พยายามฝืนควบคุมกระบี่บิน

และในเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถอยหลังไปหน้าซีดเผือด ร่างสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำ เขากัดฟันกรอด ขณะที่ร่างกายถอยหลังเท้าเขาก็กระทืบลงพื้นหนึ่งที เท้าขวาสั่นระริก เลือดลมทั้งร่างเกาะตัวกันแน่น เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง พื้นดินด้านหลังเขาแตกกระจาย ร่างเขากระโดดผลุงขึ้นทั้งตัวด้วยความรวดเร็ว กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว

วินาทีที่คนตระกูลลั่วเฉินกำลังจะส่งข้อความ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามอู้เข้าหา ถลามาด้านหน้าของคนผู้นี้ คนตระกูลลั่วเฉินหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันได้ส่งข้อความก็ถอยหลังกรูดโดยพลัน ขณะที่มือทำมุทรา กระจกในมือซ้ายพลันเปล่งแสงวาบ เส้นแสงสีขาวมากมายบินพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววพิฆาต ปล่อยให้แสงสีขาวพวกนั้นกระทบลงบนตัวโดยไม่ได้หลบหลีก พุ่งตัวเข้าไปใกล้ ขณะที่คนตระกูลลั่วเฉินผู้นั้นกำลังตกตะลึง สองนิ้วบนมือขวาป๋ายเสี่ยวฉุนมีแสงสีดำเปล่งวาบ ยื่นเข้าไปติดลำคอของเขาแล้วบิดแรงๆ หนึ่งที

ตรวนสลายลำคอ!

เสียงกร๊อบดังหนึ่งครั้ง คนตระกูลลั่วเฉินที่มีพลังรวมลมปราณขั้นเจ็ดเบิกตาถลน ปากพ่นเลือดสด ขาดใจตายทันทีโดยที่ไม่ทันได้ส่งข้อความ

เวลานี้มุมปากป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีเลือดไหลซึมเช่นกัน แย่งเอาถุงเก็บของของอีกฝ่ายมาไว้กับตัว ขณะที่กลับมายืนอยู่ข้างกายตู้หลิงเฟย ร่างเขาไหวเอนจวนจะล้มมิล้มแหล่ แต่ก็ยังกัดปากกล้ำกลืนฝืนรวบรวมพละกำลัง

“ไป!” เขาดึงตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟย

“ปล่อยข้า!” โหวอวิ๋นเฟยพลันเอ่ยปาก

“พวกเจ้าสองคนไปเถอะ แบบนี้จะทำให้ความเร็วของพวกเจ้าเพิ่มขึ้นอีกเยอะ” โหวอวิ๋นเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย เอ่ยปากอย่างเด็ดเดี่ยว

“ศิษย์น้องป๋าย ตัวเจ้าเอง…” ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลึกซึ้ง ประโยคนี้ของโหวอวิ๋นเฟย นางอยากพูดมาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว เวลานี้จึงคิดจะเอ่ยปากออกมา

“หุบปาก! คนกลัวตายอย่างข้ายังสู้สุดใจขนาดนี้ พวกท่านจะให้ข้าดิ้นรนสุดชีวิตไปเปล่าๆ ไม่ได้ จะไปก็ไปด้วยกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามอย่างโมโห ตัดบทคำพูดของตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยฉับ ดึงเอาทั้งสองพุ่งถลาออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนเงียบงัน ไม่ได้พูดต่อ แต่ความรู้สึกซาบซึ้งนั้นได้ฝังลึกลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งระมัดระวังมากขึ้น คอยเปลี่ยนทิศทางอยู่ตลอดเวลา หลบหลีกการไล่ฆ่าของคนตระกูลลั่วเฉินได้หลายครั้ง หลังจากผ่านไปอีกสามวัน ช่วงสายัณห์ของวันหนึ่ง ท้องฟ้ามีสายฟ้าแลบพาดผ่าน เมฆทะมึนรวมตัวกันหนาแน่น น้ำฝนค่อยๆ หยดร่วงลงมา น้ำฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกกระทบยังพื้นดิน ทำให้ตลอดทั้งฟ้าดินมีเสียงซ่าๆ ดังลอยมาไม่หยุด

และเมื่อไอเย็นแผ่กระจายมา โหวอวิ๋นเฟยและตู้หลิงเฟยตัวสั่น ถูกไอเย็นนี้ทิ่มแทงสีหน้าก็ยิ่งซีดเซียว ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ รู้ว่าทั้งสองคนโดนไอเย็นไม่ได้ ดังนั้นจึงหาถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อก่อไฟให้ความอบอุ่น

หลังจากปิดกั้นไม่ให้แสงของไฟสะท้อนออกไปได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น มองพวกตู้หลิงเฟยสองคน

กองไฟส่งเสียงเผาไหม้ดังเปรี๊ยะปร๊ะ แผ่กระจายความอบอุ่น ค่อยๆ ขับไล่ความหนาวเย็นจากข้างนอกให้หายไป สีหน้าของตู้หลิงเฟยและโหวอวิ๋นเฟยค่อยๆ ดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังคงซีดขาวอยู่เช่นเดิม

ในถ้ำแห่งนี้ คนทั้งสามเงียบงันไม่พูดจา ล้วนมองไปที่กองไฟ ความเหนื่อยล้าในใจของทุกคนพุ่งขึ้นสูง

“เหลืออีกสามวัน พวกเราก็สามารถหนีออกไปพ้นรัศมีหมื่นลี้แล้ว ฮ่าๆ รอพวกเรากลับไปถึงสำนักแล้ว ความดีความชอบยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พวกท่านว่าสำนักจะให้รางวัลพวกเรายังไง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ทำลายความเงียบ

ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาอ่อนโยน

โหวอวิ๋นเฟยคิดจะยิ้ม แต่พออ้าปากเลือดสดๆ ก็ไหลทะลัก สีหน้ายิ่งซีดขาว ร่างกายโอนเอียงจะล่มมิล้มแหล่

การหนีตายตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ยาถูกใช้ไปหมดแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนทันใด ขณะกำลังจะเดินไปดูอาการก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี ชายแขนเสื้อสะบัดหนึ่งครั้ง ยืนบังด้านหน้าคนทั้งสองเอาไว้ ก้อนหินเหล่านั้นที่อุดไว้หน้าถ้ำเพื่อบังแสงไฟ ยามนี้แตกกระจายเพราะพละกำลังมหาศาลของคนด้านนอก!

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!