Skip to content

A Will Eternal 565

บทที่ 565 อาจารย์หลอมวิญญาณ

ในผืนป่า ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาถุงเก็บของขึ้นมาก่อนจะเหลือบมองไปยังโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกว่าการที่ตนถูกนำส่งมาที่นี่ และอีกฝ่ายอยู่เป็นเพื่อนตนมาสองเดือนก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน ดังนั้นจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง

“น้องชายคนนี้ ข้าจะช่วยขุดหลุมฝังศพให้เจ้าล่ะกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปก็รู้สึกได้ว่าในร่างกายตัวเองกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว มีเพียงพลังวิญญาณในร่างเท่านั้นที่ถูกชดเชยได้ช้ามาก มาจนถึงตนนี้ก็ยังไม่มากพอให้เขาเปิดถุงเก็บของได้

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วใช้ร่มราตรีนิรันดร์ขุดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งหลุม ก่อนจะวางโครงกระดูกของชายหนุ่มลงไป

“เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าคาดว่าผ่านไปอีกไม่กี่วัน พลังวิญญาณในร่างข้าก็คงจะพอให้เปิดถุงเก็บของได้หนึ่งครั้ง ถึงเวลานั้นก็จะได้เห็นแล้วว่าในถุงเก็บของของเจ้ามีอะไรอยู่ ไม่แน่ว่าอาจหาชื่อของเจ้าเจอ ให้ข้าได้ทำป้ายหลุมศพให้เจ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงไปบนเนินดิน จากนั้นจึงกลับไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วนั่งขัดสมาธิ พยายามปรับลมหายใจฝึกบำเพ็ญตบะ

น่าเสียดายที่แดนทุรกันดารแห่งนี้ไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่เสี้ยวเดียว เขาได้แต่อาศัยการฟื้นตัวของร่างกายตัวเอง ดูดซับเอาพลังวิญญาณจากเศษเสี้ยวของยาวิเศษซึ่งสะสมอยู่ในเลือดเนื้อทั่วร่างมานานปีอย่างช้าๆ

หลังจากเวลาผ่านไปได้หลายวัน วันนี้ท้องฟ้าอึมครึม แม้ว่าจะเป็นยามสนธยา ทว่าแสงแดดกลับมืดสลัว ทำให้ตลอดทั้งผืนป่าแห่งนี้มองดูแล้วจะมืดก็ไม่ใช่จะสว่างก็ไม่เชิง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นช้าๆ นาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปิดขึ้นก็มีประกายแสงคมกริบเส้นหนึ่งวาบผ่าน

“พลังวิญญาณฟื้นคืนมาบางส่วนแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างมาก หัวใจเต้นรัวเร็ว การที่ต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแล้วพลังวิญญาณในร่างกายแห้งเหือดเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขาดความรู้สึกปลอดภัยอย่างรุนแรง เวลานี้ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นน้อยๆ ก่อนจะตบลงไปบนถุงเก็บของหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นถุงเก็บของของเขาก็มีแสงเปล่งวาบแล้วขวดยาขวดหนึ่งก็บินออกมา

นี่คือเหล้าวิเศษ!

คว้าเหล้าวิเศษไว้ได้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กรอกมันลงปากดัง “อึกๆๆ” ดื่มหมดขวดในรวดเดียว เมื่อเหล้าวิเศษเข้ามาอยู่ในร่างกายก็กลายมาเป็นกระแสธารเส้นเล็กที่ไหลแผ่ไปทั่วเส้นชีพจรในร่างอย่างรวดเร็ว กระแสธารนี้เย็นสบาย เมื่อแผ่ไปทั่วเส้นชีพจรก็ราวกับพื้นดินแห้งแล้งถูกชำระด้วยหยาดฝนชุ่มฉ่ำ ความรู้สึกที่สบายตัวเช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนชาไปทั่วร่าง

“ความรู้สึกแบบนี้แหละ” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะรีบโคจรตบะเพื่อสร้างพลังวิญญาณจากการหลอมละลายของเหล้าวิเศษในร่างกายโดยไม่คิดจะเสียเวลาแม้แต่เสี้ยวนาที

หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาโชนแสงลุกเรือง แม้ว่าพลังวิญญาณในร่างจะฟื้นคืนกลับมาแค่ครึ่งเดียว ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วตบะครึ่งหนึ่งนี้มากพอจะให้เขาเปิดถุงเก็บของได้หลายครั้งแล้ว

หลังจากเปิดถุงเก็บของอีกครั้งเขาก็หยิบเอาเหล้าวิเศษออกมาทีเดียวสิบกว่าขวด หลังจากดื่มทั้งหมดเข้าไปก็นั่งทำสมาธิอีกครั้ง พลังวิญญาณในร่างระเบิดตูมตามแล้วแผ่กระจายไปทั่วด้าน แผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน

ยามเที่ยงของวันนี้หลังจากผ่านไปได้สามวัน เมื่อดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดขึ้นอีกครั้ง น้ำตาของเขาก็ไหลรินลงมา

“ในที่สุด…ในที่สุดก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว!! ไม่ง่ายเลยจริงๆ นะข้าเนี่ย…”

“ร่างกายก็ดี ตบะก็ช่าง ทุกอย่างล้วนฟื้นคืนกลับมาหมดแล้ว!!”

“นังเฒ่าหงเฉิน เจ้ารอนายท่านป๋ายก่อนเถอะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พอรับสัมผัสกับพลังวิญญาณในร่างกายตัวเองอยู่พักหนึ่งเขาก็ค้นพบด้วยความกระปรี้กระเปร่าว่าดูเหมือนตน…จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกเล็กน้อย

ราวกับว่าเมื่อผ่านศึกแห่งความเป็นความตายครั้งนั้นมาได้ ถึงแม้ว่าตนจะยังเป็นยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังกล้ามเนื้อหรือตบะต่างก็เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะเรือนกาย ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับพันธนาการอยู่ตลอดเวลาทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบรู้สึกว่าตนอาจจะฝ่าทะลุพันธนาการได้ทุกเมื่อ!

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังเป็นอย่างมาก ยิ่งพอนึกถึงศึกระหว่างตนและหงเฉินหนวี่เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แต่พอมองไปรอบกายอีกครั้ง ความฮึกเหิมที่พวยพุ่งขึ้นมาก่อนหน้านี้กลับเบาบางลงไปไม่น้อยและแทนที่มาด้วยความกลัดกลุ้ม

“ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ที่นี่คือแดนทุรกันดาร อันตรายเกินไป…ต้องรีบกลับไปยังกำแพงเมือง” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าหากมีคนรู้ตัวตนของตัวเอง เกรงว่าพวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณจำนวนมากกว่าเดิมคงแห่กันมาแร่เนื้อเถือหนังตนทั้งเป็นอย่างแน่นอน

คิดสภาพที่ตัวเองถูกคนเอามีดกรีดเถือร่างเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นเทิ้ม ขณะที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดก็หันไปมองเนินดินฝังศพที่อยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง ก่อนจะเปิดถุงเก็บของของศพนั้นออกดู

ด้านในถุงเก็บของใบนี้มีของสะเปะสะปะปนกันเยอะมาก สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเพียงถุงเก็บของของนักพรตสร้างฐานรากช่วงต้นคนหนึ่งเท่านั้น

ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสำคัญคือแผ่นกระดูกบางส่วนที่อยู่ด้านในถุง แผ่นกระดูกเหล่านี้มีประโยชน์เหมือนแผ่นหยก นั่นคือสามารถบันทึกข้อมูลไว้ได้ หลังจากพลิกดูไปมาครบหนึ่งรอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เจอแผ่นกระดูกทั้งหมดสามแผ่น เขาถือไว้ในมือแล้วใช้พลังจิตผสานรวมเข้าไปด้านในทีละแผ่น หวังว่าจะค้นพบข้อมูลที่มีประโยชน์

แผ่นกระดูกแผ่นแรกคือแผนที่ แผนที่นี้ไม่เล็กนัก อธิบายพื้นที่รอบด้านในบริเวณใกล้เคียงเอาไว้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนดูอยู่นานมากก็ยังมองไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เขาไม่เจอวัตถุบอกพิกัดให้นำมาวิเคราะห์ว่าที่นี่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองเท่าไหร่

“แบบนี้ไม่ได้นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกร้อนใจเล็กน้อยจึงหันมามองยังแผ่นกระดูกที่สอง อ่านจบดวงตาเขาก็เปล่งประกายวาบ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเนินดิน

“เจ้าชื่อป๋ายฮ่าว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ในแผ่นกระดูกแผ่นนี้มีบันทึกเกี่ยวกับตัวตนของชายหนุ่มที่ตายไปอย่างละเอียดราวกับคนผู้นี้ทำเอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะตาย

คนผู้นี้นามว่าป๋ายฮ่าว คือลูกอนุภรรยาของตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณคนหนึ่งที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงนี้ และดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะไปมีเรื่องกับคนในตระกูลที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย นั่นถึงทำให้ถูกคนในตระกูลไล่ฆ่าจนต้องมาตายตกอยู่ที่นี่

และตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณที่เขาอยู่ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ แต่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาก

“ตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ก่อนจะมองไปยังแผ่นกระดูกที่สาม การมองครั้งนี้ทำให้ประกายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนวูบไหว ถึงแม้บันทึกในแผ่นกระดูกจะไม่ใช่ข้อมูลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ ทว่ากลับมีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์หลอมวิญญาณ อีกทั้งเนื้อหาด้านในนั้นก็ล้วนเป็นข้อมูลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เข้าใจนักตอนอยู่ในกำแพงเมือง

ถึงขั้นพูดได้ว่าในแผ่นกระดูกนี้ก็คือวิชาส่วนหนึ่งในการฝึกตนเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ!!

และประโยคขึ้นต้นข้อความไม่กี่ประโยคก็ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนถึงกับต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่

“หลอมวิญญาณ…วิญญาณไม่ใช่สิ่งสำคัญ คำว่าหลอมต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ!”

“คำว่าอาจารย์หลอมวิญญาณก็คือการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของหลอมพลังจิต หลอมยา หลอมอาวุธ เพราะทุกอย่างมีวิญญาณเป็นรากฐาน จึงเรียกขานว่า…อาจารย์หลอมวิญญาณ!”

ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สงสัยใคร่รู้เรื่องการหลอมพลังจิตหลายครั้งให้กับอาวุธของแดนทุรกันดารอยู่แล้ว อีกทั้งในใจของเขาก็ยังมีการคาดเดาบางส่วน พอมาได้อ่านข้อความที่อยู่ในแผ่นกระดูกนี้ เขาก็พลันกระจ่างแจ้งในบัดดล เมื่ออ่านต่อไปจนกระทั่งอ่านจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยืนอึ้งไปทันที

ในสายตาของเขา ดูเหมือนว่าแดนทุรกันดารจะไม่ได้ลึกลับอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างล้วนกลายมาเป็นเส้นเค้าโครงที่ถูกวาดขึ้นจนกลายมาเป็นภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ

ตลอดทั้งแดนทุรกันดาร ชนชั้นที่ต่ำที่สุดก็คือเผ่าต่างๆ ของชนพื้นเมือง ยักษ์ชนพื้นเมืองที่อยู่ในชนเผ่าเหล่านี้เป็นเหมือนกลุ่มคนที่ยังไม่มีอารยธรรมจึงถูกนำมาเป็นข้าทาส โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นผู้พิทักษ์รับใช้พวกผู้ฝึกวิญญาณหลายคน

ส่วนผู้ฝึกวิญญาณก็คือผู้ที่อยู่เหนือชนพื้นเมือง พวกเขาไม่มีความแตกต่างไปจากนักพรตเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังอาศัยพลังวิญญาณของแม่น้ำทงเทียนในการฝึกบำเพ็ญตบะ แต่พวกเขากลับฝึกบำเพ็ญตบะโดยอาศัยดวงวิญญาณที่อาจารย์หลอมวิญญาณเป็นผู้หลอม

ถึงแม้ว่าจำนวนของผู้ฝึกวิญญาณที่มีอยู่ในตลอดทั้งแผ่นดินแดนทุรกันดารจะไม่มากเท่าชนพื้นเมือง แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย มีทั้งที่มาจากตระกูลของตัวเอง มีทั้งที่มาจากขั้วอิทธิพลใหญ่ๆ หลายแห่ง และมีอีกมากที่เป็นเหมือนพวกคนที่ฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเอง

ส่วนอาจารย์หลอมวิญญาณก็คือผู้สูงศักดิ์ของแผ่นดินแดนทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณคนใดต่างก็มีตำแหน่งสูงส่ง พวกเขาไม่เพียงแต่สามารถหลอมดวงวิญญาณเพื่อมอบให้กับผู้ฝึกวิญญาณใช้ฝึกตน ยังสามารถหลอมอาวุธวิเศษ ทั้งยังปลุกเสกความศักดิ์สิทธิ์ให้กับอาวุธโดยการหลอมพลังจิตได้ด้วย!

ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้อาจารย์หลอมวิญญาณรักษาสถาะของแกนกลางสำคัญในแผ่นดินแดนทุรกันดารไว้ได้

และอาจารย์หลอมวิญญาณก็มีการแบ่งระดับกันเอง วิธีการในการวิเคราะห์ระดับชั้นของพวกเขาก็คือไฟ อาจารย์หลอมวิญญาณของแดนทุรกันดารมองดูเหมือนคล้ายคลึงกับอาจารย์หลอมพลังจิตของแผ่นดินใหญ่ทงเทียน ทว่ากลับมีรากฐานไม่เหมือนกัน

อาจารย์หลอมพลังจิตของแผ่นดินใหญ่ทงเทียนจำเป็นต้องตามหาวัตถุวิเศษกับเชื้อเพลิงไฟหลายสีในการหลอมพลังจิต ทว่าอาจารย์หลอมวิญญาณของแดนทุรกันดาร…พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบใดๆ สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงแม้การหลอมพลังจิตจะมีอัตราความล้มเหลวสูงมากไม่ต่างกัน แต่ในด้านวัตถุดิบกลับต้องการแค่ไฟเท่านั้น

ไฟนี้ไม่มีอยู่ในโลก จำเป็นต้องให้พวกเขาใช้วิญญาณที่แตกต่างกันมาหลอมด้วยวิธีการที่เหมาะสมเท่านั้นถึงจะมีขึ้นมาได้!

สามารถหลอมไฟหนึ่งสีออกมาได้ก็จะกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับหนึ่ง หากหลอมไฟสี่สีก็เลื่อนขั้นเป็นระดับสอง หากสามารถหลอมได้เจ็ดสีก็จะถูกมองเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามทันที

ซึ่งอาจารย์หลอมวิญญาณสามระดับชั้นนี้มีมากสุดในบรรดาอาจารย์หลอมวิญญาณของแดนทุรกันดาร

ส่วนไฟสิบสีก็คือจุดสูงสุดของระดับหนึ่ง! อาจารย์หลอมวิญญาณที่บรรลุได้ถึงระดับนี้มีไม่มากนัก เพราะหลังจากจุดสูงสุดของระดับหนึ่งไปแล้ว อาจารย์หลอมวิญญาณจะเลื่อนขั้นเข้าสู่ช่วงของการแปรสภาพอย่างหนึ่ง ช่วงตอนนี้จะแบ่งออกเป็นฟ้าดินดำเหลือง!

ผู้ที่สามารถหลอมไฟสิบเอ็ดสีออกมาได้ก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลือง! ทั่วทั้งแดนทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองคนใดที่เดินออกไปข้างนอกก็ล้วนสยบผู้คนได้แปดทิศ

และเลื่อนจากขั้นสีเหลืองก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำที่ยิ่งมีจำนวนน้อยลงไปอีก ไม่ว่าในตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณตระกูลใดที่มีอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำก็ถือว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว

ถือเป็นบุคคลในระดับชั้นของผู้อาวุโสใหญ่หรือไม่ก็เป็นรากฐานของตระกูลหนึ่ง เพราะหากคิดจะอยู่ในขั้นสีดำก็จำเป็นต้องหลอมไฟออกมาให้ได้สิบห้าสี!

ส่วนขั้นดิน…นั่นคือการดำรงอยู่ในระดับตำนาน ตลอดทั้งแผ่นดินแดนทุรกันดารมีอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นดินอยู่แค่สามคนเท่านั้น และกุญแจสำคัญในการกลายเป็นขั้นดินก็คือ…ไฟสิบแปดสี!

เหนือขั้นดินขึ้นไปยังมีอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นฟ้า ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในแดนทุรกันดารยังไม่เคยมีปรากฏมาก่อน เป็นเพียงแค่ระดับที่กำหนดกันในทางทฤษฎีเท่านั้น ดังนั้นจึงมีคำเล่าลือบอกต่อกันมาว่าหากคิดจะเป็นขั้นฟ้าจำเป็นต้องหลอมไฟออกมาให้ได้…ยี่สิบเอ็ดสี!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!