Skip to content

A Will Eternal 568

บทที่ 568 เข้ามาสิ ใครกลัวกันล่ะ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไล่หาของในถุงเก็บของของโจวอีซิงไปทีละชิ้นอยู่นานมาก ทว่าสิ่งของที่อยู่ด้านในนั้นเดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว ชิ้นที่ต้องตาป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งมีน้อย

“เจ้าเป็นถึงลูกหลานสายตรงของตระกูลโจว แต่ในถุงเก็บของกลับว่างเปล่าอย่างนี้น่ะหรือ? จนไปหน่อยไหม” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยจึงเงยหน้าถลึงตาใส่โจวอีซิง

“เจ้ามาแย่งช้าไปแล้ว ก่อนหน้าเจ้ามีเจ้าเดรัจฉานสมควรตายคนหนึ่งมาแย่งของของข้าไปหลายชิ้นแล้ว!” โจวอีซิงแค้นใจแทบบ้า เขากัดฟันมองป๋ายเสี่ยวฉุน ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นแย่งชิงของของตัวเอง แถมยังมากระแหนะกระแหนว่าตนยากจนแบบนี้ทำให้เขาใกล้จะคลุ้มคลั่งเต็มที โดยเฉพาะนึกถึงว่าเดิมทีตนไม่ได้จนขนาดนี้ ในถุงเก็บของของเขาเคยมีไฟเก้าสี มีลูกธนูวิญญาณไฟ และยังมีวิญญาณทาสมากมาย แถมยังมียาวิญญาณอีกไม่น้อย

ทว่าของเหล่านี้หากไม่เพราะถูกคนแย่งไปตอนอยู่ในเขาวงกตก็เพราะถูกเผาผลาญไปในตอนที่ตนใช้รักษาบาดแผล…

เห็นท่าทางเจ็บแค้นของโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หรี่ตาลง หลังจากตระหนักได้ว่าเจ้าเดรัจฉานสมควรตายที่อีกฝ่ายพูดถึงมีความเป็นไปได้มากถึงแปดเก้าส่วนว่าจะเป็นตน เขาก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่หยิบเอาแผ่นกระดูกเจ็ดแปดแผ่นออกมาจากในถุงเก็บของแล้วตรวจสอบดูไปทีละแผ่น

ด้านในนั้นมีข้อมูลไม่น้อย ทว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้อมูลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้มาก่อนแล้ว เขาหาอยู่นานก็ยังหาตำรับเกี่ยวกับการหลอมไฟหลายสีไม่เจอ อันที่จริงแล้วนี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสำคัญมากที่สุด

จนกระทั่งอ่านแผ่นกระดูกแผ่นสุดท้ายจบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ปลอบใจตัวเองขึ้นมาได้บ้าง ในกระดูกแผ่นนี้คือแผนที่ฉบับหนึ่ง แผนที่นี้กว้างใหญ่กว่าของป๋ายฮ่าวมากนัก อีกทั้งยังวาดเค้าโครงของตลอดทั้งแดนทุรกันดารเอาไว้ด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงคร่าวๆ ไม่ได้มีรายละเอียดเท่าไหร่ แต่กลับทำให้สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดกว้างขึ้นมาอีกไม่น้อย

บนแผนที่แห่งนี้เขามองเห็นนครใหญ่ห้าแห่ง…

นครทั้งห้าต่างแยกตัวกันราวกับว่าเฝ้าพิทักษ์ออกตกเหนือใต้สี่ทิศทาง ซึ่งแบ่งออกเป็นนครจิ่วโยว นครจวี้กุ่ย นครโต้วเซิ่งและนครหลิงหลิน!

นครใหญ่ทั้งสี่แห่งนี้ต่างก็ครอบครองพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาล และที่ยิ่งห่างออกไปไกลในแดนทุรกันดาร นครที่ห้าซึ่งอยู่ระหว่างนครโต้วเซิ่งและนครหลินหลิงก็คือ…นครฮวางเฉิง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด หลังจากเก็บเอาแผ่นกระดูกกลับมาก็มองไปยังโจวอีซิง

ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องมองอีกครั้ง โจวอีซิงก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะรอดชีวิตคงมีน้อยมาก ด้วยความเศร้าอาดูรและเจ็บแค้นจึงมองโต้ตอบป๋ายเสี่ยวฉุนไปด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

“จะฆ่าก็ฆ่า!” โจวอีซิงกัดฟัน

“อย่าตื่นเต้นไป ข้าก็แค่จะถามเจ้าง่ายๆ ไม่กี่คำถามเท่านั้น เจ้าบอกข้ามาตามตรง ไม่แน่ว่าหากข้านายท่านป๋ายอารมณ์ดีอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะหึหึ ก่อนจะนั่งยองๆ ลงไปข้างหน้าโจวอีซิง พยายามทำท่าให้ตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด ทั้งยังกังวลว่าตัวตนของตัวเองจะทำให้โจวอีซิงตกใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงโบกมือ ร่างจำแลงทั้งสามเลยกลายมาเป็นแสงสีขาวแล้วหายวับไปในร่างกายของเขา

“เจ้าอย่าหวังว่าจะถามอะไรจากข้าได้ แน่จริงก็สังหารข้าซะ อาจารย์หลอมวิญญาณในตระกูลของข้าต้องมาแก้แค้นให้ข้าแน่นอน!” โจวอีซิงคำรามดังลั่น เขารู้ดีว่าตนคืออาจารย์หลอมวิญญาณ และอีกฝ่ายก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้วิญญาณของตนจะกลายมาเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นที่ก่อนหน้านี้คนผู้นี้พูดว่าจะไว้ชีวิตตนอะไรนั่นก็แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลย

โจวอีซิงขมขื่นอยู่ในใจ รู้สึกสิ้นหวังจนถึงขั้นเตรียมตัวรอรับความตายเอาไว้แล้ว เวลานี้เขาจึงแผดเสียงดังลั่น พร้อมทุ่มสุดตัว

อยู่ๆ ก็ถูกโจวอีซิงตะโกนใส่หน้าเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเลยอึ้งตะลึงไปทันที น้ำลายของอีกฝ่ายแทบจะกระเด็นมาโดนใบหน้าตัวเอง เขาจึงเดือดดาลทันควัน

“ดีนักนะเจ้าโจวอีซิง ข้าผู้อาวุโสยังไม่ทันถามอะไรเจ้า เจ้ากลับปฏิเสธเสียแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองโจวอีซิงด้วยสายตาขุ่นเคือง รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างโอหังยิ่งนัก ทำเกินไปแล้ว เป็นตัวประกันแท้ๆ กลับกล้ามากลั่นแกล้งกันเช่นนี้!

“หึ ไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไร เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้แย้มพรายไปจากปากข้า บอกให้เจ้ารู้ไว้ก็แล้วกัน ตระกูลโจวของข้ามีการศึกษาด้านการทรมานกันมาหลายรุ่น ทุกคนในตระกูลต่างก็เคยได้รับบทเรียนทางด้านนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีความสามารถอะไรมาทำให้ข้าเปิดปากได้!” โจวอีซิงหัวเราะเสียงเย็น เขาที่แน่ใจแล้วว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ จึงใช้สายตาดูหมิ่นอย่างไร้ซึ่งความหวาดเกรง

สายตาเหยียดหยามนี้กระตุ้นอารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในชั่วพริบตา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงขึงตาใส่อีกฝ่าย ก่อนจะตบลงไปบนถุงเก็บของแล้วหยิบเอายากระสันซ่านเม็ดหนึ่งออกมาทันที ไม่ทันรอให้โจวอีซิงมองเห็นอย่างชัดเจน

เขาก็ยัดมันเข้าไปในปากโจวอีซิง แล้วตบลงไปบนหน้าอกของเขา เสียงเอื้อกดังออกมาจากลำคอของโจวอีซิง ยากระสันซ่านเม็ดนั้นก็ถูกเขากลืนลงท้องไป

“จะให้เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของข้า ดูสิว่าเจ้าจะพูดหรือไม่” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

โจวอีซิงใจหายวาบ สัมผัสได้ว่ายามนี้ในร่างกายมีคลื่นความร้อนเป็นระลอกแผ่ไปทั่ว มองดูเหมือนว่าเขาสงบอารมณ์ได้ดี ทว่าในใจของเขากลับตื่นตระหนก แต่ก็ยังเลือกจะกัดฟันปั้นหน้าดุร้ายถลึงตามองป๋ายเสี่ยวฉุนต่อไป

แต่ไม่นานสีหน้าของโจวอีซิงก็เริ่มไม่เป็นธรรมชาติ เขาพบว่าทั่วร่างของตัวเองกำลังรุ่มเร่าอย่างรวดเร็ว ความวู่วามที่รุนแรงระลอกหนึ่งระเบิดอยู่ในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ลมหายใจหอบหนัก ขณะเดียวกันความทุกข์ทรมานเกินจะบรรยายระลอกหนึ่งก็ทำให้โจวอีซิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แต่เขาก็เหมือนบุรุษใจเพชรที่ข่มกลั้นอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้และยังคงถลึงตาดุร้ายมองใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนต่อไป

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป เมื่อเห็นว่าร่างของโจวอีซิงเหมือนลุกไปด้วยไฟ แต่อีกฝ่ายกลับกัดฟันไม่ร้องออกมาสักแอะ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

“เจ้าจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ข้าก็แค่จะถามเจ้าไม่กี่คำถามเท่านั้น”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ขณะที่กำลังจะพูดเกลี้ยกล่อม โจวอีซิงกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตายิ่งมากด้วยความดูถูก

“เพ้อเจ้อเสียจริง เจ้ามีความสามารถแค่นี้น่ะหรือ? ยังมีวิธีอะไรอีก เอามาเซ่!” โจวอีซิงเองก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเกรี้ยวกราดไม่ต่างกัน คนทั้งสองประสานสายตากันอยู่ไม่กี่อึดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อารมณ์เดือดปุดๆ ยกมือขึ้นชี้หน้าโจวอีซิง

“เจ้าคนแซ่โจว นี่เจ้าบังคับข้าเองนะ!” พูดจบร่างจำแลงไม้ก็เดินออกมาจากในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วบินไปนอกถ้ำ ตรงดิ่งเข้าไปในผืนป่า ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อร่างจำแลงไม้กลับมาก็สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง

ก่อนที่สัตว์ดุร้ายเพศผู้ตัวหนึ่งที่มีขนาดหนึ่งจั้ง ขนดกหนาแข็งกระด้างขึ้นเต็มทั่วร่าง ลักษณะคล้ายหมูป่าก็ถูกโยนมากองอยู่เบื้องหน้าโจวอีซิง

หมูตัวนี้มองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวัง มันส่งเสียงร้องแหบพร่าเป็นระยะ แต่เมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพสยบจากป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่กล้ากระดุกกระดิก

โจวอีซิงตะลึงงัน ขณะที่กำลังไม่เข้าใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะทำอะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ปลดพันธนาการที่อยู่บนร่างของโจวอีซิงออก แม้ว่าผนึกยังคงอยู่ แต่โจวอีซิงกลับสามารถขยับร่างได้แล้ว

โจวอีซิงพลันหน้าเปลี่ยนสี นาทีที่ขยับร่างได้ สายตาของเขาก็มาตกอยู่บนร่างของหมูป่าตัวนั้น และเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ให้กระโจนเข้าใส่หมูตัวนั้นตามการขับเคลื่อนของสัญชาตญาณบางอย่างไม่ได้

เขาร้องคำรามเสียงแหบพร่า ฝืนบังคับเรือนกายที่แดงก่ำของตัวเอง ร่างทั้งร่างสั่นระริก เหงื่อผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน ความรู้สึกทุกข์ทรมานนั้นรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายเท่าตัว

“ว่ามาสิ เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ วางใจเถอะ ขอแค่เจ้าพูดออกมา ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ พูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาอันดี

“ให้ตายข้าก็ไม่พูด เจ้าอย่าได้หวังว่าจะรู้เรื่องใดจากปากของข้า!!” โจวอีซิงรู้สึกว่าตัวเองสามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ ขณะที่ร้องคำรามก็ฝืนบังคับควบคุมตัวเองไปด้วย สีหน้าเขาบูดเบี้ยว บนหน้ามีเส้นเอ็นเกร็งเขม็ง ทนฝืนรับความทรมานอย่างน่าเหลือเชื่อนี้เอาไว้จนได้

“เจ้าดูถูกความหนักแน่นของนายท่านโจวเกินไปแล้ว ความหนักแน่นของข้าแข็งแกร่งจนแม้แต่บุรพาจารย์ในตระกูลโจวยังออกปากชม!” โจวอีซิงเหงื่อโซมไปทั่วทั้งกาย

เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกทรมานและความเร่าร้อนนั้นกำลังหดหายไปอย่างช้าๆ เขาแหงนหน้าหัวเราะร่า ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ความดูหมิ่นในดวงตาก็เพิ่มพูนอย่างไร้ขีดจำกัด

ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี จิตใจสั่นไหว ตอนที่หันไปมองโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกนับถือคนผู้นี้จากใจจริง เขารู้สึกว่าคนคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ความหนักแน่นและความยืนหยัดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้

“สหายนักพรตโจว ข้าเข้าใจแล้ว ความหนักแน่นของเจ้าเหนือกว่าคนทั่วไปจริงๆ ร้ายกาจมากเลย แต่เพราะข้าเองก็อยากรู้เรื่องบางอย่าง ด้วยความจนใจถึงได้ทำเช่นนี้ เจ้าเองก็อย่าเกลียดแค้นข้าเลยนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที สายตามาตกอยู่บนหมูตัวนั้น แล้วก็หันมามองโจวอีซิงอีกครั้ง

“หวังว่าเจ้าหมูตัวนี้จะมีความหนักแน่นเช่นเจ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวเอ่ยด้วยความปลงอนิจจัง ก่อนจะหยิบยากระสันซ่านเม็ดหนึ่งออกมาบีบให้ละเอียดแล้วทำท่าจะป้อนให้หมูตัวนั้นกิน

ภาพนี้ทำให้โจวอีซิงที่กำลังหัวเราะอย่างสะใจตาเหลือกลานจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ลมหายใจของเขาเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้น ใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นซีดขาวอย่างถึงขีดสุด เสียงหัวเราะบ้าคลั่งขาดหายไปกลางคัน ขาทั้งสองข้างถึงกับสั่นระริก เขารู้สึกว่าคราวนี้ตัวเองใกล้จะแหลกสลายจริงๆ แล้ว พอคิดถึงความบ้าคลั่งที่ยาของอีกฝ่ายซึ่งไม่รู้ว่าหลอมมาจากอะไรมอบให้กับตัวเอง แล้วนึกถึงว่าหากความบ้าคลั่งนี้มาระเบิดบนร่างของสัตว์ร้ายตัวนั้น โจวอีซิงก็หนังหัวแทบจะระเบิด ไม่กล้านึกภาพจุดจบของตัวเอง เขาไม่กล้าเดิมพันว่าสัตว์ร้ายตัวนี้จะมีความหนักแน่นเช่นเดียวกับตน ยามนี้ในสมองจึงมีภาพเหตุการณ์มากมายลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ ซึ่งภาพเหล่านั้นน่าอเนจอนาถอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่เขาก็เป็นที่คนปากแข็งมาก…

“เข้ามาสิ ใครกลัวกันเล่า!!” โจวอีซิงตะเบ็งเสียงดังลั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!