บทที่ 571 เจ้าเป็นใครกันแน่
“ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่นี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไฟหนึ่งสีที่อยู่กลางมือด้วยความลำพองใจ พบว่าอันที่จริงแล้วการหลอมไฟและการหลอมยานั้นไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก
แม้ว่าวิธีการจะไม่เหมือนกัน แต่ขั้นตอนกลับมีหลายส่วนที่เชื่อมโยงกัน ยกตัวอย่างเช่นการหลอมไฟนี้จำเป็นต้องแน่ใจด้านเวลาที่ใช้ในการหลอมยารวมไปถึงเรื่องที่ว่าหลังจากวิญญาณต่างธาตุผสานเข้าด้วยกันแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ควรจะปรับแก้อย่างไร
จะยากก็ตรงที่ทั้งหมดนี้ล้วนจำเป็นต้องทำให้สำเร็จในการบีบครั้งเดียว มิฉะนั้นหากพลาดโอกาสก็จะไม่สามารถสร้างไฟหนึ่งสีขึ้นมาได้
อีกทั้งในขั้นตอนนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยตบะมาช่วยด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณหรือพลังดวงวิญญาณก็ล้วนถือเป็นพลังชนิดหนึ่งของฟ้าดิน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการหลอมไฟ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้หากเป็นคนอื่นจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนที่มากพอถึงจะทำได้ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนล้มเหลวในครั้งแรกนั้นเป็นเพราะไม่ได้ปรับความถี่และความเร็วให้ดี แต่พอเขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ถือโอกาสมองวิญญาณเหล่านี้เป็นเหมือนพืชหญ้าที่ต่างธาตุกัน มองมือตัวเองเป็นเหมือนเตาหลอมยา ส่วนพลังวิญญาณในร่างของตัวเองก็มองเป็นไฟ!
เมื่อเป็นเช่นนี้แนวความคิดของเขาจึงชัดเจนขึ้นมาทันที
นั่นถึงทำให้เขาทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว!
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไฟหนึ่งสีที่อยู่ในมือด้วยอารมณ์ฮึกเหิม ความรู้สึกที่เหมือนกับได้เปิดประตูบานใหญ่และหลังประตูบานนี้ก็มีเส้นทางกว้างขวางทอดยาวออกไปทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
“อาจารย์หลอมวิญญาณเป็นถึงลูกชายแท้ๆ ของฟ้าดินแห่งนี้ ข้าเองก็เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณเหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ โอ้อวดตัวเองอยู่ในใจพักใหญ่ รู้ดีว่าการที่หลอมไฟหนึ่งสีออกมาได้ก็หมายความว่าตัวเองถือเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับหนึ่งในสายตาของคนแผ่นดินใหญ่แดนทุรกันดารแล้ว
“อันดับต่อมาก็คือไฟสองสี…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายระยับ มองกลุ่มไฟที่อยู่ในมือแล้วจึงหยิบเอาวิญญาณดวงอื่นออกมาจากในถุงเก็บของ ก่อนจะทำตามวิธีการของตำรับการหลอมไฟ มองวิญญาณเหล่านั้นเป็นพืชหญ้า นำวิญญาณมาปรับผสานกันด้วยสัดส่วนที่ต่างออกไป แล้วก็ปรับระดับความมากน้อยของพลังวิญญาณในร่าง สุดท้ายจึงปรับระดับการหุบการแบมือเหมือนว่านี่คือเตาหลอมยาใบหนึ่ง
ทุกอย่างนี้ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยามานานหลายปีจนคุ้นชินนานแล้ว นัยน์ตาของเขาฉายความมาดมั่น จมจ่อมอยู่กับการหลอมไฟทั้งกายและใจ เอาวิญญาณหลายกลุ่มผสานรวมเข้าไปในไฟหนึ่งสี และไม่นานสีของไฟหนึ่งสีนี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงจนคล้ายจะกลายมามีสองสี
ภาพนี้ทำให้โจวอีซิงที่นอนอยู่ข้างๆ มองตาแข็งค้าง เขาผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างอดไม่ได้ มองเห็นไฟหนึ่งสีกลางมือป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังกลายมาเป็นไฟสองสีอย่างรวดเร็วคาตาของตัวเอง เขาก็ให้รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“เป็นไปไม่ได้…ปีนั้นตอนที่ข้าหลอมไฟสองสี ข้าใช้เวลาถึงสามปีเต็มๆ!!”
โจวอีซิงทำท่าเหมือนคนเห็นผี ตอนที่อ้าปากหอบหายใจ ในใจของเขาก็เจ็บจี๊ดๆ รู้สึกยอมไม่ได้
“ร้ายกาจตรงไหนกัน ก็แค่ไฟสองสีไม่ใช่หรือ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว เจ้าคนแซ่ป๋ายผู้นี้ก็แค่โชคดีเท่านั้น!!” ขณะที่โจวอีซิงกำลังเกิดความอิจฉา
ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุน ไฟสองสีกลางฝ่ามือของเขาก็พลันก่อตัวขึ้นสำเร็จในชั่วพริบตา
ยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหยิบเอาวิญญาณออกมามากกว่าเดิม คราวนี้มีวิญญาณพยาบาทมากพอสี่สิบห้าสิบดวง หลังจากที่ถูกเขาผสานเข้าไปยังไฟสองสีกลางฝ่ามือด้วยวิธีการที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเก่า ไม่นานไฟกลุ่มนั้นก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสามสี และกลายมาเป็นไฟสามสีในท้ายที่สุด!
ดูเหมือนว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สนใจไฟสามสีในมือตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขายังคงทำต่อไปไม่หยุด สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วิญญาณพยาบาทก็ปรากฏออกมาอีกหลายร้อยดวง ดวงตาของเขาโชนแสงคมกล้า ไฟสามสีกลางฝ่ามือถูกโบกปัดหนึ่งครั้งก็พลันกลายมาเป็นทะเลไฟสามสีที่กลบทับวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นไว้จนมิด มองดูเหมือนถูกกลบทับไปพร้อมกันทีเดียว ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นลำดับก่อนหลัง อีกทั้งเมื่อมีการควบคุมและปรับสัดส่วนจากพลังวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เท่ากับได้ทำเรื่องใหญ่ที่ซับซ้อนทั้งหมดให้สำเร็จไปในชั่วพริบตา
เวลาแค่แผล็บเดียว ตอนที่ทะเลไฟถูกดึงกลับเข้ามาอยู่กลางฝ่ามือของ
ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง กลุ่มไฟนี้ก็ไม่ได้มีแค่สามสีอีกต่อไป แต่กลายมาเป็น…สี่สี!
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?!” โจวอีซิงตาเหลือก ในใจสั่นสะเทือนไม่หยุด จ้องเขม็งไปยังไฟสี่สีที่อยู่กลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของเขาหอบหนัก เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะโชคช่วย ทว่าพอได้เห็นภาพนี้เขาก็ไม่อาจหาคำพูดใดมาเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองเชื่อได้อีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ความโชคดีจะอธิบายได้แล้ว
สามารถหลอมไฟได้ถึงสี่สีในครั้งเดียว นี่หมายความว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสองแล้ว!
ทว่าความเร็วนี้มีมากเกินไป เร็วจนทำให้โจวอีซิงถึงกับสงสัยว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้อาจจะเป็นใครบางคนในตระกูลของตน…
แต่ความคิดนี้ก็ถูกโจวอีซิงตัดทิ้งไปชั่วพริบตา สีหน้าของเขาสะท้านสะเทือน จ้องเป๋งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจกัดฟันกรอด ความรู้สึกอิจฉาริษยาเช่นนี้ทำให้นัยน์ตาเขาเผยความดุร้าย
“ข้าไม่เชื่อหรอก กะอีแค่ไฟสี่สีเท่านั้นเอง หากคนผู้นี้ใช้ตำรับการหลอมไฟของตระกูลโจวข้าต้องไม่สามารถหลอมไฟห้าสีออกมาได้แน่นอน เพราะว่าไฟห้าสีมีด่านที่ยากมากๆ ขวางกั้น…” โจวอีซิงยังไม่ทันพูดในใจจบ ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอาวิญญาณพยาบาทออกมารวดเดียวพันดวง หลังจากที่ผสานรวมเข้าด้วยกันเสร็จแล้ว ไฟสี่สีที่อยู่ในมือเขาก็พลันส่ายไหวอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่ากำลังจะมอดดับ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกลับหุบมือกำเป็นหมัด ตอนที่เขาแบมือออกมาอีกครั้งกลางมือนั้นก็มี…ไฟห้าสีเผยออกมา!!
ภาพนี้ทำให้โจวอีซิงมองเซ่อไปทันที เขารู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ทว่าในใจกลับคำรามกร้าวเพราะความปากแข็ง
“ต่อให้คนผู้นี้จะร้ายกาจแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นหลอมไฟเก้าสีออกมาได้กระมัง!! เขาหลอมไม่ได้ แต่ข้าหลอมได้! ต่อให้เขาจะมีฝีมือแล้วอย่างไร คนเก่งๆ มีมากมายนักล่ะ แต่ต่อให้จะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็ยังจำเป็นต้องการเวลาในการสั่งสมฝีมือ!”
ความคลุ้มคลั่งของโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รับรู้ด้วยแม้แต่น้อย ตอนนี้สมาธิของเขาพุ่งไปที่การหลอมไฟทั้งหมด หากเขารู้เข้าเกรงว่าคงยิ่งได้ใจมากกว่านี้ ยามนี้เขากำลังมองไฟห้าสีที่อยู่ในมือตาไม่กะพริบ ไม่ได้หลอมต่อ แต่กำลังครุ่นคิดว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ไฟห้าสีทำท่าจะดับลงเป็นเพราะเหตุใดกันแน่
ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำท่าเหมือนกระจ่างแจ้ง…
“คือการปะทะกัน ตำรับนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ตอนที่หลอมไฟห้าสีจะเกิดการปะทะกันหนึ่งครั้งเพราะวิญญาณมากมายที่ผสานเข้าด้วยกัน
เป็นเหมือนการระเบิดอย่างหนึ่ง หากสามารถระงับไว้ได้ก็จะกลายมาเป็นไฟได้สำเร็จ แต่หากระงับไม่ได้…การหลอมไฟครั้งนี้ก็ล้มเหลว”
“หากมองตามนี้ก็แสดงว่าจะเชื่อตำรับการหลอมไฟทั้งหมดไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เตรียมจะหลอมไฟหกสีต่อ ข้อเรียกร้องสำหรับไฟหกสีก็คือจำเป็นต้องใช้วิญญาณสามพันดวงถึงจะได้
อีกทั้งวิญญาณที่ว่านี้ต้องห้ามคลาดเคลื่อนไปแม้แต่ดวงเดียว และยังต้องกะเวลาในการผสานรวมให้ดี สำหรับอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสองแล้ว นี่ก็คือจุดที่ยากที่สุด แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน วิญญาณแค่สามพันดวงถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
ไม่นานวิญญาณสามพันดวงก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนนำมาปรับใช้อย่างมีระเบียบ หลังจากมันทยอยกันหายเข้าไปในไฟห้าสีแล้ว เปลวเพลิงก็พลันระเบิดตูมขยายใหญ่ ก่อนที่ไฟหกสีจะปรากฏขึ้น!
ตามมาด้วยไฟเจ็ดสี หลังจากที่ไฟเจ็ดสีก็ปรากฏอยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุน ทางฝ่ายโจวอีซิงนั้นได้ตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุดไปแล้ว ตอนที่เขามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเขาฉายแววริษยาอย่างแรงกล้า ในใจเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ อีกทั้งยังมีความสิ้นหวังเสี้ยวหนึ่งปรากฏขึ้นมาด้วย
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าต้องมีพรสวรรค์แบบใดกันแน่ ตอนที่ใช้ตำรับการหลอมไฟของตระกูลอื่น อีกฝ่ายถึงได้สามารถหลอมได้ถึงเจ็ดสีในรวดเดียวเช่นนี้
นี่มันผิดมนุษย์มนาเกินไปแล้ว…แถมโจวอีซิงก็ยังรู้ชัดเจนดีว่าถึงแม้ตนจะบอกตำราให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่บางจุดที่จำเป็นต้องระวัง เขากลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว ยกตัวอย่างเช่นการระงับไฟห้าสีก็คือข้อหนึ่งในนั้น
ทว่าต่อให้เขาจะไม่พูดถึง คนแซ่ป๋ายที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ราวกับคนที่ฉลาดรู้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีครู นี่จึงทำให้โจวอีซิงอดที่จะหวาดกลัวพรสวรรค์ที่น่าพรั่นพรึงผิดปกติของเขาไม่ได้
และหลังจากที่ไฟแปดสีก็มาปรากฏอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน โจวอีซิงก็นิ่งขึงไปทันที ดวงตาเขาเผยความเลื่อนลอย ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง…
ทว่าเมื่อไฟเก้าสีปรากฏในมือป๋ายเสี่ยวฉุนหลังเสียงตูมที่ดังสนั่นหวั่นไหว
โจวอีซิงกลับกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา เสียงตูมตามเมื่อครู่นี้ปลุกเขาให้ฟื้นคืนสติด้วยความสะเทือนใจ เขากระโดดเหยงขึ้นมาจากพื้น ยกมือชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าราวกับคนเห็นผีร้าย ใบหน้าของเขาขาวเผือด ตะลึงลานจนสติหลุดลอย นัยน์ตาก็ราวกับไม่มีจุดรวมสายตา ประหนึ่งว่าตลอดทั้งร่างของเขาใกล้จะแหลกสลายเต็มที
“เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้…”
“นอกจากครั้งแรกที่ล้มเหลวแล้ว หลังจากนั้นหนึ่งสีถึงเก้าสีล้วนสำเร็จหมดในครั้งเดียว นี่…ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามคนไหนก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถทำได้ถึงจุดนี้ มีเพียงขั้นสีเหลืองเท่านั้นถึงจะทำได้!!”
“เจ้าเป็นใครกันแน่!!” โจวอีซิงกรีดร้องปานจะขาดใจ ในสายตาของเขา ปาฏิหาริย์นี้เต็มไปด้วยความเหลวไหล
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วฉับ ถูกโจวอีซิงขัดจังหวะเขาจึงมองอีกฝ่ายด้วยความไม่สบอารมณ์ ทว่าขณะเดียวกันในใจก็ลำพองใจ หลังจากที่เห็นว่าตัวเองหลอมไฟเก้าสีออกมาได้ เขาก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน
“หนวกหู!” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเสียงเรียบเฉยด้วยท่าทางที่ลอกเลียนแบบผู้อาวุโสคนอื่นมา ตอนที่มองมายังไฟเก้าสีกลางฝ่ามืออีกครั้ง เขาก็ข่มกลั้นความฮึกเหิมในใจลงไป ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอาวิญญาณออกมาเกือบสามหมื่นกว่าดวง ตอนที่วิญญาณเหล่านี้บินแผ่ไปแปดทิศ ไฟเก้าสีในมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันคลายออก มันกลายมาเป็นทะเลเพลิงที่แผ่ขยาย
ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนต้องแบ่งสมาธิออกเป็นสามหมื่นส่วน ภายใต้การใช้พลังวิญญาณ เขาคอยผสานรวมวิญญาณเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง บ้างก็แยกเดี่ยว บ้างก็รวมกันกลุ่มละสามห้าดวง บ้างก็ผสานรวมตัวของวิญญาณก่อนแล้วค่อยเอามาผสานรวมกับไฟ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้มิอาจบรรยายได้อย่างละเอียด หลังจากที่เวลาผ่านไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ในนาทีที่วิญญาณทั้งหมดถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นแล้วคว้าไปยังทะเลเพลิงผืนนั้น ก่อนจะบีบอย่างแรง!
ตูม!!
กลางฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายหลุมดำที่ดูดดึงทะเลเพลิงเข้ามาหาในชั่วพริบตา เมื่อเขาแบมือออกอีกครั้ง กลางฝ่ามือของเขาก็พลันปรากฏ…ไฟสิบสีหนึ่งกลุ่ม!!