บทที่ 579 นาบตราประทับหน้ากากใหม่อีกครั้ง
หลี่เฟิงไม่ได้จากไป
แต่อยู่ต่อที่ชนเผ่าภูเขาดำ เป็นฝ่ายติดตามมาเสนอตัวให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็น แถมท่าทีก็เคารพนอบน้อมอย่างมากราวกับว่าขอแค่เป็นเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟเขาก็ต้องทำสำเร็จให้จงได้
นี่สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับโจวอีซิง เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันนี้จึงทำให้เขายิ่งกระตือรือร้นกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่งมากกว่าเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ไล่หลี่เฟิงไป มองดูคนทั้งสองที่คิดจะประจบเอาใจตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจอย่างยิ่งยวด
“เฮ้อ ข้านี่ช่างยอดเยี่ยมเกินไปจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ต้องมีคนก้มหัวกราบกราน ไม่รู้เลยว่าจะปฏิเสธอย่างไร ก็ข้ามันคนใจอ่อนนี่นา” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณในเผ่าก็ปฏิบัติต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างใส่ใจขมีขมันยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนทั้งสองที่แทบจะยกป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นหิ้งบูชาเป็นเทพเจ้า
พวกเขาช่วยกันรวบรวมกำลังของคนทั้งเผ่ามาทำตามเงื่อนไขทั้งหมด
ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสนอขึ้นมา การได้รับปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดื่มด่ำอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยอมรับปากเรื่องหลอมยาด้วย
แต่ว่าก่อนที่จะหลอมยา ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าตอนนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องพยายามทำให้สำเร็จ เขาไม่ได้ถ่วงเวลาล่าช้า คืนวันนั้นเขาจึงสร้างตราผนึกไปทั่วถ้ำของตัวเอง ทั้งยังสั่งความให้ร่างจำแลงทั้งสามของตนอำพรางตัวออกไปคุ้มกันอยู่ด้านนอก แล้วเสร็จจึงนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ก่อนจะถอดหน้ากากออกมาจากใบหน้าของตัวเองอย่างระมัดระวัง
วินาทีที่ถอดมันลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปมองรอบด้านด้วยความระแวดระวัง ร่างจำแลงทั้งสามของเขาก็มีท่าทีแบบเดียวกัน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงวางใจลงได้
“หลอมไฟสิบเอ็ดสีออกมาได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นอันดับต่อมาก็คือต้องทดลองหลอมพลังจิตให้กับหน้ากากชิ้นนี้เพื่อลบเลือนตราผนึกที่อยู่ด้านในแล้วทิ้งตราผนึกที่เป็นของข้าอย่างแท้จริงเอาไว้!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีใครหาข้าเจอผ่านหน้ากากชิ้นนี้อีกแล้ว!”
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนวาววับ หยิบเอาหม้อลายกระดองเต่าและไฟหนึ่งถึงสิบสีออกมาหมายจะหลอมพลังจิตทับซ้อนเข้าไปใหม่ให้กับหน้ากากชิ้นนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มองหน้ากากที่อยู่ในหม้อกระดองเต่า สุดท้ายก็หยิบเอาไฟสิบเอ็ดสีใส่เข้าไปในหม้อ
ทันใดนั้นหม้อลายกระดองเต่านี้ก็แผ่ประกายแสงเจิดจ้า แสงนี้ไม่ใช่สีเงินอีกต่อไป แต่เป็นสีทอง พริบตาเดียวแสงสีทองก็สาดส่องไปทั่วถ้ำ พลังอำนาจระลอกหนึ่งที่ราวกับสามารถเปลี่ยนแปลงฟ้าดินผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางแสงสีทองนี้ แม้ว่าจะมีแค่เสี้ยวเดียว แต่ก็ทำให้จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนได้เหมือนกัน
ยังดีที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้ไฟสิบเอ็ดสีหลอมพลังจิต ตอนที่อยู่ในโลกมายานั้น เขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว ยามนี้จึงรวบรวมสมาธิ รอให้แสงสีทองถูกหม้อลายกระดองเต่าดูดซับไปหมด พอลายเส้นสีทองเหล่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โยนหน้ากากเข้าไปในหม้อทันที
“ต้องสำเร็จแน่!” หน้ากากนี้สำคัญมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนคำนึงถึงผลได้ผลเสียอยู่ครู่หนึ่งก็โยนหน้ากากเข้าไปในหม้อกระดองเต่า ก่อนที่เขาจะเพ่งสายตามองไป แล้วก็เห็นว่าแสงสีทองบนหม้อกระดองเต่าสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง พร่างพราวอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ราวกับกลายมาเป็นเส้นสีทองนับไม่ถ้วนที่ตรงดิ่งเข้าหาหน้ากาก
ความเร็วนี้ราวกับเหมือนถักทอเข้าด้วยกันแล้วปกคลุมไปยังหน้ากากชิ้นนั้นโดยตรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเป็นระลอกดังไปทั่วถ้ำ และเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหน้ากากนั่นกำลัง…หลอมละลายไปอย่างรวดเร็ว!!
เมื่อการละลายเกิดขึ้น ไม่นานมันก็กลายมาเป็นของเหลวหนึ่งหยดเหมือนน้ำนมสีขาวที่กรุ่นกลิ่นหอมสะอาด เมื่อกลิ่นนี้ลอยมาปะทะจมูก ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดดมหนึ่งครั้ง สีหน้าก็คึกคักกระปรี้กระเปร่าทันที
“หลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งสามารถย้อนกลับคืนสู่ต้นกำเนิดเดิม ใบไม้นั้นกลายมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เวลานี้หน้ากาก…ก็กลายมาเป็นน้ำนมหนึ่งหยด”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นตะลึง ของเหลวที่เหมือนน้ำนมสีขาวนี้ก็เกาะตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายมาลูกกลมๆ หนึ่งเม็ดเหมือนไข่มุก ส่องประกายแสงอ่อนโยน และทันใดนั้นบนไข่มุกก็พลันปรากฏ…แสงสีทองระยิบระยับหนึ่งเส้น!!
ไม่นานแสงบนหม้อลายกระดองเต่าก็มืดสลัวลง จนกระทั่งหายวับไปหมด ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นเล็กน้อย พอหยิบเอาไข่มุกเม็ดนี้มาถืออยู่ในมือ เขาก็สัมผัสได้ถึงปราณระลอกหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ด้านในซึ่งราวกับสามารถล่อลวงให้เกิดภาพหลอนได้
เขาแค่รับสัมผัสถึงปราณนี้เล็กน้อยก็คล้ายตกอยู่ในโลกมายา รอบด้านไม่ใช่ถ้ำอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นเหมือนพื้นที่แห่งเซียน มีต้นไม้เซียนจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งตระหง่าน ห่านเซียนหลายตัวบินเริงระบำ ดอกไม้วิเศษมากมายผลิดอก เกลียวเมฆล้อมวนทำให้คนแยกไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม
ยังดีที่ทุกอย่างนี้หายวับไปในชั่วพริบตา ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับคืนเป็นปกติ เขาถือไข่มุกไว้ในมือด้วยลมหายใจที่แข็งค้างน้อยๆ
“วัตถุชิ้นนี้ มีพลังในการล่อลวงมากยิ่งกว่าตอนที่เป็นหน้ากากก่อนหน้านี้เสียอีก!! น่าจะยังมีความต่างอีกเยอะมากที่จำเป็นต้องให้ข้าค่อยๆ คลำหามัน”
หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด เมื่อแน่ใจว่าในไข่มุกนี้ไม่มีตราประทับของใครอยู่อีกแล้ว เขาก็รีบนาบตราประทับของตัวเองลงไปบนไข่มุกทันที
ไข่มุกสีขาวเปล่งแสงวาบหนึ่งครั้ง ความรู้สึกถึงการเชื่อมโยงเสี้ยวหนึ่งที่มีอยู่ระหว่างตนและไข่มุกทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริงร่าปิติยินดี
“สำเร็จแล้ว ก่อนหน้านี้หน้ากากนี่ไม่ทำให้ข้ามีความรู้สึกเช่นนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ถือไข่มุกไว้ในมือแล้วตบป้าบลงไปบนหว่างคิ้วตัวเอง ทันใดนั้นไข่มุกเม็ดนี้ก็หายเข้าไปในเนตรทงเทียนของเขา เวลาเดียวกันนั้นใบหน้าของเขาก็พร่าเลือน แต่วูบเดียวก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งใบหน้านั้นไม่ใช่หน้าตาของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นหน้าของป๋ายฮ่าว
เขาในเวลานี้มองดูแล้วกลมกลืนกันไปหมด ไม่มีตำหนิหรือช่องโหว่ใดๆ ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคลื่นพลังดวงวิญญาณหรือเส้นสนกลในทุกอย่างที่จะบอกว่าเขาเป็นใครก็ล้วนหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เมื่อสวมหน้ากากเอาไว้ พวกบุคคลมากความสามารถเทียบเท่าครึ่งเทพอาจจะพอมองออกถึงความต่างได้บ้าง แต่ตอนนี้ต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ยังมองไม่ออกอีกต่อไป
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาหน้ากากมาแปลงเป็นไข่มุกเพื่อลบเลือนตราประทับเก่าทิ้งแล้วนาบตราประทับใหม่ของตัวเองเข้าไปแทน ในแดนทุรกันดารที่ห่างจากที่แห่งนี้ไปไกลโพ้นมีนครใหญ่ยักษ์ที่น่าตะลึงอยู่แห่งหนึ่ง
นครแห่งนี้เป็นสีทอง โอ่อ่ามหึมาถึงที่สุด ราวกับมังกรยักษ์สีทองตัวหนึ่ง มีพลานุภาพน่าเกรงขามปกคลุมไปรอบด้านประหนึ่งสยบทุกอย่างเอาไว้
นครแห่งนี้…ก็คือนครจักรพรรดิขุยแห่งแดนทุรกันดาร!
บัดนี้กลางอากาศตรงจุดศูนย์กลางของนครจักรพรรดิขุยมีเกลียวเมฆล้อมวน พอจะมองเห็นได้รำไรว่าบนนภากาศคล้ายจะมีเมืองอยู่อีกแห่งหนึ่ง เมืองแห่งนั้น…ก็คือที่ตั้งของพระราชวังจักรพรรดิ
ในตำหนักใหญ่โตโอฬารที่หรูหราอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งของพระราชวังจักรพรรดินี้ มีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ผู้เฒ่าคนนี้สวมอาภรณ์สวยงามราคาแพง ต่อให้สีหน้านิ่งเฉยก็ยังดูน่าเกรงขามประหนึ่งมีตำแหน่งสูงส่งที่แค่เอ่ยปากคำเดียวก็คร่าชีวิตคนนับหมื่นนับแสนได้
และตบะของเขาก็ยิ่งลึกล้ำเกินคาดเดา เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับเป็นทวยเทพองค์หนึ่ง!!
ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลบเลือนตราประทับออกไป ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเบิกโพลง เผยให้เห็นประกายแสงสีทองที่ทำให้คนหวาดกลัวเพียงแค่สบตามอง ตบะก็ยิ่งมีลูกคลื่นปรากฏ ลูกคลื่นนี้แผ่กระจายไปทั่วพระราชวังจักรพรรดิทันที ทำให้ตลอดทั้งพระราชวังจักรพรรดิสั่นสะเทือน
“หายไปแล้ว…” ขณะที่ผู้เฒ่าตกอยู่ในภวังค์ก็พลันขมวดคิ้วฉับ ยกมือขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นประตูของตำหนักใหญ่ก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ นอกตำหนักใหญ่มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นสะท้าน
“ต้าเทียนซือ (เทียนซือคือปรมาจารย์สวรรค์ เป็นชื่อตำแหน่งผู้นำแห่งลัทธิเต๋า) ฝ่าบาทตกใจจึงให้ข้าน้อยมาถามว่ามีเรื่องอะไรถึงทำให้ต้าเทียนซือโกรธเกรี้ยวจนแผ่คลื่นตบะ…”
“ฝ่าบาทช่างใจเสาะยิ่งนัก นับเวลาดูเขาก็ควรไปปิดด่านเพื่อเพิ่มตบะได้แล้ว จะได้กล้าหาญมากกว่านี้หน่อย จงนำคำของข้าผู้อาวุโสไปประกาศ ให้ฝ่าบาทปิดด่านสิบปี เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย” ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า กล่าวจบก็หลับตาลงอีกครั้งแล้วไม่สนใจอะไรอีก
บัดนี้ในขอบเขตอิทธิพลของนครราชาผี ตรงกลางชนเผ่าภูเขาดำ ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสทำความคุ้นเคยกับหน้ากากของตัวเองแล้วจึงเรียกร่างจำแลงทั้งสามให้กลับมา พอหันมามองสถูปสั่งสมวิญญาณ เขาก็ตบลงไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นด้านในก็มีวิญญาณพยาบาทจำนวนไม่น้อยบินออกมา
กลุ่มวิญญาณพวกนี้เพิ่งจะบินออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกมือขวาขึ้นบีบหนึ่งครั้ง ราวกับมีแรงดึงดูดที่รวมควันวิญญาณพวกนั้นให้เข้ามาอยู่กลางมือ ขณะที่กลางฝ่ามือของเขากำลังจะมีไฟหนึ่งสีปรากฏขึ้น เขาก็พลันแบมือออกกลางคัน ที่ปรากฏให้เห็นจึงไม่ใช่ไฟหนึ่งสี แต่เป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่ราวกับหินผลึก
“นี่น่ะรึยารวมวิญญาณ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหินผลึกที่อยู่กลางฝ่ามือ รับสัมผัสกับคลื่นพลังดวงวิญญาณเป็นระลอกที่อยู่ด้านใน ศึกษาอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่ายาวิญญาณนี้ประหลาดอย่างมาก
“ก็หลอมไม่ยากเท่าไหร่ ที่ยากก็คือการหลอมไฟหลายสี…ขอแค่หลอมไฟได้ก็สามารถหลอมยาวิญญาณได้ แต่ไม่รู้ว่า…จะสามารถใช้วิธีการหลอมยามาทำให้ยาวิญญาณนี้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้หรือไม่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปมาก็หยิบเอาเตาหลอมยาออกมา แล้วจึงโยนยาวิญญาณนี้เข้าไปไว้ในเตาหลอม ก่อนจะเริ่มหลอมอีกครั้ง
แต่กลับไม่ได้ผลมากนัก เขาไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้ยาวิญญาณดีขึ้นได้ อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ยอมแพ้ เขายังหยิบเอายาบางส่วนออกมาหลอมพร้อมกับยาวิญญาณ สิ้นเปลืองไปไม่น้อย สุดท้ายก็สามารถผสานรวมควันยาของพืชหญ้าบางส่วนเข้าไปในยาวิญญาณได้ แต่หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนชั่งน้ำหนักดูกลับพบว่าได้ไม่คุ้มเสีย
“ไม่ได้ผล แม้ว่าจะผสานรวมควันยาบางส่วนเข้าไป แต่ปริมาณจะมากนักไม่ได้ ในด้านการฝึกตนก็ไม่ทำให้เกิดผลดีอะไรเท่าไหร่นัก แถมยังต้องเปลืองแรงมากด้วย ไม่คุ้มกัน…นอกจากจะใส่ควันพิษเข้าไปบางส่วน…ถึงจะพอมีประโยชน์อย่างกล้อมแกล้ม” นั่นถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถอดใจด้วยความเสียดาย ในใจมีความอาลัยเล็กน้อย
ยาวิญญาณที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ภายนอกมองไม่ออกถึงความต่างใดๆ นอกเสียจากว่าจะเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมยา มิฉะนั้นแล้วก็มองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน สามารถพูดได้ว่าสมบูรณ์แบบมากแล้ว เพราะอย่างไรซะในสภาพแวดล้อมที่พิเศษของแดนทุรกันดารนี้ก็แทบจะไม่มีใครที่ใช้พืชหญ้าในการหลอมยาเลย