Skip to content

A Will Eternal 582

บทที่ 582 ตระกูลป๋ายชานเมืองตะวันออก

คราวนี้หลี่เฟิงร้อนใจจริงๆ แล้ว ในความรู้สึกของเขา ปรมาจารย์ป๋ายที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็นถึงอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองเชียวนะ และเป็นหนึ่งในอาจารย์หลอมวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิตนี้

บุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หากตนได้ติดตามไปด้วย ผลประโยชน์ต้องมีมากมหาศาล พอนึกได้ว่าหากตัวเองคว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นวันหน้าตนต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน ยามนี้ด้วยความร้อนใจ เขาก็ครุ่นคิดว่าต้องให้อีกฝ่ายรู้ถึงคุณค่าของตัวเองให้ได้ คิดมาถึงตรงนี้หลี่เฟิงจึงรีบตะโกนเสียงดังทันที

“ปรมาจารย์ป๋ายโปรดรอก่อน ข้ามีประโยชน์มากเลยนะ ด้วยตัวตนของท่านปรมาจารย์ เวลาที่ต้องการวิญญาณคงไปหาด้วยตัวเองไม่ได้กระมัง แต่ข้าไปหาให้ท่านได้นะ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนฝีเท้าเล็กน้อย รู้สึกว่าที่หลี่เฟิงผู้นี้พูดก็เหมือนจะมีเหตุผล

โจวอีซิงใจกระตุก เดือดดาลอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลือง เขารู้สึกว่าการติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเป็นเรื่องที่อึดอัดใจ ทว่านับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลือง เขาก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเหมือนคนฟ้าอยู่นานแล้ว

ทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองต้องเกาะติดป๋ายเสี่ยวฉุนให้แน่นหนึบ นั่นถึงทำให้เขาพยายามคิดหาวิธีมากำจัดหลี่เฟิง ตอนนี้พอมาได้ยินว่าหลี่เฟิงไร้ยางอายถึงขนาดพูดว่าจะมาแย่งงานที่เป็นของตัวเองไปทำ เขาก็พลันคำรามดังลั่น

“ข้าก็ทำได้เหมือนกัน!” โจวอีซิงร้องคำรามเสียงดัง กลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตกปากรับคำอีกฝ่าย

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทีนิ่งสงบ เขามองออกถึงความไม่สามัคคีและแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างคนทั้งสองแต่แรกแล้ว ยามนี้ในใจจึงหัวเราะร่าด้วยความลำพองใจและยินดีที่จะได้เห็นเรื่องแบบนี้ ดังนั้นจึงเดินจากไปไกลต่อไป

โจวอีซิงถึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ เขาถลึงตาใส่หลี่เฟิงอย่างดุดัน หากตบะของเขาฟื้นคืนกลับมา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลงมือกำจัดอีกฝ่ายไปแล้ว…

หลี่เฟิงไม่มีเวลามาสนใจความไม่สบอารมณ์ของโจวอีซิงอีกแล้ว

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเดินจากไปไกลอีกครั้ง เขาก็ร้อนรนไปทั้งตัว รีบตะโกนเสียงสูงอีกรอบ

“ปรมาจารย์ป๋าย ข้า…ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมาก!!”

“ข้าก็รู้เหมือนกัน! ข้ารู้จักหลายที่เลยด้วย!” โจวอีซิงรีบตะเบ็งเสียงตอกกลับทันใด

“ข้าสามารถหลอมยาวิญญาณให้ปรมาจารย์ได้ ด้วยระดับสามขั้นสูงสุดของข้า สามารถหลอมยาวิญญาณจำนวนมากมาพิทักษ์ปรมาจารย์ได้!!” หลี่เฟิงเอ่ยปากด้วยความร้อนรน

“ข้าก็หลอมยาวิญญาณได้เหมือนกัน!” โจวอีซิงกัดฟันกรอด

“โจวอีซิง อย่ารังแกกันเกินไปนัก ข้ารู้ว่าที่ไหนถึงจะไปหาน้ำของแม่น้ำทงเทียนมาได้ น้ำแม่น้ำทงเทียนราคาไม่ธรรมดา หยดเดียวก็สามารถแลกมาได้ด้วยยารวมวิญญาณจำนวนมาก! โจวอีซิง เจ้าสู้ข้าได้หรือ!” หลี่เฟิงแผดเสียงกลับ

“ข้า…” โจวอีซิงร้อนใจเสียแล้ว หากอยู่ในถิ่นที่ตั้งของตระกูลเขา เขายังสามารถพูดว่าตัวเองก็ทำได้ ทว่าที่นี่เขาไม่มีช่องทางสำหรับเรื่องนี้จริงๆ…

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย แม้เขาจะรู้ว่าน้ำของแม่น้ำทงเทียนคือวัตถุหายากในแดนทุรกันดารแห่งนี้ ซึ่งน่าจะมีมูลค่ามาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าดูเหมือนมันจะล้ำค่ายิ่งกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก

“ข้ารู้ว่าสถานที่ใดมีวิญญาณคนฟ้า!”

“ข้ายังสามารถสืบข่าวต่างๆ จากในบริเวณใกล้เคียงมาให้กับปรมาจารย์ป๋ายได้ด้วย!”

“ข้า…” หลี่เฟิงเห็นว่าโจวอีซิงพูดไม่ออกจึงฮึกเหิมทันที ทั้งยังพยายามนำเสนอตัวเองสุดฤทธิ์ หมายใจว่าจะต้องดึงดูดความสนใจจากป๋ายเสี่ยวฉุนจนอีกฝ่ายยอมให้ตนเป็นผู้ติดตามให้ได้

โจวอีซิงตาแดงก่ำทันใด หอบหายใจดังฟืดฟาด ขณะที่กำลังจะตอกกลับหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนสี เพราะเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกาย บัดนี้ได้หยุดชะงักฝีเท้าแล้ว

ขณะที่โจวอีซิงใจตกลงไปอยู่ตาตุ่ม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนตัวกลับมาหรี่ตามองหลี่เฟิง

“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า เจ้ารู้จักสถานที่ที่มีวิญญาณคนฟ้างั้นรึ?”

เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับมา หลี่เฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นถึงขีดสุด พอได้ยินคำถามของป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็รีบประสานมือโค้งตัวคารวะต่ำๆ กลับไปอย่างไม่ลังเล

“ตอบท่านปรมาจารย์ ข้าน้อยรู้ข่าวของวิญญาณคนฟ้าอย่างแท้จริง เล่าลือกันว่าในนครผียักษ์ ในมือราชาผียักษ์มีวิญญาณคนฟ้าอยู่ นอกจากไต้เท้าราชาผียักษ์แล้ว ตระกูลผู้หลอมวิญญาณอีกสามตระกูลใหญ่ในนครผียักษ์ก็มีข่าวลือว่ามีวิญญาณคนฟ้าอยู่เช่นเดียวกัน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ของหลี่เฟิงไม่ได้ต่างอะไรไปจากคำพูดไร้แก่นสารแม้แต่น้อย

“หึ ราชาผียักษ์นั่นคือครึ่งเทพผู้เก่งกล้า วิญญาณคนฟ้าที่อยู่ในมือของเขามีหรือจะส่งมอบให้ใครได้ง่ายๆ! ส่วนตระกูลผู้หลอมวิญญาณทั้งสามก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น!” โจวอีซิงเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วจึงดีใจ รู้ทันทีว่านี่คือโอกาสให้เขาเอาคืน เลยรีบพูดโพล่งจี้จุดอย่างโจ่งแจ้ง

หลี่เฟิงหันมามองโจวอีซิงด้วยสายตาเย็นชาแล้วหัวเราะเสียงเย็น แต่พอหันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีสีหน้าเคารพยำเกรงอย่างถึงที่สุด ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า

“ข้าหรือจะกล้าหลอกลวงปรมาจารย์ป๋าย ไม่พูดถึงไต้เท้าราชาผียักษ์ เอาแค่สามตระกูลผู้หลอมวิญญาณนั้น ในอีกสองตระกูลจะมีวิญญาณคนฟ้าหรือไม่ข้าเองก็ไม่กล้ายืนยัน ทว่าหนึ่งตระกูลในนั้นข้ากล้าเอาหัวเป็นประกันว่าพวกเขามีวิญญาณคนฟ้าอยู่แน่นอน!”

“เพราะข้าเคยเป็นหนึ่งในขุนนางต่างถิ่นของตระกูลนั้น ในงานเลี้ยงฉลองครั้งหนึ่งเคยมีเกียรติได้เห็นวิญญาณคนฟ้าไกลๆ หนึ่งครั้ง ซึ่งรูปร่างของวิญญาณคนฟ้านั้นมีลักษณะเป็นเหมือนทะเลทรายผืนหนึ่ง เพิ่งจะถูกหยิบออกมาพลานุภาพสยบของคนฟ้าก็แผ่ซ่านไปแปดทิศ!”

หลังจากที่หลี่เฟิงเล่าสิ่งที่ตัวเองเคยเห็นทั้งหมดออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดวงตาเป็นประกายทันที

ต่อให้อยู่ในแดนทุรกันดารวิญญาณคนฟ้าก็ยังถือเป็นของล้ำค่า ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถพบเห็นได้ อีกทั้งหลายๆ คนก็ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าวิญญาณคนฟ้ามีหน้าตาเป็นเช่นไร ทว่าคำบรรยายของหลี่เฟิงผู้นี้กลับสอดคล้องกับลักษณะของวิญญาณคนฟ้าอย่างมาก

“หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง นั่นก็น่าจะเป็นวิญญาณคนฟ้าธาตุดิน ตอนนี้ข้ามีไฟไม้น้ำแล้ว…ยังขาดทองและดิน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำหวั่นไหว

“ตระกูลที่เจ้าพูดถึงคือตระกูลใด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถามด้วยดวงตาวาววับ

“ชานเมืองฝั่งตะวันออกของนครราชา ตระกูลป๋าย!” หลี่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพื่อได้ติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเขาก็เลือกกัดฟันพูดมันออกมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน รู้สึกว่าตระกูลที่หลี่เฟิงพูดถึงนี้ฟังคุ้นหูไม่น้อย หลังจากคิดอย่างละเอียดดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันเบิกกว้าง…

“ชานเมืองฝั่งตะวันออกของนครราชา…สามตระกูลใหญ่ผู้หลอมวิญญาณ…ตระกูลป๋าย…นี่ไม่ใช่ตระกูลของป๋ายฮ่าวหรอกหรือ” เมื่อเข้าใจอย่างชัดเจน ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดความหวั่นไหว

“ทว่าตระกูลที่ถือเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของนครผียักษ์เช่นนี้…อาจมีความเป็นไปได้มากว่าจะมีบุรพาจารย์คนฟ้าอยู่ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก นอกจากจะหวั่นไหวแล้วก็ยังสองจิตสองใจด้วย แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาจำเป็นต้องได้วิญญาณคนฟ้านั้นมาครอบครอง อีกทั้งหากใช้ตัวตนของป๋ายฮ่าวนี้ การช่วงชิงวิญญาณฟ้ามาก็น่าจะยิ่งราบรื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคิดไม่ตก หลี่เฟิงเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก ครั้งนี้เขาพูดเรื่องตระกูลป๋ายออกมาแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าล่วงเกินตระกูลป๋ายไปแล้ว หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจเขา เขาก็คงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะติดตามอีกฝ่าย

อีกอย่างถึงแม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางต่างถิ่นในตระกูลป๋ายช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทว่าเขากลับไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับป๋ายฮ่าว เพราะอย่างไรซะป๋ายฮ่าวก็มีตบะแค่สร้างฐานรากช่วงต้น อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่บุคคลสำคัญในตระกูล แน่นอนว่าย่อมไม่ดึงดูดความสนใจจากหลี่เฟิงผู้เป็นขุนนางต่างถิ่นระดับสามขั้นสูงสุดอยู่แล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ผ่านไปพักใหญ่เขาก็กัดฟันกรอดพร้อมใจที่สั่นสะท้าน

“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ข้าก็ต้องลองดูสักตั้ง อีกอย่างข้ามีสถูปครึ่งเทพ…หากถูกเปิดโปง หน้ากากก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นหน้าตาแบบอื่นได้อีก ระวังตัวสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งเกลียดแค้นสตรีธุลีแดง พอคิดว่าสตรีธุลีแดงบีบให้ตนจำต้องใช้วิญญาณคนฟ้ามารวมตัวอ่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชัง

“ต้องโทษสตรีธุลีแดงนั่นเลย เจ้ารอข้าก่อนเถอะ รอวันใดที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนร้ายกาจแล้ว ข้าจะจัดการเจ้าแน่นอน! แล้วก็เฉินเห้อเทียนนั่นด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็ยินยอมให้หลี่เฟิงเป็นผู้ติดตามของตัวเอง ก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะห้อทะยานมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของตระกูลป๋ายด้วยความรวดเร็ว

ระหว่างทางป๋ายเสี่ยวฉุนก็คอยครุ่นคิดถึงแผ่นกระดูกที่เขาเจอในถุงเก็บของของป๋ายฮ่าว และยิ่งคิดถึงเรื่องการตายของป๋ายฮ่าว

การที่ตนใช้ตัวตนของป๋ายฮ่าวหวนกลับไปคราวนี้ย่อมต้องสร้างความโกลาหลให้กับในตระกูลป๋ายแน่นอน

“เอาเถอะ ไหนๆ ก็เคยพูดไปแล้วว่าหากมีโอกาสจะแก้แค้นให้เจ้า คราวนี้หากเป็นไปได้จริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าหาคนที่ฆ่าเจ้าให้เอง!”

หลายวันหลังจากนั้น เมื่อใกล้จะขยับเข้าไปใกล้ขอบเขตของตระกูลป๋าย

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดชะงักฝีเท้า เขาคิดได้ว่าการกลับไปยังตระกูลป๋ายไม่เหมาะที่จะพาหลี่เฟิงและโจวอีซิงกลับไปด้วย ดังนั้นจึงจัดหาที่อยู่ให้คนทั้งสองฝึกบำเพ็ญตบะในบริเวณใกล้เคียงเพื่อรอการเรียกหาจากตน แล้วเสร็จจึงบินไปยังตระกูลป๋ายเพียงลำพัง

เวลานี้ตบะของเขาก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยแล้ว มองแล้วไม่เหมือนรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ แต่กลับมาเป็นสร้างฐานรากช่วงต้นเฉกเช่นป๋ายฮ่าว

ความเร็วในการบินก็ช้าลง การแสดงออกของทุกอย่างล้วนสอดคล้องกับตัวตนของป๋ายฮ่าว ส่วนใบหน้าของเขายามนี้ก็เผยลักษณะของคนที่เงียบงันพูดน้อย

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้คือบุตรของอนุภรรยา ไม่ได้รับความสำคัญจากในตระกูล…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนสอดคล้องกับลักษณะท่าทางของป๋ายฮ่าวตัวจริงที่หวนกลับคืนสู่ตระกูลหลังจากเกือบเอาชีวิตไม่รอดอย่างมาก

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากนครราชาผีอีกไม่ไกล ตั้งอยู่ตรงฝั่งตะวันออกของนครราชาผี พื้นที่ที่กว้างใหญ่แถบนี้ล้วนเป็นของตระกูลป๋าย พูดว่าเป็นตระกูล ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับมีขนาดใหญ่มาก เวลามองไปก็เหมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งทีเดียว

เมืองนี้เป็นสีม่วงทั้งหมด เหมือนตราประทับขนาดใหญ่ที่นาบอยู่บนพื้นดิน รอบด้านมีรูปสลักมังกรที่ทอดยาวออกมาราวกับจะบินทะยานขึ้นฟ้า และรูปสลักมังกรนี้ก็ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นประตูใหญ่สี่บานของเมืองตระกูลป๋าย!

รอบด้านยิ่งมีค่ายกลล้อมวนผลุบๆ โผล่ๆ บนค่ายกลเหล่านั้นยังส่งพลังอำนาจสยบออกมาเป็นระลอก ขณะเดียวกันกับที่ปกคลุมตลอดทั้งเมืองตระกูลป๋ายเอาไว้ก็ทำให้พื้นดินแห่งนี้ตั้งตัวเป็นอิสระด้วย

อีกทั้งหลังจากที่เดินเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่มองนิ่งมายังตนจากทิศทางต่างๆ ทันที ยังดีที่แค่มองครู่เดียวก็ย้ายออกไป

“ตระกูลป๋ายนี่…ต้องมีบุรพาจารย์คนฟ้าอยู่ด้วยแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกลก็ใจสั่น ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เมืองตระกูลป๋าย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!