Skip to content

A Will Eternal 584

บทที่ 584 พบเบาะแส

เจดีย์เจ็ดชั้นนั้นอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลนัก รอบด้านมีลำแสงพร่างพราวสะท้อนให้เจดีย์นี้มองดูเหมือนอัญมณีที่ส่องประกายแวววาว หรูหราอย่างมาก โดยเฉพาะรอบด้านเจดีย์สูงยังมีตราผนึกผลุบๆ โผล่ๆ ทำให้เจดีย์หลังนี้กลายมาเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของตระกูลป๋าย

แทบจะขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปยังเขตทิศเหนือ บนชั้นที่ห้าของเจดีย์สูงนี้ก็มีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของนางที่เย็นชาน่าสะพรึงกลัวกำลังจ้องเขม็งมายังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเดินจากไปไกล

หญิงวัยกลางคนผู้นี้สวมอาภรณ์หรูหราราคาแพง เส้นไหมที่ใช้ถักทอก็ทำมาจากดิ้นไหมวิเศษ ปักลายเป็นรูปหงส์เก้าตัว ทั้งยังมีเจตจำนงแห่งการหล่อเลี้ยงด้วยความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาเป็นระลอกราวกับว่านี่คืออาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งที่ทำให้คนสวมใส่มีหน้าตาอิ่มเอิบงดงาม

อาภรณ์เช่นนี้เมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารก็ถือว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว ต่อให้เป็นขอบเขตแม่น้ำทงเทียนเองก็ยังมีแต่ผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่จะสวมใส่ และหญิงวัยกลางคนผู้นี้ถึงแม้จะอายุมากสักหน่อย แต่กลับดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี เรือนกายมีส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัด ผิวพรรณก็นุ่มหยุ่นบอบบางราวกับว่าแค่ดีดก็แหลกสลาย ไม่เรียกว่างามล้ำ แต่ก็มีเสน่ห์เย้ายวน เมื่อเทียบกับหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าก็ยังไม่ถือว่าเป็นรอง อีกทั้งยังมีท่วงทำนองของความสุกงอมเต็มวัยเพิ่มขึ้นมาด้วย

ยามนี้หญิงสาวผู้นี้กำลังกัดฟันกรอด สายตาที่มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงเร้นไว้ด้วยความเคียดแค้นชิงชังลึกล้ำ และขณะที่นางกำลังมองไปนั้น เบื้องหลังของนางก็มีชายชุดดำผู้หนึ่งโผล่มาอย่างรวดเร็ว ทั่วร่างของชายผู้นี้เปี่ยมล้นไปด้วยปราณดุร้าย โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ที่มีแสงสีแดง ตลอดทั้งร่างราวกระบี่แหลมคมที่ถูกชักออกจากฟัก เมื่อมาหยุดอยู่ด้านหลังสตรีสูงศักดิ์ ชายผู้นั้นก็ก้มหัวคารวะอย่างนอบน้อม

“คารวะฮูหยินไช่”

“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าสวะป๋ายฮ่าวผู้นั้นตายไปแล้วอย่างไรล่ะ!” ฮูหยินไช่พูดเน้นย้ำทีละคำโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมาด้านหลัง สายตายังคงจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนที่จากไปไกล

“ใช่ขอรับ เด็กผู้นี้โดนตราสลายวิญญาณ เส้นชีพจรหัวใจขาด แม้ว่าเขาจะนำส่งตัวเองจนหนีไปได้ทำให้ข้าไม่ได้เห็นศพของเขากับตาตัวเอง แต่ข้ากล้ายืนยันว่าเขาต้องตายแน่นอน!” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งยวด

“ตายแน่นอน? ตายแน่นอนอย่างนั้นรึ เจ้าดูสิว่านั่นมันใคร!” ฮูหยินไช่โมโหสุดขีดจนหลุดหัวเราะ มือขวายกขึ้นชี้ไปยังเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห่างออกไปไกล

ชายชุดดำผู้นั้นตะลึงงัน เดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว มองตามนิ้วของฮูหยินไช่ที่ชี้ไปแล้วจึงเห็นแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที มองปราดเดียวก็ทำเอาเขาหน้าเปลี่ยนสีเบิกตากว้าง

“เป็นไปไม่ได้!” ชายชุดดำอ้าปากค้างมีสีหน้าเหลือเชื่อ

“ข้าไม่สนว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ สรุปคือ…วันนี้เจ้าต้องฆ่ามันให้ได้!!”

ฮูหยินไช่กล่าวจบก็หมุนกายจากไป

“ฮูหยินไช่ ฆ่าเด็กคนนี้ง่ายนิดเดียว ทว่าที่นี่คือตระกูลป๋าย หากลงมือวันนี้คงยุ่งยากไม่น้อย” ชายชุดดำลังเล เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ต่อให้ฮูหยินไช่ผู้นี้จะไม่ถูกกับป๋ายฮ่าวเพราะการช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน ทว่าก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้

“เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าเศษสวะนี่มันไม่ใช่คน มันคือเสนียดจัญไร เสนียดจัญไร!! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด แต่สรุปคือเจ้าต้องฆ่ามันโดยเร็วที่สุด!! ห้ามให้โอกาสมันเติบโตเด็ดขาด!!” เสียงของฮูหยินไช่แหลมปรี๊ด

ลมหายใจหอบถี่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เหมือนนางจะรู้ตัวว่าเสียกิริยาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเดินจากไปโดยไม่เอ่ยคำใด

ชายชุดดำเงียบงัน คำว่าเสนียดจัญไรที่ฮูหยินไช่พูดถึง เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่โดนตราสลายวิญญาณของเขากลับยังไม่ตาย นี่จึงทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาได้บ้าง

“จะว่าไปแล้วป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็มีความสามารถจริงๆ ถึงขนาดหนีรอดไปจากแผนการที่ข้าวางไว้ ทั้งยังหนีจากเงื้อมมือของข้าไปได้โดยที่ยังไม่ตาย! แถมยังกล้ากลับมาอีกด้วย!”

“คราวก่อนเจ้ารอดตายมาจากภัยครั้งใหญ่ ทว่าคราวนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะยังไม่ตายได้ยังไง!” ชายชุดดำหัวเราะเสียงเย็น ตอนที่หมุนกายกลับไปบนร่างของเขาก็พลันมีปราณรวมโอสถระลอกหนึ่งแผ่ออกมา!

ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเจดีย์สูง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ถึงรายละเอียด ตราผนึกของที่นี่ไม่ธรรมดา นอกเสียจากว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเข้าไปข้างในด้วยตัวเองแล้ว มิฉะนั้นหากใช้พลังจิตไปตรวจสอบดูย่อมไปกระตุ้นตราผนึกแน่นอน

ทว่าแม้เขาจะไม่รู้ถึงบทสนทนาของด้านในนั้น แต่เงาร่างของหนึ่งหญิงหนึ่งชายก็อยู่ในสายตาที่แอบเหลือบมองของเขาแล้ว ความไม่เป็นมิตรและจิตสังหารของอีกฝ่ายเขาเองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน

“น่าสนใจ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงเย็น เดินมุ่งหน้าไปยังเขตเหนือ ไม่นานก็มาถึงทิศเหนือของเมืองตระกูลป๋าย สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเปลี่ยวร้าง ไม่หรูหราอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนสถานที่พักอาศัยของพวกชาวบ้าน ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นพวกข้าทาสที่ขายชีวิตให้กับตระกูลป๋ายมาทุกรุ่นทุกสมัย อีกทั้งคนจำนวนมากล้วนเป็นพวกคนชราอ่อนแอมีโรคเรื้อรัง หน้าเหลืองตอบผ่ายผอม

บริเวณโดยรอบก็สกปรกมากเหมือนกัน ต่างไปจากเขตตะวันออกก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

ทว่าที่นี่กลับมีสายตาดูหมิ่นและรังเกียจน้อยลง เดินอยู่ในพื้นที่ที่ยากจนข้นแค้นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องทอดถอนใจให้กับตำแหน่งของป๋ายฮ่าวในตระกูลป๋ายอีกครั้ง

“พี่ฮ่าว…”

“นายน้อยฮ่าว!!”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเดินไป คนไม่น้อยที่พอเห็นเขาต่างก็เผยสีหน้าตะลึงระคนยินดี พากันเดินหน้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าจริงใจ ต่างจากคนเขตตะวันออกราวหน้ามือกับหลังเท้า

เห็นได้ชัดว่าที่นี่ป๋ายฮ่าวเป็นที่ยอมรับมากกว่า อีกทั้งไม่จำเป็นต้องให้เขาไปหาที่อยู่ของตัวเอง เด็กหลายคนของที่นี่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้ามาห้อมล้อมเขาด้วยความดีใจ พาเขาเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านพักผุพังหลังหนึ่ง

บ้านพักหลังนี้สภาพโอนเอนจะพังมิพังแหล่ ดูท่าทางแล้วคงพังถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ยังดีที่มีค่ายกลปกคลุมตลอดทั้งตระกูลป๋ายเอาไว้ ลมฝนจึงไม่ตกลงมาโดน มิฉะนั้นแล้วบ้านพักหลังนี้ย่อมมิอาจต้านทานน้ำฝนได้แน่นอน

เดินเข้ามาในห้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้านแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

ในบ้านพักแห่งนี้มีเตียงอยู่แค่หลังเดียว แม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ยังไม่มี สำหรับนักพรตสร้างฐานรากช่วงต้นคนหนึ่งแล้วนี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป อย่าว่าแต่แดนทุรกันดารเลย ต่อให้อยู่ในเขตทงเทียน นักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่งก็ยังได้รับการปฏิบัติที่สูงส่งกว่าที่นี่มากมายนัก

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้คือสร้างฐานรากช่วงต้น ทว่าทำไมอยู่ในตระกูลป๋ายถึงได้มีสภาพเช่นนี้ได้นะ…” แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้เรื่องของป๋ายฮ่าวมาบ้าง แต่เขากลับไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดมากนัก ตอนนี้พอมาถึงตระกูลป๋าย ต่อให้เขาเตรียมใจมาแล้วก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ผิดปกติ

“นอกเสียจากว่าตัวป๋ายฮ่าวเองยินดีให้เป็นเช่นนี้…หรือไม่เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ยอมรับสภาพนี้…ถ้าเช่นนั้นคนที่คิดฆ่าเขาจะเป็นใครกันล่ะ? ชายหญิงเมื่อครู่นี้หรือเปล่า?” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาววับ เขาย่อมมองออกว่าสตรีที่สวมอาภรณ์หรูหราผู้นั้นต้องมีฐานะสูงส่งแน่นอน

คิดอยู่พักใหญ่ เบาะแสของป๋ายเสี่ยวฉุนมีน้อยเกินไป หลายเรื่องไม่อาจเอามาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้ เขาจึงได้แต่ส่ายหัว

“ป๋ายฮ่าวเอ๋ย ถึงแม้ว่าข้าจะมีใจอยากช่วยเจ้า ทว่าเจ้าเองก็ต้องให้เบาะแสกับข้าบ้างสิ ให้ข้ารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเจ้ากันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหลังเล็กเก่าโทรม ไม่ได้หลับตาเข้าฌานทันที แต่แผ่กระแสจิตออกไปสำรวจรอบด้าน

นี่คือความเคยชินที่เขาปลูกฝังมาจนเป็นนิสัย เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย การระมัดระวังตัวคือสัญชาตญาณในการรักษาชีวิตของเขา อีกทั้งยังทำมุทราเตรียมจะจัดวางตราผนึกที่คนนอกมองไม่ออกไปรอบด้าน

ทว่าวินาทีที่กระแสจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออกไปนั้น ดวงตาเขาพลันแน่วนิ่ง ก้มหน้าลงมองบนพื้นดินในมุมหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกลด้วยสีหน้าที่กระตุกน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปย่อตัวลงเพื่อสำรวจอย่างละเอียด

พื้นดินตรงจุดนี้มองดูธรรมดาอย่างมาก ไม่มีจุดไหนที่แตกต่างจากที่อื่น ทว่าเมื่อครู่ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่กระแสจิตออกไปสำรวจรอบด้านกลับสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าตรงนี้เหมือนจะมีคลื่นเวทลับบางอย่างดำรงอยู่

คลื่นนี้อ่อนจางมากราวกับว่าดำรงอยู่มาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว เกรงว่าหากผ่านไปอีกสักสองสามเดือนคงจะหายไปอย่างสมบูรณ์แบบ หากไม่เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนผสานวิญญาณคนฟ้าสามดวง มีร่างจำแลงสามร่างจนทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกสามเท่า แม้ว่าจะไม่ใช่ก่อกำเนิด พลังจิตจึงยังไม่แปรสภาพเป็นอำนาจจิต

ทว่าในด้านความเฉียบคมก็ไม่ด้อยไปกว่าอำนาจจิตของก่อกำเนิดทั่วไป หาไม่แล้วเกรงว่าเขาเองก็คงมองไม่ออก

ตรวจสอบอยู่พักใหญ่ นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีประสายแสงคมกริบวาบผ่าน

“ที่นี่เคยมีคนร่ายเวท…เวลาน่าจะไม่นานนัก คงเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน…อีกทั้งดูจากท่าทางก็เหมือนว่าจะใช้เวทลับลบเลือนร่องรอยบางอย่างที่เคยมีอยู่ตรงนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองพื้นดินด้วยใจใคร่รู้ ทันใดนั้นหว่างคิ้วของเขาก็มีรอยปริแตกปรากฏขึ้น เนตรทงเทียนพลันเบิกโพลง แสงสีม่วงฉายวาบออกมา เพราะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุมให้อยู่แค่ในบริเวณพื้นดินตรงหน้านี้เท่านั้นจึงไม่เล็ดรอดออกไปข้างนอก

การมองครั้งนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์ออกมาได้ทันที ร่องรอยที่ถูกลบเลือนไปนี้ น่าจะเป็นตัวอักษรท่อนหนึ่ง…

“น่าสนใจ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ก่อนที่ร่างจะปรากฏเป็นเงาทับซ้อน ร่างจำแลงทั้งสามล้วนปรากฏขึ้นบนร่างเขาพร้อมกัน หลังจากที่แต่ละร่างพร้อมใจกันเปิดเนตรทงเทียน เนตรทงเทียนสี่ข้างก็ส่องแสงสีม่วงสว่างพร่างพราวถึงขีดสุดออกมา

ยังดีที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ทำให้แสงสีม่วงไม่ได้เล็ดรอดออกไปนอกห้อง คนนอกสัมผัสไม่ถึง ส่วนเขาเองที่เมื่อเปิดเนตรทงเทียนทั้งสี่ขึ้นพร้อมกัน ในที่สุดก็มองเห็นตัวอักษรบนพื้นดินที่ถูกลบเลือนไปได้บางส่วน แม้ว่าจะมองเห็นไม่ครบถ้วน ทว่าก็ทำให้เขารู้ถึงเรื่องราวได้คร่าวๆ

ต่อให้ตบะและความหนักแน่นของป๋ายเสี่ยวฉุนจะสูงล้ำแค่ไหน การมองครั้งนี้ก็ยังทำให้เขาต้องร้องอุทานเสียงหลงอย่างอดไม่ได้!

“นี่คือ!! …นี่มัน…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!