บทที่ 590 ฝนไฟที่ตกลงมาจากฟ้า
เรื่องที่โจวอีซิงไปซื้อตะปูวิญญาณร้ายในนครผียักษ์ยังไม่สามารถทำสำเร็จได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะอย่างไรซะอาวุธวิเศษอย่างตะปูวิญญาณร้ายเช่นนี้ หากจำนวนน้อยยังพอหาซื้อมาได้ แต่ถ้าต้องการเป็นจำนวนมากก็จำเป็นต้องใช้เวลาและแรงกาย
และโจวอีซิงเองก็ไม่คุ้นเคยกับที่นี่ หลังจากที่ลังเลอยู่พักใหญ่เขาจึงไปหาหลี่เฟิง พอพูดคุยกันพักหนึ่ง หลี่เฟิงเองก็ไม่กล้าทำตัวก่อกวน เพราะนี่ถือเป็นภารกิจของปรมาจารย์ป๋าย เขาจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการระดมเส้นสายของตัวเองให้ช่วยกันตามหาตะปูวิญญาณร้าย
แล้วก็ด้วยเรื่องนี้ คนสองคนที่ไม่ถูกกันจึงปรองดองกันกว่าเดิมไม่น้อย
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยู่ระหว่างการรอคอย แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลป๋ายอย่างสงบเสงี่ยม วันปกติแทบจะไม่ออกไปข้างนอก แต่ฝึกวิชาอมตะมิวางวายอยู่ในห้องของเขา
น่าเสียดายที่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้เขามิอาจหลอมยาเพิ่มเติมได้ ยังดีที่ในถุงเก็บของมีวัตถุที่เขาฮุบมาตอนเป็นผู้บังคับกองหมื่นในกำแพงเมืองเหลืออีกไม่น้อย แม้ว่าจะไม่สามารถเพิ่มตบะของเขาได้สูงนัก แต่เอ็นคงกระพันของเขาก็ฝึกเกือบจะสำเร็จแล้ว ตามการคำนวณของป๋ายเสี่ยวฉุน วัตถุที่เป็นยาเหล่านี้ของตนน่าจะพอประคับประคองให้ตนฝึกได้ถึงเอ็นคงกระพันขั้นสมบูรณ์แบบได้
“ก่อนหน้าที่จะเข้าไปในพื้นที่บรรพชน เอ็นคงกระพันของข้าต้องฝึกสำเร็จเสียก่อน ต้องสัมผัสถึงพันธนาการขั้นที่สาม…เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตน้อยๆ ของข้าจะได้ยิ่งปลอดภัย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นอกจากนี้ ขณะที่ฝึกบำเพ็ญตบะ เขาก็เอาร่มราตรีนิรันดร์ของตัวเองออกมาหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งด้วย
ร่มราตรีนิรันดร์ที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งลักษณะได้เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะยังมีรูปร่างเป็นร่มเหมือนเดิม แต่มองดูแล้วกลับเหมือนวัตถุที่เป็นโลหะ ไม่เพียงแต่มีสีดำสนิทตลอดทั้งคัน ยังมีปราณดุร้ายเข้มข้นแผ่ออกมา แม้แต่ผ้าของตัวร่มก็ยังกลายมาเป็นโลหะ และใบหน้าผีบนนั้นก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นดุร้ายชวนขนหัวลุกมากกว่าเดิม!
“น่าเสียดายที่ขาดวิญญาณไป…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หากเขามีวิญญาณมากพอ เขาก็แทบอยากจะหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งให้กับเสื้อผ้าของตัวเองไปด้วยเสียเลย แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถทำได้
เพราะอย่างไรซะเขาก็ยังจำเป็นต้องใช้วิญญาณไปทดลองหลอมไฟสิบสองสี ความสิ้นเปลืองประเภทนี้ต่อให้เขาส่งร่างจำแลงทั้งหมดออกไปค้นหาทั่วด้านอย่างลับๆ บวกกับมีโจวอีซิงและหลี่เฟิงช่วยก็ยังแค่พอเอามาให้ใช้อย่างกล้อมแกล้มเท่านั้น
เพราะต่อให้เอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนไปขายก็ยังไม่เพียงพอกับการเผาผลาญของป๋ายเสี่ยวฉุน…
ยังดีที่เนื่องจากได้ข้อฉุกคิดมาจากบันทึกของป๋ายฮ่าว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเข้าใจการหลอมไฟสิบสองสีมากขึ้นกว่าเดิม มิฉะนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงต้องเอายาวิญญาณไปขายตามที่วางแผนไว้ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นอกจากฝึกบำเพ็ญตบะแล้ว
ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนยังวิจัยตำรับการหลอมไฟสิบสองสีไปด้วย
เพราะวิญญาณมีไม่มาก เขาจึงไม่กล้าเอามาทดลองใช้ง่ายๆ ทำได้เพียงอนุมานอยู่ในสมองของตัวเอง หลังจากแน่ใจแล้วว่าตนมีความมั่นใจมากพอและจำเป็นต้องทดลองปฏิบัติจริง เขาถึงจะลงมือหลอม
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน วิชาอมตะมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันการอนุมานเกี่ยวกับไฟสิบสองสีในสมองของเขาก็มาถึงจุดคอขวดอันเป็นอุปสรรค
“ดูท่าคงต้องทดลองหลอมดูสักครั้งแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจเข้าออกหนักๆ มองสถูปวิญญาณของตัวเองหนึ่งครั้ง วิญญาณพยาบาทที่อยู่ด้านในสถูปนี้มีมากพอให้เขาหลอมไฟได้สามครั้งเท่านั้น
คิดหนักอยู่พักใหญ่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจได้ หลังจากที่ให้หน้ากากของตัวเองอำพรางปราณของไฟหลายสีเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มหลอมไฟ เมื่อวิญญาณพยาบาทแต่ละดวงบินออกมา เปลวเพลิงกลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มจากหนึ่งสีขึ้นมาเป็นสิบเอ็ดสีอย่างรวดเร็ว และนั่นก็มาถึงช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มตึงเครียด
เขากังวลมากว่าจะทำล้มเหลว หากล้มเหลวเมื่อไหร่ ความเสียหายก็มากมหาศาล ยามนี้จึงรวบรวมสมาธิให้ตัวเองสงบลง ก่อนที่เขาจะทดลองหลอมไฟสิบสองสีอย่างระมัดระวัง
เมื่อวิญญาณพยาบาทจำนวนมากถูกผสานรวมเข้าไปในไฟสิบเอ็ดสีอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเคร่งเครียด ความเร็วจึงเริ่มช้าลงตามไปด้วย อีกทั้งหลังจากที่เขารู้สึกว่าจิตใจของตัวเองไม่สามารถประคับประคองได้ไหวจนทำเปลวไฟเริ่มส่ายไหวไม่มั่นคงและมีลางเหมือนจะมอดดับ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบแยกร่างจำแลงออกมาหนึ่งร่าง ก่อนจะร่วมแรงร่วมใจเริ่มหลอมไฟไปพร้อมกับร่างจำแลง
ให้ร่างจำแลงของตัวเองมาช่วยก็คือวิธีการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดขึ้นมาได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งเขายังค้นพบว่าหากใช้ร่างจำแลงสองร่างจะเกินความจำเป็น เพราะอย่างไรซะการทำเช่นนี้ก็เรียกว่าหนึ่งใจใช้สองอยู่แล้ว ดังนั้นร่างจำแลงหนึ่งร่างจึงถือว่ากำลังพอเหมาะพอดี
ยามนี้เมื่ออยู่ภายใต้ความช่วยเหลือจากร่างจำแลง การผสานรวมกับไฟสิบเอ็ดสีของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมั่นคงขึ้น หลังจากเวลาผันผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนทำตามขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้น ทะเลเพลิงที่แผ่ออกไปรอบด้านจึงมีสีปรากฏเป็นสิบสองสีแล้ว
“ป๋ายฮ่าวพูดถูกแล้ว ไฟเป็นเพียงแค่ภาพที่ปรากฏในใจอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ดำรงอยู่จริง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงทั้งดีใจ หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็เข้าใจว่าตอนนี้ถือว่าตนใกล้จะทำสำเร็จแล้ว แค่เขาต้องการ ทะเลไฟผืนนี้ก็สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นยาวิญญาณระดับกลางสองส่วนได้เลย และขอแค่เขารวมทะเลไฟผืนนี้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันก็ถือว่าเขาทำตามขั้นตอนสุดท้าย สร้างไฟได้สำเร็จ!
แม้แต่เขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าการหลอมไฟสิบสองสีครั้งนี้ของตนจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ไม่นึกว่าหลอมครั้งเดียวก็จะสำเร็จเลย
“ฮ่าๆ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมกับเป็นคนมีพรสวรรค์จริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น มือขวาพลันหุบเข้าหากัน หมายจะรวมทะเลเพลิงผืนนี้ให้กลายมาเป็นไฟสิบสองสี
ทว่าตอนนี้เอง เรื่องไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้น!
ขณะที่ทะเลเพลิงกำลังหดตัวเข้าไปนั้นมันกลับเดือดปะทุพลุ่งพล่าน แล้วก็ตามมาด้วยปราณน่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งที่คล้ายจะระเบิดออกมาจากข้างในและจะกลายมาเป็นลมพายุที่หมุนทำลายแปดทิศให้วอดวาย ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ขวัญแทบจะบินหนีกระเจิดกระเจิง
นี่คือไฟสิบสองสีเชียวนะ หากระเบิดออกมาเมื่อไหร่ต้องสะเทือนเลือนลั่นปฐพีแน่นอน ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนกรีดร้องเสียงแหลม หากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณคนอื่น ต่อให้เป็นขั้นสีเหลืองก็ยังไม่สามารถยับยั้งได้ทัน แต่ยังดีที่หลายปีมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญด้านการระวังภัยในเรื่องทำนองเดียวกันกับเตาหลอมยาระเบิดเป็นอย่างดี
ในสายตาของเขาเรื่องแบบนี้จึงเหมือนกับเรื่องเตาหลอมยาระเบิด ถึงแม้เขาจะอกสั่นขวัญแขวน ทว่ากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว มือขวาจึงพลันคลายออก เมื่อทำมุทราไอความเย็นจึงแผ่ออกมาระงับทะเลเพลิงสิบสองสีที่ไม่มั่นคงนี้
ในที่สุดการยับยั้งนี้ก็สามารถระงับการพังทลายของทะเลเพลิงเอาไว้ได้ จนกระทั่งเปลวไฟค่อยๆ มอดดับ และเหลือปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงยาวิญญาณระดับกลางสองส่วนที่มีประกายแสงแวววาว
หากคนอื่นๆ ได้เห็นยาวิญญาณระดับกลางสองส่วนนี่ต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหน้าตาบูดบึ้ง เหม่อมองยาวิญญาณระดับกลางสองก้อนที่อยู่ในมือด้วยความห่อเหี่ยวอย่างสุดซึ้ง
“ข้าไม่ต้องการยา ข้าต้องการไฟนี่นา…ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนทึ้งผมของตัวเองอย่างแรง ย้อนนึกถึงขั้นตอนทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดนี่นา
แต่เหตุใดสุดท้ายมันถึงกลายมาเป็นยา ไม่กลายมาเป็นไฟ…โดยเฉพาะนึกถึงพลังน่าหวาดกลัวที่ส่งออกมาจากในทะเลเพลิงสิบสองสีก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวาดผวาไม่คลาย
“หรือว่า…นิสัยที่เวลาหลอมยาต้องเกิดเรื่องผิดปกติของข้า…จะเกิดขึ้นตอนที่ข้าหลอมไฟด้วย?” ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นเยือก เบิกตากว้าง ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็มองสถูปวิญญาณด้วยอาการคิดไม่ตก กำลังใคร่ครวญว่าตนควรจะทดลองหลอมต่อไปเพื่อให้แน่ใจในจุดที่ตัวเองทำผิดพลาดดีหรือไม่
จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่เขาก็กัดฟัน หยิบเอาวิญญาณพยาบาทออกมาอีกครั้งและเริ่มหลอม จนกระทั่งหลอมมาถึงไฟสิบเอ็ดสี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มลังเล
“อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตาหนึ่งครั้ง เก็บร่างจำแลงและไฟสิบเอ็ดสีมา คว้าสถูปวิญญาณได้ก็เดินออกไปข้างนอกทันที คราวนี้เขาไม่ได้เลือกอยู่ที่เขตเหนือ แต่ฉวยโอกาสตอนที่ฟ้ามืดแอบย่องไปที่เขตตะวันออก
“ต่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่นี่ข้าก็ไม่กระวนกระวายใจ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะหาภูเขาจำลองที่ไม่มีคนสนใจแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก หลังจากจัดที่จัดทางตรงจุดนั้นเรียบร้อยแล้วเขาก็วางค่ายกล จากนั้นจึงสูดลมหายใจลึก หยิบเอาไฟสิบเอ็ดสีออกมาอย่างระมัดระวัง แยกร่างจำแลงออกมาหนึ่งร่าง ก่อนจะร่วมกันแอบหลอมไฟสิบสองสี
ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกเงียบสงัดไร้ผู้คน อีกทั้งพลานุภาพสยบของไฟหลายสีก็ถูกพลังของหน้ากากช่วยอำพรางเอาไว้ ทำให้ต่อให้คนนอกมายืนอยู่ข้างภูเขาจำลองก็ยังยากจะสัมผัสได้จึงไม่มีใครรู้ว่าบัดนี้ในภูเขาจำลองลูกนี้กำลังมีพลังงานอะไรก่อตัวอยู่…
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างมาก ร่างจำแลงของเขาก็มีเหงื่อไหลหยดลงมาตรงหน้าผากเช่นกัน ภายใต้การร่วมมือกันนี้ ตอนแรกเริ่มทุกอย่างยังราบรื่นดี จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อในทะเลเพลิงที่แผ่ออกไปมีสิบสองสีปรากฏ ขอแค่รวมเข้าเป็นกลุ่มเดียวกันก็จะกลายเป็นไฟได้สำเร็จ ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มชะงักค้าง
“ครั้งนี้น่าจะได้แล้วกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความคาดหวัง ค่อยๆ หุบทะเลเพลิงสิบสองสีเข้ามารวมกันอยู่กลางฝ่ามือช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง
ทว่าตอนนี้เอง ทันใดนั้นในทะเลเพลิงผืนนี้ก็มีคลื่นของความไม่มั่นคงที่เหมือนจะระเบิดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พลังงานที่พลุ่งพล่านระลอกหนึ่งพลันแผ่ซ่านออกมาจากด้านในคล้ายจะก่อตัวเป็นพายุบ้าคลั่ง ความรู้สึกถึงวิกฤตอันรุนแรงก่อเกิดขึ้นมาในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเกือบจะหลุดเสียงหวีดร้อง คิดจะปรับแก้ไข ทว่าความพลุ่งพล่านครั้งนี้ดุเดือดเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ไปปรับแก้มันยังพอว่า พอปรับแก้อย่างนี้ทะเลเพลิงผืนนั้นก็พลันพกพาเอาความบ้าคลั่งประหนึ่งจะทำลายล้างทุกอย่างให้วอดวายสาดกระจายไปทั่วด้านพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องพร้อมความรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด หลังจากถอยกรูดออกห่างไปหนึ่งก้าวก็ร่ายใช้พลังผนึกมิวางวาย ร่างกายพลันสลายตัวแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย และวินาทีที่เขาหายตัวไปนั้น ทะเลเพลิงก็พลันระเบิดตูมตาม กลบทับพื้นที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ไปจนมิด แม้แต่ภูเขาจำลองรวมไปถึงทุกอย่างที่อยู่รอบด้านก็ถูกกลืนกินไปหมด
การเขมือบกลืนนี้แปลกประหลาดอย่างมาก พริบตาเดียวทะเลเพลิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าที่ตามมาติดๆ คือบนท้องฟ้าเหนือตระกูลป๋าย ท้องฟ้ารัตติกาลที่เดิมทีเป็นสีดำมืดกลับกลายมาเป็นสีแดงคล้ายมีชั้นเมฆสีชาดจำนวนนับไม่ถ้วนทับซ้อนเข้าด้วยกัน ทำเอาคนตระกูลป๋ายตกใจโกลาหล ยังไม่ทันรอให้คนตระกูลป๋ายตั้งตัวได้ทัน ในชั้นเมฆนั้นก็มีเสียงฟ้าผ่าครืนๆ ดังลอยมา ตามมาติดๆ ด้วยภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนตะลึงลานระคนหวาดผวา!
ฝนไฟเป็นเม็ดๆ ตกกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า!