บทที่ 595 ต้องข่มอารมณ์
ขณะที่คำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายดังออกมาและสะท้อนไปรอบด้าน คนตระกูลป๋ายที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินรอบประตูหินของศาลบรรพชนล้วนพากันทำท่าครุ่นคิด การทดสอบนี้ของผู้อาวุโสใหญ่ล้ำลึกอย่างมาก…
เพราะว่าไม่มีคำตอบที่แท้จริง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคำตอบจึงต้องยิ่งอาศัยพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิตของแต่ละคน และยิ่งเป็นการทดสอบความสามารถในการทำความเข้าใจของทุกคนอีกด้วย
อีกทั้งคำถามข้อนี้ยังแฝงเร้นไว้ด้วยความรู้ด้านการหลอมไฟ การหลอมยาวิญญาณ ซึ่งจากความเชี่ยวชาญที่ต่างกันของแต่ละคนก็จะมีคำตอบที่ต่างกันออกไป มองดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด
และเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสใหญ่คนนี้พูด หากแม้แต่จินตนการก็ยังไม่กล้าทำ แล้วจะมีวันที่ทำสำเร็จจริงได้อย่างไร จินตนาการเช่นนี้เมื่อพูดจากความหมายบางประการแล้วสามารถมองเป็นวิถีของแต่ละคนได้เลย!
ไม่เพียงแต่คนตระกูลป๋ายที่อยู่โดยรอบเท่านั้นที่ครุ่นคิดเงียบๆ แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ รวมไปถึงประมุขตระกูลป๋ายที่อยู่ข้างกายผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังเผยสีหน้าขบคิดเพราะคำถามข้อนี้
ต่อให้เป็นทูตของอีกสองตระกูลรวมถึงคนที่นครผียักษ์ส่งมาก็ยังมีท่าทีไม่ต่างกัน แต่ละคนจมจ่อมอยู่กับการคิดวิเคราะห์ ขณะเดียวกันคำถามข้อนี้ก็ทำให้มองออกว่าพรสวรรค์ในด้านการหลอมพลังจิตของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายท่านนี้ได้บรรลุไปถึงระดับที่สูงมากแล้ว
ไม่มีใครเอ่ยคำใด นอกประตูหินของศาลบรรพชนยามนี้เงียบสงัดจนแม้แต่เข็มร่วงก็ยังได้ยิน คนแทบทุกคนต่างก็ครุ่นคิดถึงคำตอบอยู่ในสมอง การทดสอบเช่นนี้ในงานเลี้ยงเซ่นไหว้บรรพชนเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของตระกูลป๋ายไปแล้ว
เดิมทีการทดสอบนี้ต้องให้ทุกคนตอบคำถาม ทว่าตระกูลป๋ายมีคนมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถเรียกให้ทุกคนตอบได้
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสายต่างๆ จึงจะเป็นตัวแทนในการตอบคำถาม ซึ่งระหว่างพวกเขาเองก็ยังมีการแก่งแย่งชิงดีกันเองด้วย
เรื่องนี้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลป๋ายย่อมรู้อยู่แล้ว ทว่าพวกเขากลับสนับสนุนให้มีการแข่งขันเช่นนี้ ขอแค่ควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นการแก่งแย่งกันในตระกูลก็คือวิธีที่ดีที่สุดที่สามารถรับประกันได้ว่าสายเลือดของตระกูลจะเดือดพล่านไปได้อีกนานเท่านาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตาไปมา คำถามข้อนี้สำหรับคนอื่นแล้วตอบได้ยาก เพราะรู้สึกว่าไม่มีคำตอบที่แท้จริง ทว่าสำหรับเขาแล้วกลับ…ง่ายยิ่งนัก
เพราะอย่างไรซะตอนอยู่ในสถานที่ประลองของเขาวงกตเขาก็เคยหลอมพลังจิตยี่สิบกว่าครั้งด้วยมือของตัวเอง แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่สามารถหลอมได้ถึงสามสิบครั้ง แต่กลับพอจะมองออกได้ถึงเส้นสนกลใน
“เรื่องนี้ หากข้าเป็นคนตอบเดี๋ยวก็จะหาว่าโกงอีกกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบไอแห้งๆ หนึ่งที ทำท่าอยากจะลองตอบ แต่ก็คิดได้ว่าหากตนเปิดเผยโจ่งแจ้งเกินไป แม้ว่าการโกงจะเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้กลับไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทำไมจะต้องไปจุดประกายความคิดให้คนอื่นด้วย
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็หาวต่อไป หดหัวลงทำเป็นไม่ได้ยิน
ผ่านไปพักใหญ่ สายตาของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายก็กวาดตามองไปยังคนตระกูลป๋ายที่อยู่รอบด้านด้วยใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเนิบนาบ
“ใครจะเป็นคนตอบก่อน?”
หลังจากความเงียบในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผ่านพ้นไป ทันใดนั้นสายหลักของตระกูลป๋าย ดวงตาของชายหนุ่มที่มักจะติดตามอยู่ข้างกายป๋ายฉีเป็นประจำก็ลุกเรือง เห็นว่าคนอื่นๆ ต่างไม่เอ่ยคำใด เขาจึงผุดลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
“ข้าผู้น้อยป๋ายลี่ต้องการตอบคำถามข้อนี้” คำพูดของเขาดังออกมา สายตาของทุกคนในตระกูลป๋ายก็พลันหันมามองเขา หลังจากจำคนผู้นี้ได้ บางคนก็แสดงความหยามหยัน บ้างก็อิจฉา บ้างก็ซับซ้อน บ้างก็เย็นชา มีหมดทุกรูปแบบ
พวกผู้อาวุโสก็กวาดสายตามามอง มีทั้งสายตาเรียบเฉย มีทั้งที่เผยแววให้กำลังใจ แม้แต่ประมุขตระกูลป๋ายเองก็ยังพยักหน้ารับอย่างนิ่งสงบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่ตามอง อยากรู้มากว่าคนผู้นี้จะตอบว่าอย่างไร
เห็นว่าตนเป็นที่จับจ้องของสายตานับหมื่น ชายหนุ่มคนนั้นก็มีท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก รู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่ตนจะได้ลืมตาอ้าปากแล้ว อย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลยิ่งให้ความสนใจตนมากขึ้น ดังนั้นจึงกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“ตามความเห็นของข้าผู้น้อย หากขนนกชิ้นนั้นหลอมพลังจิตครบสามสิบครั้ง มันน่าจะสามารถกลายมาเป็นอาวุธล้ำค่าชิ้นหนึ่ง จะบอกว่าเป็นวัตถุล้ำค่าแห่งฟ้าดินก็ยังไม่มากเกินไป!” ชายหนุ่มผู้นี้กล่าวจบก็หันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมาย
ทว่ายังไม่ทันรอให้ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายตอบรับ รอบด้านก็มีเสียงหัวเราะครืนดังลอยมา ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ถึงกับส่ายหัว ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความดูถูก
“ตอบอย่างนี้ก็เหมือนไม่ได้ตอบ”
“ต่อให้เป็นวัตถุธรรมดาแค่ไหนเมื่อผ่านการหลอมพลังจิตสามสิบครั้ง คนปัญญาอ่อนก็ยังรู้ว่ามันต้องกลายมาเป็นอาวุธล้ำค่า”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีสีหน้าปั้นยาก กวาดตามองชายหนุ่มผู้นั้นราวกับคนโง่ ชายหนุ่มผู้นี้เองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงหัวเราะจากคนในตระกูลเช่นกัน ใบหน้าของเขาจึงเริ่มแดงก่ำ
“มีความกล้าหาญน่าชื่นชม” ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายยิ้มรับ ไม่ได้เอ่ยวิจารณ์ แต่ย้ายสายตาไปมองรอบด้าน
“ยังมีคนอื่นอยากจะตอบอีกไหม?”
ป๋ายลี่นั่งลงด้วยความกระดากอาย ประดักประเดิดอย่างมาก เขาเองก็รู้ว่าคำตอบของตนออกจะฉาบฉวยไปหน่อย แต่พอนึกว่าในที่สุดตนก็ได้โอกาสมีหน้ามีตา ดังนั้นพอชั่งน้ำหนักดูจึงคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเริ่มเปลี่ยนมารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองแทน
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ หลังจากที่ขนนกผ่านการหลอมพลังจิตสามสิบครั้ง น่าจะมีขนาดใหญ่มหึมาจนสามารถบังดวงอาทิตย์ได้!” หลังจากที่ป๋ายลี่นั่งลง เพราะว่ามีเขาเป็นคนเปิดประเด็น คนอื่นๆ ในตระกูลจึงทยอยกันลุกขึ้นพูดบ้าง
“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้ารู้สึกว่าขนนกสามารถเปลี่ยนมาเป็นพัดขนนกเล่มหนึ่งที่สามารถพัดให้ฟ้าดินสั่นคลอนได้!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ ตามการวิเคราะห์ของข้า ขนนกชิ้นนี้พอหลอมพลังจิตสามสิบครั้งไม่แน่ว่าอาจกลายมาเป็นกระบี่ขนนกที่สยบสี่ทิศ!”
“ก็ไม่แน่นะ ผู้อาวุโสใหญ่ ข้ารู้สึกว่าขนนกนี้สามารถนาบประทับลงบนร่างของคนทำให้กลายมาเป็นปีก!” คำตอบมากมายทยอยกันดังออกมาจากปากของทุกคนในตระกูล มากมายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าคำตอบแบบไหนก็มีหมด พวกผู้อาวุโสในตระกูลพากันอมยิ้ม หากคิดว่าคำตอบนั้นถูกต้องก็จะพยักหน้ารับ ทว่าส่วนใหญ่แล้วกลับเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายที่เป็นคนตั้งคำถามนี้กลับมีสีหน้าเป็นปกติไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ทั้งเหมือนว่าเขาล้วนคิดตามคำตอบของทุกคน แต่ก็ทั้งเหมือนว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไหร่นัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังคำตอบของทุกคนก็เกือบจะอดพูดแก้ไม่ไหวอยู่หลายครั้ง อยากให้พวกเขาได้รู้ความร้ายกาจของตนซะบ้าง เรื่องความมีหน้ามีตาเช่นนี้ เขาชอบทำมากเป็นพิเศษ เพียงแต่ทุกครั้งก็ได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้
“ต้องอดทน ไม่มีประโยชน์ จะไม่ทำเด็ดขาด!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ป๋ายเหลยแห่งตระกูลป๋ายที่ถูกขนานนามให้เป็นสองผู้โดดเด่นเคียงบ่ามากับป๋ายฉีก็พลันลุกขึ้นยืน
พอเขาลุกขึ้น รอบด้านจึงพากันเงียบกริบ สายตาแต่ละเส้นจับจ้องมองมา ขณะเดียวกันป๋ายฉีเองก็หรี่ตามองนิ่งมายังป๋ายเหลย
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ทูตจากสองตระกูลใหญ่และคนที่มาจากนครผียักษ์ต่างก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนรู้จักชื่อเสียงของป๋ายเหลยในตระกูลป๋ายเป็นอย่างดี
“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าผู้น้อยไม่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิตมากนัก อาศัยแค่เพียงความเข้าใจก็ยากจะเดาได้ว่าขนนกนี้เมื่อหลอมพลังจิตสามสิบครั้งจะเกิดอะไรขึ้น ทว่าในเมื่อนี่เป็นเพียงจินตนาการ ถ้าเช่นนั้นในความคิดของข้าผู้น้อย หลังจากที่ผ่านการหลอมพลังจิตสามสิบครั้ง ไม่แน่ว่าขนนกนี้อาจจะมีวิญญาณเป็นของตัวเอง กลายมาเป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนกับวิญญาณไฟ วิญญาณไม้ บางทีมันอาจจะกลายมาเป็นวิญญาณขนนก?” คำพูดของป๋ายเหลยดังออกมาทุกคนที่อยู่รอบด้านก็พากันอึ้งงัน จากนั้นก็มีคนไม่น้อยที่แสดงความประทับใจออกมาทางสีหน้า
ดวงตาของผู้อาวุโสในตระกูลก็โชนแสงคมกล้า ตอนที่มองมายังป๋ายเหลย ใบหน้าของแต่ละคนล้วนมีรอยยิ้ม แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายเองที่พอได้ยินคำตอบนี้ก็ยังพยักหน้ารับเป็นครั้งแรก!
การพยักหน้าของเขาทำให้คนทั้งตระกูลป๋ายยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงดังกระหึ่มขึ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนก็หันมามองป๋ายเหลยอยู่หลายที ถึงแม้คำตอบว่าวิญญาณขนนกนี้จะยังไม่ถูกต้อง ทว่ากลับใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อผ่านการหลอมพลังจิตยี่สิบครั้ง
เมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนตระกูลป๋ายดังขึ้นก็เริ่มมีคนไม่น้อยที่พูดคำตอบของตัวเองออกมา แต่เมื่อเทียบกับของป๋ายเหลยแล้ว หากไม่เพราะสู้ไม่ได้ก็เห็นได้ชัดว่าใช้คำตอบของเขาเป็นพื้นฐาน พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนมากประสบการณ์ มีหรือที่จะฟังไม่ออก
จนกระทั่งคุณหนูห้าผู้นั้นก็ลุกขึ้นแล้วพูดคำตอบอีกอย่างหนึ่งถึงได้ดึงดูดความสนใจจากทุกคนอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้ารู้สึกว่า…มันจะกลายมาเป็นสายรุ้งผืนหนึ่ง ข้ารู้ว่าสายรุ้งกับขนนกไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันจะกลายมาเป็นสายรุ้ง” คุณหนูห้าเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากกล่าวจบก็นั่งลง คราวนี้ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายไม่ได้พยักหน้ารับ แต่เปิดปากวิจารณ์พร้อมอมยิ้มเป็นครั้งแรก
“ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ คำตอบของเจ้าก็อาจจะถูกต้อง” กล่าวจบผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายคนนี้ก็ย้ายสายตามาไว้ที่ตัวของป๋ายฉี เขาอยากรู้มากกว่าผู้เป็นความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของตระกูลป๋ายผู้นี้จะมีคำตอบเช่นไร
ยามนี้ไม่ใช่แค่เขาที่หันมามองป๋ายฉี พวกผู้อาวุโสที่อยู่รอบด้าน และยังมีคนในตระกูลอีกหลายคนก็ต่างก็หันมามองป๋ายฉี เพราะอย่างไรซะตัวตนของป๋ายฉีก็สูงส่ง ตอนนี้มีคนมากมายตอบคำถามไปแล้ว แล้วคำตอบของเขาเล่าจะเป็นเช่นไร
ท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน ป๋ายฉียิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน หลังจากคารวะผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายไปแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาก็ฉายแสงคมกริบคล้ายเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ในดวงตาของฮูหยินไช่เผยความภาคภูมิใจ และยังมีประมุขตระกูลป๋ายที่ตอนนี้เผยความรอคอยออกมาทางสีหน้า ตอนที่หันมองป๋ายฉี นัยน์ตาของเขาอ่อนโยน แตกต่างไปจากสายตาที่ใช้มองป๋ายฮ่าวอย่างสิ้นเชิง
“คำตอบของน้องห้าและน้องเหลยล้วนเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ข้าตอบช้าอาจจะดูบังเอิญไปเสียหน่อย ขอทุกท่านอย่าได้ถือสา การหลอมพลังจิตคือรากฐานของระบบในแดนทุรกันดารเรา การเปลี่ยนแปลงนั้นมีมากเกินไป หลังจากผ่านการหลอมยี่สิบครั้ง บางทีอาจกลายมาเป็นวัตถุที่เหมือนสายรุ้ง และก็อาจกลายมาเป็นวิญญาณขนนกได้จริง ทว่าย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงหลังครั้งที่สามสิบแน่นอน!” ป๋ายฉีในยามนี้เหมือนจะมีชีวิตชีวาสดใส ตลอดทั้งร่างแผ่ความมีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุดออกมา เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น แค่พลังอำนาจของเขาคนเดียวก็ข่มทับคนมากมายในตระกูลเดียวกัน
“หลังจากการหลอมสามสิบครั้ง ไม่พูดว่าแน่นอน แต่ข้ามั่นใจถึงแปดส่วนว่ามันสามารถเปลี่ยนมาเป็นนกที่มีชีวิตตัวหนึ่ง คือหงส์ที่โบยบินขึ้นสู่เก้าชั้นฟ้า คือผู้นำแห่งนกนับหมื่น!”