Skip to content

A Will Eternal 672

บทที่ 672 ป้ายศิลาจักรพรรดิหมิงเขย่าคลอน

หากพูดถึงก่อกำเนิดที่ยังไม่ได้หลอมพลังจิต เป็นเพียงแค่ทารกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เมื่อผ่านการหลอมพลังจิตหนึ่งครั้งก็เหมือนว่าทารกนี้ได้เติบโตขึ้นมาอีกนิด

และภายนอกนั้น พลังของก่อกำเนิดนี้จะเข้มข้นกว่าก่อนหน้าอีกไม่น้อย ถึงขั้นที่ว่าแม้ไอความเย็นรอบด้านจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหนาวสะท้าน แต่เห็นได้ชัดว่าความเย็นนั้นลดระดับลงกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก

อารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ ดูเหมือนว่าการเติบโตของทารกก่อกำเนิดนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อตนต้องปิดด่านฝึกตบะไปพักใหญ่ อีกทั้งยังต้องมีสุดยอดวิชาการฝึกตน เข้าฌานทำสมาธิอย่างต่อเนื่องถึงจะได้

ทว่าตอนนี้เพียงแค่การหลอมพลังจิตครั้งเดียว…ก็ทำได้แล้ว!

ป๋ายเสี่ยวฉุนอดนึกไปถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่พลังฟ้าดินกรอกเข้ามาในทารกก่อกำเนิด ก่อนที่พลังนั้นจะระเบิดออกจากในร่างทารกของเขาไม่ได้ นั่นทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ เป็นประกายฉายความตื่นเต้น

“นี่ถือเป็นวิชาลับที่เพิ่มความเร็วของการฝึกฝนได้อย่างแท้จริง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเม้มปากยิ้ม ในสมองมีภาพตอนที่ตนเพิ่งมาถึงแดนทุรกันดารแล้วได้ยินเรื่องข่าวการสืบทอดของจักรพรรดิหมิงเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นทำให้ตนได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการหลอมพลังจิตตัวอ่อนก่อกำเนิดนี้

“หากสามารถหลอมทารกก่อกำเนิดของตนได้สิบห้าครั้งก็สามารถฝ่าทะลุสู่ก่อกำเนิดช่วงต้น เหยียบเข้าสู่ก่อกำเนิดช่วงกลาง หลอมพลังจิตสิบแปดครั้งก็เหยียบเข้าสู่ก่อกำเนิดช่วงท้าย หลังจากยี่สิบครั้งก็คือก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในตำนานที่บอกว่าหากหลอมพลังจิตตัวอ่อนก่อกำเนิดได้ยี่สิบเอ็ดครั้งก็จะกลายมาเป็นคนฟ้าได้โดยตรง…ไม่มีทางที่จะล้มเหลว!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันฮึกเหิม ครุ่นคิดว่าดูเหมือนจำนวนของการหลอมก่อกำเนิดจะไม่ค่อยเหมือนกับการหลอมพลังจิตที่ตัวเองเคยทดลองทำในสถานที่ประลองของตำหนักใต้ดินเท่าใดนัก แต่คิดๆ ดูแล้วอย่างไรซะการก่อกำเนิดก็พิเศษ ยามนี้เขาจึงก้มหน้าลงมองไฟสองสีถึงไฟสิบสี่สีที่อยู่ข้างกาย และก็เหมือนจะมองเห็นว่าอีกไม่นานตนจะสามารถเดินไปสู่เส้นทางสายใหญ่ที่กว้างขวางซึ่งจะพาให้เขาบรรลุถึงจุดสุดยอดของก่อกำเนิดขั้นต้น

เขาหันไปมองหม้อลายกระดองเต่าอีกครั้ง ในใจบังเกิดความลังเล หลังจากที่นึกได้ว่าอัตราความสำเร็จในการหลอมพลังจิตของหม้อลายกระดองเต่าไม่มีทางล้มเหลว ความลังเลจึงหายไป นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยวทันที

“ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน หากไม่ลองดู ข้าก็คงตัดใจไม่ลง” ทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งตัวกลับเข้าไปในหม้อลายกระดองเต่าแล้วทำมุทราชี้ไปที่ไฟสองสี ก่อนจะเริ่มหลอมพลังจิตอีกครั้ง

ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังจมจ่อมอยู่กับการหลอมพลังจิตไม่รู้ว่า การหลอมทารกก่อกำเนิดของเขาครั้งนี้คือการกระทำที่เขย่าคลอนฟ้าดินของแดนทุรกันดารให้สั่นสะเทือน!

ช่วงเวลาเดียวกัน ในแถบจุดศูนย์กลางของแดนทุรกันดารที่ห่างจากนครผียักษ์ไปไกลมาก ที่นั่นมี…มหานครยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่านครผียักษ์หลายต่อหลายเท่า!

ความใหญ่ของมหานครนี้แทบจะเป็นการนำนครผียักษ์หลายสิบแห่งมารวมกัน ตลอดทั้งเมืองเป็นสีทองอร่าม แผ่ประกายแห่งความสูงศักดิ์อย่างที่บรรยายไม่ได้ ราวกับว่ามันเชื่อมโยงเข้ากับนภากาศ ทำให้กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าของเมืองแห่งนี้เหมือนมีมังกรยักษ์หลายตัวที่กำลังว่ายเวียนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ บางครั้งก็ก้มหน้าลงมองมาด้านล่างสร้างความหวาดกลัวยำเกรงให้แก่ผู้คน

นครแห่งนี้ก็คือนครที่สำคัญที่สุดของแดนทุรกันดารอย่าง…นครจักรพรรดิ!

และฝั่งตะวันออกของนครจักรพรรดิก็มีลานกว้างมโหฬารที่กินเนื้อที่นับหมื่นจั้ง ตรงกลางของลานกว้างแห่งนี้มีป้ายศิลาขนาดสูงพอเก้าร้อยจั้งตั้งอยู่ ตลอดทั้งป้ายเป็นสีเขียวซึ่งส่องประกายแสงอ่อนโยน

ดูเหมือนแสงนี้จะไม่มีทางมืดสลัวเพราะเวทอภินิหารใดๆ ราวกับว่าต่อให้ฟ้าดินดับสลาย แสงนี้ก็ไม่มีทางดับตามไปด้วย อีกทั้งหากอาบไล้อยู่ใต้แสงนี้เป็นเวลานานยังช่วยในด้านการฝึกบำเพ็ญตบะ และตอนนี้บนป้ายศิลาก็มีชื่อปรากฏขึ้นมาแล้วเจ็ดสิบแปดสิบชื่อ!

ชื่อเหล่านี้ล้วนเด่นชัด ทุกชื่อต่างเป็นตัวแทนของผู้กล้าอันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจ แต่ละคนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนทุรกันดาร อาจไม่ถึงกับไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง

ป้ายศิลาแห่งนี้ก็คือศิลาจักรพรรดิหมิง ชื่อบนป้ายนี้…ก็คือชื่อของผู้ที่ติดการคัดเลือกให้เป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิง!

เมื่อระยะเวลาการรับผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงสิ้นสุดลง คนที่อยู่อันดับหนึ่งบนป้ายศิลาแห่งนี้ก็จะได้เป็น…ผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิง เรื่องนี้ครึกโครมไปทั่วแดนทุรกันดารนานแล้ว ดังนั้นชื่อที่อยู่ด้านบนก็ย่อมถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนจับตามองด้วยความสนใจ

ยามนี้ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งมีนามว่ากงซุนอี้ เลขที่ระบุไว้ด้านหลังชื่อของคนผู้นี้คือ…เจ็ด!

นี่หมายความว่าการหลอมพลังจิตให้กับทารกก่อกำเนิดของเขาดำเนินไปได้ถึงเจ็ดครั้งแล้ว!

หลอมพลังจิตทารกก่อกำเนิดเจ็ดครั้งแต่ไม่ตาย เดิมทีนี่ก็คือว่าเป็นเรื่องฝืนชะตาฟ้ามากแล้ว มากพอจะสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับคนเหลือคณนา ส่วนคนที่อยู่อันดับสองมีนามว่าโจวหง คนผู้นี้หลอมพลังจิตทารกก่อกำเนิดได้หกครั้ง!

อันดับที่สามคือห้าครั้ง ถัดมาจากนั้นจำนวนก็น้อยลงเรื่อยๆ หลังจากสิบอันดับแรกลงไปล้วนมีแค่หนึ่งครั้ง…

หากไม่มีข้อผิดพลาด ผู้สืบทอดของจักรพรรดิต้องเป็นกงซุนอี้ผู้นั้นแน่นอน เพราะอย่างไรซะโจวหงผู้นี้ก็คงไม่กล้าหลอมพลังจิตครั้งที่เจ็ดแล้ว เพราะไม่เพียงแต่อัตราความสำเร็จมีน้อย อีกทั้งหากล้มเหลวขึ้นมา ค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายก็คือความตาย

และก็เพราะการจัดอันดับบนป้ายศิลาจักรพรรดิหมิงยังคงมีแสงส่องประกาย ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณที่นั่งเฝ้าอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงตบะ ขณะเดียวกันพวกเขาก็คอยมองประเมินการจัดอันดับบนป้ายอย่างต่อเนื่อง

รายชื่อนี้ใช่ว่าจะนิ่งเฉยไม่ขยับ แต่ทุกระยะเวลาที่ผ่านไปช่วงหนึ่งบนป้ายศิลาจะมีชื่อเพิ่มขึ้นมาหรือไม่ก็ลดน้อยลงไป ชื่อที่หายไปนั้นไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ได้ว่าการทดลองหลอมพลังจิตทารกก่อกำเนิดอีกครั้งล้มเหลว และผู้ทดลองก็ตายไปแล้ว และทุกครั้งที่มีชื่อเพิ่มขึ้นมาก็จะต้องดึงดูดให้เกิดความฮือฮาได้เป็นพักๆ

ทว่าความฮือฮานี้ไม่ได้มากมายเท่าใดนัก เพราะอย่างไรซะชื่อที่เพิ่มขึ้นมาส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแค่คนที่หลอมพลังจิตสำเร็จครั้งหนึ่งเท่านั้น นอกเสียจากว่าสิบอันดับแรกจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงสร้างความสะเทือนขวัญ ปลุกระดมความแตกตื่นได้

เพียงแต่วันนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเพราะการปรากฏขึ้นของชื่อคนผู้หนึ่ง!!

คนที่เห็นชื่อที่เพิ่มขึ้นมานี้ก่อนใครคือผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนผู้หนึ่ง ผู้ฝึกวิญญาณคนนี้คือทหารกองทัพผียักษ์ที่มาประจำการอยู่ในนครจักรพรรดิ เมื่อหลายปีก่อนเขาเพิ่งจะติดตามกองทัพผียักษ์กลับมาจากการรับผิดชอบเฝ้าอยู่นอกกำแพงเมืองของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

ตอนนี้ตลอดทั้งกองทัพล้วนอยู่ในช่วงพักฟื้นที่นครจักรพรรดิ รอคำสั่งต่อไปค่อยเดินทัพไปโจมตีกำแพงเมืองอีกครั้ง

ยามนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงจุดที่ค่อนข้างห่างจากป้ายศิลา เมื่อการเข้าฌานครั้งหนึ่งสิ้นสุดลง เขาจึงลืมตาขึ้นกวาดมองไปยังป้ายศิลาตามความเคยชิน ขณะที่จะถอนสายตากลับมาฝึกบำเพ็ญตบะต่อ เขาก็พลันอึ้งตะลึง เพราะเหมือนตัวเองจะเห็นชื่อหนึ่งบนป้ายศิลา

ด้วยความแปลกใจ ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนผู้นี้จึงหันไปมองอย่างละเอียดทันที จนกระทั่งสายตามาตกอยู่บนชื่อบรรทัดสุดท้าย เมื่อเขาเห็นชื่อนั้น สีหน้าของเขาก็เลื่อนลอย อึ้งงันไปก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่นานเขาก็เบิกตากว้าง ลมหายใจถี่รัวยุ่งเหยิง ในสมองมีเสียงกัมปนาทระเบิดตูมอย่างมิอาจห้ามปรามได้

“นี่…นี่…” ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนรู้สึกว่าตนต้องตาฝาดแน่นอน นี่มันเป็นเรื่องเหลวไหลเกินไปแล้ว… หลังจากที่ขยี้ตาตัวเองอย่างแรงแล้วเพ่งมองไปอีกครั้ง เขาก็ร้องอุทานเสียงหลงตะลึงพรึงเพริดอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้

“ป๋าย…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!!”

เสียงของเขาไม่เบา ท่ามกลางบรรยากาศรอบป้ายศิลาที่เงียบสงัดจึงดังรบกวนผู้ฝึกวิญญาณคนอื่นซึ่งฝึกบำเพ็ญตบะอยู่ตรงนี้ พวกเขาพากันขมวดคิ้วลืมตาขึ้นมอง พอได้ยินชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววงงงัน บางคนรู้สึกคุ้นหู แต่มีคนบางส่วนที่ตัวสั่นสะท้าน และไม่นานพวกเขาก็สังเกตเห็นจุดที่สายตาของผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนผู้นั้นจ้องเป๋งไปจึงหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ไม่นานเสียงร้องอุทานด้วยความแตกตื่นก็ดังกระหึ่มทันใด!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…ข้านึกออกแล้ว เขาคือผู้บังคับกองหมื่นในกำแพงเมืองของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!! ไอ้คนไร้ยางอายที่คิดค้นเตาหลอมยาระเบิด!!!”

“ใช่เขา…ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงคุ้นหูอย่างนี้ เขาไม่ใช่คนที่อยู่อันดับหนึ่งของประกาศต้องฆ่าทั่วหล้าที่ผู้อาวุโสธุลีแดงมอบรางวัลนำจับเป็นวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงหรอกหรือ!!”

เมื่อเสียงฮือฮาดังเอ็ดอึง พวกผู้ฝึกวิญญาณที่จำได้ก็รู้สึกสั่นสะเทือนไปยันขั้วหัวใจ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันได้ยินเสียงพูดคุยของคนรอบกายจึงพากันนึกขึ้นได้ ทุกคนที่อยู่ตรงนี้จึงมีสีหน้าเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามองขึ้นมาทันที

ชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้สำหรับแดนทุรกันดารแล้ว เดิมทีไม่มีใครรู้จัก แต่เมื่อกองทัพผียักษ์บุกเขาโจมตีกำแพงเมืองที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเป็นผู้พิทักษ์ ชื่อนี้กลับประหนึ่งลมพายุบ้าคลั่งที่พัดกวาดทั้งกองทัพผียักษ์ให้วอดวาย จากนั้นก็เริ่มแพร่ไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร!

เพราะเขา กองทัพผียักษ์ถึงพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง!

เพราะเขา แดนทุรกันดารต้องสูญเสียวิญญาณพยาบาทมหาศาล!

เพราะเขา ทำให้ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่กำแพงเมืองของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แม้แต่กำแพงเมืองของสามสำนักต้นน้ำก็ยังใช้วิธีการสู้รบที่คล้ายคลึงกัน ทำให้แดนทุรกันดารพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายต่อหลายครั้งอย่างที่หาได้ยาก!

เตาหลอมยาระเบิด สัตว์ร้ายปั่นป่วน ยารวมวิญญาณ!

วิธีการเหล่านี้ล้วนครึกโครมไปทั้งแดนทุรกันดาร โดยเฉพาะประกาศจับป๋ายเสี่ยวฉุนที่รางวัลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชื่อนี้ดังสะท้านแดนทุรกันดารอีกครั้ง

และตัวตนผู้บังคับกองหมื่นของเขาก็ยิ่งทำให้ในสายตาทุกคนของแดนทุรกันดารรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหยียบหัวพวกเขาเพื่อเดินไปสู่จุดสูง!

เดิมทีหลังจากที่คนผู้นี้หายตัวไป ชื่อของคนผู้นี้ก็ถูกทุกคนจงใจลืมเลือน ทว่าวันนี้เมื่อชื่อนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังปรากฏขึ้นบนป้ายศิลาของจักรพรรดิหมิง นี่จึงทำให้รอบป้ายศิลาเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงคำรามเดือดดาลดังเซ็งแซ่!

สายตาเหล่านั้นล้วนหันมามองที่บรรทัดสุดท้ายของป้ายศิลา

ซึ่งระบุชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุน…ไว้อย่างชัดเจน!

ไม่ใช่ป๋ายฮ่าว แต่เป็น…ป๋ายเสี่ยวฉุนสามคำนี้ และด้านหลังชื่อนี้ยังมีเลขหนึ่งระบุเอาไว้ หมายความว่าเขาหลอมพลังจิตก่อกำเนิดได้หนึ่งครั้ง!

“ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวแล้ว!!”

“เขาอยู่ในแดนทุรกันดาร เขายังไม่ตาย!!”

“เร็วเข้า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเรารีบรายงานกันเถอะ!!” ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของทุกคนที่อยู่ใต้ป้ายศิลาก็มีคนจำนวนไม่น้อยหยิบแผ่นกระดูกออกมาแล้วส่งข่าวนี้ออกไปด้วยความตื่นตะลึง…

ไม่นานตลอดทั้งนครจักรพรรดิก็…สะเทือนกันไปทั้งเมือง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!