Skip to content

A Will Eternal 673

บทที่ 673 การไต่ทะยานที่ทำให้คนเป็นบ้า

หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไป ทุกคนในนครจักรพรรดิที่ได้รับข่าวต่างก็อึ้งตะลึง รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูไม่น้อย แต่กลับนึกไม่ออก พอสอบถามจากคนอื่นถึงได้หน้าเปลี่ยนสี นึกขึ้นได้ทันควัน แต่ละคนพากันรู้สึกเหลือเชื่อ

และยังมีคนบางส่วนที่พอได้ยินชื่อนี้ก็คิดถึงป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที แล้วไพล่นึกไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ด้วย!

“มารป๋าย…ปรากฏตัวแล้ว!!”

“เขายังไม่ตายหรือนี่ เขาไม่เพียงแต่มาอยู่ในแดนทุรกันดารของเรา แถมยังบรรลุถึงขั้นก่อกำเนิดแล้วด้วย!!”

“สมควรตายยิ่งนัก นี่คือการท้าทาย เขากำลังท้าทายพวกเราชัดๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ามารป๋ายผู้นี้จะไม่รู้ถึงเป้าหมายและผลที่ตามมาหลังจากการหลอมพลังจิตตัวอ่อนก่อกำเนิด นี่คือแผนการที่เขาวางไว้ล่วงหน้า เขาคิดจะใช้วิธีการเช่นนี้มาป่าวประกาศให้พวกเรารู้ว่า เขามาแล้ว!!”

นครจักรพรรดิครึกโครมกันไปทั้งเมือง โดยเฉพาะที่ตั้งฐานทัพของกองผียักษ์ที่ยิ่งระเบิดเสียงคำรามสะท้านฟ้า เงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาทะยานดิ่งเข้าหาป้ายศิลาจักรพรรดิหมิงอย่างรวดเร็ว

“โอหังยิ่งนัก เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ เขาไม่เห็นหัวใครเลย นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว!!”

“หึหึ ก็แค่ข่าวลือเท่านั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะสำคัญอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ก็แค่บุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น!”

“เรื่องในคราวนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเหตุผลที่กองผียักษ์อ้างให้กับความพ่ายแพ้ของตัวเองเท่านั้น ส่วนเรื่องที่กำแพงเมืองของอีกสามสำนักต่างก็ใช้วิธีการเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการจัดการโดยรวมของเกาะทงเทียน”

ในนครจักรพรรดิ ไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสำคัญ มีคนบางส่วนที่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนี้ไม่มีค่าพอให้ทุกคนใส่ใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏ นครจักรพรรดิก็ว่าเกิดความฮือฮากันไม่น้อย

เดิมทีหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ความครึกโครมนี้ย่อมเกิดขึ้นแค่ในระยะเวลาสั้นๆ รอจนความตื่นตะลึงผ่านไป ไม่นานทุกคนก็ต้องสงบลง ทว่าเวลานี้เอง เรื่องไม่คาดคิดกลับ…เกิดขึ้น!

บนป้ายศิลาจักรพรรดิหมิง ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหายวับไปจากบรรทัดสุดท้ายท่ามกลางสายตาผู้คน พอปรากฏอีกครั้งก็ขึ้นมาอยู่ยี่สิบอันดับแรก!

และด้านหลังของชื่อเขาก็เปลี่ยนจากเลขหนึ่งมาเป็นเลขสอง!!

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านเบิกตาค้างด้วยความตะลึงงัน เสียงฮือฮาคาอยู่ที่ลำคอยังไม่ทันเปล่งออกมาจากปากทุกคน ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหายไปอีกครั้ง คราวนี้กระโดดมาอยู่ที่อันดับสิบห้า ตัวเลขด้านหลังของเขาไม่ใช่สองอีกต่อไป แต่กลายเป็น…สาม!!

ยังไม่สิ้นสุด ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนหายไปอีกครั้ง คราวนี้แทบเรียกได้ว่าก้าวกระโดด ทะยานดิ่งขึ้นไปที่อันดับแปด!!

ตัวเลขด้านหลังชื่อของเขา กลายมาเป็น…สี่!! จากนั้นก็ไต่ระดับพรวดไปอีกครั้งมาอยู่อันดับที่สี่ หลอมพลังจิตทารกก่อกำเนิดได้…ห้าครั้ง!!

บัดนี้เสียงตกตะลึงของทุกคนถูกเสียงสูดลมเฮือกๆ ดังกลบทับ และดูเหมือนว่าเมื่อข่มกลั้นอารมณ์ไว้ในระดับหนึ่ง อารมณ์นั้นก็ไม่อาจระงับได้อีก่อไป เสียงร้องอุทานแห่งความตกใจพลันเอ็ดอึงขึ้นมา

“สวรรค์…”

“หลอมพลังจิต…หลอมพลังจิต…ห้าครั้ง!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เขา…เขาจะทำอะไร!!” ทุกคนมองตาค้างอ้าปากหวอ ในสมองบังเกิดคลื่นยักษ์โถมตัว แต่ละคนส่งข่าวนี้ออกไปทั้งที่ร่างยังสั่นสะท้าน

หากบอกว่าก่อนหน้านี้การปรากฏของชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้คนส่วนหนึ่งสะเทิ้นสะท้าน ทำให้คนอีกส่วนหนึ่งรู้สึกเกินจริง ถ้าเช่นนั้นการที่ชื่อของเขาขยับมาอยู่อันดับที่สี่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ด้วยการหลอมพลังจิตห้าครั้ง ภาพนี้ก็ทำให้พวกคนที่รู้สึกว่าเกินจริงสูดหายใจเฮือกอย่างแรง

“ว่าไงนะ! เขาหลอมพลังจิตห้าครั้งได้เร็วขนาดนี้เชียวรึ!!”

“มารป๋ายผู้นี้เขาหมายความว่ายังไง เขาทำได้อย่างไร เวลาสั้นๆ กลับกล้าหาญถึงเพียงนี้!! เขาเบื่อจะใช้ชีวิตแล้วหรือ?!”

นครจักรพรรดิเกิดคลื่นเสียงดังสนั่นลูกแล้วลูกเล่า ความครึกโครมครั้งนี้ดุเดือดยิ่งกว่าก่อนหน้ามากนัก ทุกขั้วอิทธิพลในนครต่างก็ได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาล้วนรู้สึกเหลือเชื่อ ทำให้เงาร่างมากมายพุ่งพรวดจากตำแหน่งต่างๆ ในเมืองมายังป้ายศิลาทันที

และยังมีอำนาจจิตจำนวนมากที่ระเบิดออกมาจากสี่ด้านแปดทิศ ปกคลุมที่ตั้งของป้ายหินเอาไว้

ส่วนทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็กำลังอยู่ในห้องลับของนครผียักษ์ นั่งดื่มด่ำอยู่ในหม้อลายกระดองเต่าด้วยสีหน้าลำพองใจ ทั้งยังมากด้วยความฮึกเหิม

“ฮ่าๆ การฝึกบำเพ็ญตบะเช่นนี้ถูกใจข้ายิ่งนัก ข้าช่างเก่งกาจ…” นัยน์ตาทารกก่อกำเนิดเปล่งประกายแสงสุกสกาว ลมหายใจแฝงเร้นไว้ด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกชื่นชอบวิธีการแบบนี้อย่างมาก

โดยเฉพาะมองเห็นว่าบนร่างทารกของตัวเองมีลายเส้นสีเงินห้าเส้นปรากฏขึ้น สัมผัสได้ว่าร่างทารกของตนแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า เขาก็ยิ่งคึกคักเข้าไปใหญ่

“นี่เทียบได้กับการที่ข้าปิดด่านฝึกบำเพ็ญตบะหกสิบปีเลยทีเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะชอบใจ เลียริมฝีปากแล้วชี้ไปยังไฟหกสี

พริบตาเดียวไฟหกสีก็บินมาผสานรวมเข้ากับหม้อลายกระดองเต่า ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ลายเส้นสีเงินปรากฏ การหลอมพลังจิตเริ่มขึ้นอีกครั้ง!

หกครั้ง เจ็ดครั้ง แปดครั้ง…

เวลาแผล็บเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลอมพลังจิตติดต่อกันอีกสามครั้งอย่างไม่มีหยุดพัก นาบประทับลายเส้นสีเงินเจิดจ้าลงไปบนร่างทารกของตัวเองถึงแปดเส้น และร่างทารกก่อกำเนิดของเขาก็พลันขยายใหญ่ ทั้งยังมองเห็นลำแสงที่ไหลรินอยู่ภายในได้ชัดเจนมากกว่าเดิม อีกทั้งไอความเย็นระหว่างฟ้าดินแห่งนี้ก็แทบไม่ระคายผิว

ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกต่อไป

“ช่าง…แข็งแกร่งยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมจึงชี้นิ้วไปที่ไฟเก้าสี ท่ามกลางเสียงกึกก้อง เมื่อไฟเก้าสีผสานรวมกับหม้อกระดองเต่า ร่างทารกก่อกำเนิดของเขาก็มีลายเส้นสีเงินเส้นที่เก้าพร่างพราวขึ้นมา!

ยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมพลังจิตครั้งที่สิบด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เมื่อไฟสิบสีกระตุ้นแสงเงินยวงพร่าพรายให้ระเบิดออกมาจากหม้อลายกระตองเต่า ลายเส้นสีเงินที่สิบก็นาบประทับลงไปอย่างชัดเจน!

บัดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ว่าทารกก่อกำเนิดของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ในชีวิตนี้หลายครั้งต่อหลายครั้งที่เขาคิดว่าหากตนแข็งแกร่งทรงพลัง

นั่นจะทำให้ชีวิตของเขางดงามมากขนาดไหน น่าเสียดายที่…หลายปีมานี้ความรู้สึกเช่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน ทว่าตอนนี้ ความรู้สึกนี้กลับเกิดขึ้นแล้ว…

และตอนนี้สำหรับคนมากมายในนครจักรพรรดิ ความสำเร็จในการหลอมพลังจิตครั้งแล้วครั้งเล่าของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทำให้พวกเขาตะลึงจนขวัญกระเจิงกันไปหมดแล้ว หัวใจของพวกเขาส่งเสียงอื้ออึงดังไม่หยุดคล้ายมีฟ้าผ่าลงมาที่หัวใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

พวกเขามองเห็นคาตาของตัวเองว่าชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนจากอันดับสี่มาเป็นอันดับสาม แล้วก็เปลี่ยนจากอันดับสามมาเป็นอันดับสอง…และยังไม่ยุติ ยังคงไต่ทะยานไปยันอันดับหนึ่งโดยไม่มีหยุดพัก!

ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานั้น หลอมพลังจิตได้แปดครั้ง…

หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า เรื่องนี้คงไม่ดูเกินจริงเท่าไหร่นัก ทว่าหลังจากครั้งที่แปดแล้วกลับยังปรากฏครั้งที่เก้า จนกระทั่งถึงครั้งที่สิบ…ภาพนี้จึงสร้างความแตกตื่นให้กับผู้ฝึกวิญญาณแดนทุรกันดารจนพวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกมาจากร่างอย่างไรอย่างนั้น

ต้องรู้ว่านี่คือการหลอมพลังจิตให้กับตัวอ่อนก่อกำเนิดซึ่งแตกต่างจากการหลอมพลังจิตให้กับอาวุธวิเศษอย่างสิ้นเชิง หากอาวุธแตกสลายยังสามารถเอาชิ้นอื่นมาหลอมใหม่ได้ แต่หากการหลอมพลังจิตของร่างทารกก่อกำเนิดล้มเหลว วิญญาณเจ้าของร่างก็จะแตกดับแล้วตายไปทันที!

จักรพรรดิหมิงมีความเด็ดเดี่ยวมากพอจึงใช้การหลอมพลังจิตมาเป็นตัวตัดสินผู้สืบทอด ทว่าสำหรับนักพรตแล้ว นั่นคือชีวิตของพวกเขาเชียวนะ

ครั้งหนึ่งยังพอไหว สองครั้งก็ยังได้ แต่สามครั้งขึ้นไปอัตราความล้มเหลวยิ่งมีมาก ยิ่งขยับสูงก็ยิ่งอันตราย ทว่าตอนนี้พวกเขากลับได้เห็นปาฏิหาริย์กับตาของตัวเอง!

นี่คือความบ้าคลั่งที่แม้แต่อยู่ในแดนทุรกันดารก็ยังน่าเหลือเชื่อ…

“เขา…เขาหลอมครั้งที่หนึ่งถึงครั้งที่สิบ โดยที่ยังไม่ตาย!!”

“บัดซบ นี่มันโชคดีอะไรของเขา!!”

“เขากำลังรนหาที่ตายชัดๆ!”

ไม่มีใครไม่สะท้านสะเทือน ในสายตาของพวกเขา เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้กำลังเอาชีวิตมาล้อเล่นชัดๆ นี่มันบ้าระห่ำเกินไปแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าเอาทารกก่อกำเนิดของตัวเองมาหลอมพลังจิตแบบนี้มาก่อนเลย…

นครเก้านรกภูมิ ในตำหนักด้านข้างตำหนักราชามีเสียงร้องคำรามเดือดดาลดังออกมาอย่างเกรี้ยวกราด แล้วอยู่ๆ ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ถลาพรวดออกมาจากตำหนักด้านข้าง ชายหนุ่มผู้นี้เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลาคมคาย แต่ยามนี้สีหน้าของเขากลับบูดเบี้ยว เพลิงพิโรธลุกโชติช่วงเต็มดวงตา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าโจวหงเกือบเอาชีวิตไม่รอดกว่าจะหลอมก่อกำเนิดได้หกครั้ง แต่เจ้ากลับกล้าหลอมถึงสิบครั้ง ทำไมเจ้าไม่ตายๆ ไปซะ!!” โจวหงคำรามกร้าว ในใจเขาก็ยิ่งขมปร่า เดิมทีเป้าหมายของเขาคือกงซุนอี้ เขารู้สึกว่าตนต้องลองเดิมพันดูสักตั้ง อย่างน้อยก็ทัดเทียมกับอีกฝ่ายได้

ทว่าเมื่อข่าวดังออกมา เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเผยกาย เมื่อความสำเร็จจากการหลอมพลังจิตสิบครั้ง เขาก็สิ้นหวังไปแล้ว…

“เขาต้องมีวิธีการอะไรบางอย่างแน่นอน หาไม่แล้วก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้! ทหาร จงออกไปค้นตัวเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนมาให้ข้า ค้นไปให้ทั่วแดนทุรกันดาร!” เสียงของโจวหงดังไปสี่ทิศ ทันใดนั้นคนในนครเก้านรกภูมิก็เริ่มลงมือกันทำตามคำสั่งของโจวหงทันที เพราะว่าเขา…ก็คือหวังเหย่น้อยของนครเก้านรกภูมิแห่งนี้!

ภาพเหตุการณ์เดียวกันก็แสดงอยู่ในแต่ละตระกูลผู้หลอมวิญญาณพื้นที่อื่นๆ ของแดนทุรกันดาร ไม่ว่าใครก็ตามที่มีชื่ออยู่บนป้ายศิลา บัดนี้ล้วนตะลึงพรึงเพริดและต่างก็คาดเดากันไปว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องใช้เล่ห์กลโกงอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องการค้นหาตัวของป๋ายเสี่ยฉุนจึงแพร่ไปทั่วทั้งแดนทุรกันดารอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ในนครชิงชัย (ชื่อเดิมนครโต้วเซิ่ง โต้วเซิ่งแปลตามตัวว่าการต่อสู้เพื่อหมายเอาชัยชนะ) อันเป็นหนึ่งในนครราชาทั้งสี่ กลางกระท่อมโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งที่อยู่บนภูเขาสูงมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ กลางหว่างคิ้วของชายหนุ่มผู้นี้เป็นรูปดวงดาว ใครก็ตามที่รู้จักเขาล้วนรู้ดีว่าสีหน้าของเขาเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังมีความโอหังภาคภูมิใจในตัวเอง ทว่าบัดนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนมาเป็นซีดขาว นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่อ

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…” ผ่านไปพักใหญ่ชายหนุ่มถึงได้ก้มหน้ามองแผ่นกระดูกที่อยู่ในมือ ดวงตาของเขาทอแสงแห่งความไม่ยอมแพ้ เพราะว่าเขาก็คือ…กงซุนอี้ บุตรชายคนเดียวของราชาชิงชัยผู้เป็นราชาที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดาคนรุ่นนี้ของแดนทุรกันดาร เขาก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับสองรองจากสตรีธุลีแดง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!