บทที่ 676 ยึดทรัพย์
ออกมาจากตำหนักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่ตั้งของสามตระกูลด้วยใบหน้าที่เผยความเย่อหยิ่ง บุญคุณความแค้นระหว่างสามตระกูลใหญ่มองดูเหมือนมีไม่เยอะ ทว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาจิตสังหารที่ทั้งสามตระกูลมีต่อตนไม่เคยลดน้อยลงไปแม้แต่นิด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเป็นผู้คุมเขาไม่อาจแก้แค้นได้ ภายหลังยังกลายมาเป็นนักโทษ นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ทว่าตอนนี้ต่างออกไปแล้ว เขาคือผู้กำกับการป๋ายของนครผียักษ์ อีกทั้งตอนนี้ยังได้คำสั่งมาจากราชาโดยตรง
“ไปเรียกตัวพระยาสวรรค์เฉินไห่มา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งแล้วพูดขึ้นทันที เมื่อคำพูดของเขาดังจบ พวกองค์รักษ์ที่เฝ้าอยู่โดยรอบนครผียักษ์ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม รีบบินออกไปทำตามคำสั่งโดยพลัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่นอกตำหนักราชา เอามือไพล่หลังเงยหน้ามองท้องฟ้า ระหว่างที่รอให้เฉินไห่มาถึงเขาก็หยิบแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงให้กับโจวอีซิง
“จงจับตามองสามตระกูลใหญ่ให้ดี!”
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะตระกูลเฉินที่…ยามนี้ต่างก็หวั่นวิตก เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง คนในตระกูลล้วนพากันเอ่ยปาก และตระกูลเฉินก็ถึงกับกระจายโยกย้ายทรัพย์สินกันแล้ว…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังจบก็สั่งความอีกสองสามคำ แล้วเสร็จถึงได้ยืนเอามือไพล่หลังรอคอยด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง รอไม่นานเท่าไหร่ก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งทะยานจากทิศไกลมาถึงอย่างว่องไว หลังจากเข้ามาใกล้ก็กลายร่างมาเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมผู้หนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในสี่พระยาสวรรค์ที่ไม่ได้ก่อกบฏแต่ก็เงียบงันไม่ให้ความช่วยเหลือ และก็เป็นเขาที่มอบที่พักหลังหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
อีกทั้งในช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินโอ้อวดบารมีไปทั่วเมือง เขาก็ยังมอบทรัพย์สินจำนวนมากมาให้ ยามนี้พอเพิ่งมาถึงแล้วเฉินไห่เห็นตำหนักราชาที่อยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน
“ผู้กำกับการป๋ายโปรดสั่งความ!”
“พระยาสวรรค์เฉิน จงเรียกรวมลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเจ้าให้ติดตามข้าผู้กำกับการไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเป็นผู้บังคับกองหมื่นมาก่อน ยามนี้พอเอ่ยปากเนิบนาบ ความน่าเกรงขามจึงพลันแผ่ออกจากในร่างของเขา ทำให้เฉินไห่ใจสะท้าน พอเหลือบตามองตำหนักราชาด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งจึงรีบตกปากรับคำ
เขาเอ่ยสั่งความผู้ฝึกวิญญาณใต้บังคับบัญชาของตัวเองอย่างไม่มีลังเล ไม่นานผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนก็บินทะยานมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนและเฉินไห่อย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ภาพนี้ทำให้แต่ละขั้วอำนาจในนครผียักษ์กระวนกระวายกันขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อค้นพบว่าทิศทางที่ผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนมุ่งหน้าไปก็คือตระกูลไช่หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ทุกคนก็รู้ทันทีว่า…การแก้แค้น มาถึงแล้ว!
นอกนครผียักษ์ บนภากาศ ผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนลักษณะพลังยิ่งใหญ่มโหฬาร แต่ละคนแผ่ปราณสังหารอบอวล เบื้องหน้าของพวกเขาคือป๋ายเสี่ยวฉุนที่เอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าจองหอง ความลำพองและตื่นเต้นที่อยู่ในใจทำให้เขาเลื่อนลอยเล็กน้อย รู้สึกเหมือนได้กลับไปยังกำแพงเมืองตอนที่ตนยังเป็นผู้บังคับกองหมื่น เพียงตนสั่งคำเดียวนักพรตใต้บังคับบัญชาก็ลงมือพร้อมเพรียงกันอย่างห้าวหาญราวสามารถเขย่าคลอนขุนเขา
“น้องป๋าย พี่ชายล่ะนับถือเจ้าจริงๆ!” เฉินไห่ที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนยกนิ้วโป้งให้แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง
“น้องป๋ายคือมังกรในฝูงชนจริงๆ หลายปีมานี้พี่ชายเห็นมานักต่อนักแล้ว หลายคนพอเพิ่งได้กุมอำนาจก็คุมไว้ไม่อยู่ แต่น้องป๋ายกลับมีลักษณะพลังเช่นนี้ นี่ไม่ง่ายเลย นี่หมายความว่าน้องป๋ายเจ้าก็คือสุดยอดผู้กล้าซึ่งเป็นดั่งกิเลนที่อยู่ในนครผียักษ์แห่งนี้!”
“ในสายตาของผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนนี้ น้องป๋ายคือขุนเขาที่มิอาจเขย่าคลอน ประหนึ่งเสาเทพค้ำทะเล ตบะอันแน่วแน่มั่งคงเช่นนี้เกรงว่าพวกองค์ชายบางคนก็ยังทำไม่ได้” สีหน้าของเฉินไห่มีความเคารพยำเกรง เนื้อไขมันบนใบหน้าสั่นกระเพื่อมไปตามริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ แม้คำพูดจะฟังรู้ว่าตั้งใจประจบ แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจอย่างถึงที่สุด ได้ยินคำพูดของเฉินไห่ก็ยิ่งสบายอุรา รู้สึกว่าเฉินไห่ผู้นี้ช่างเป็นคนที่ตามีแววยิ่งนัก ดังนั้นจึงคลี่ยิ้ม ก่อนจะตอบรับไปหลายคำอย่างคนที่ชมกันเอง คนหนึ่งตั้งใจประจบ อีกคนก็รู้จักวางตัว เป็นธรรมดาที่คนทั้งสองจะคุยกันอย่างถูกคอ
ทว่าในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกลับครุ่นคิดว่าครั้งนี้ตนควรจะยึดทรัพย์อย่างไร เพราะเห็นได้ชัดว่าราชาผียักษ์ไม่ได้ออกคำสั่งตรงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ตนจะไปบังคับค้นตระกูลคนอื่นแล้วยึดทรัพย์มาไม่ได้ เพราะจะทำให้เสียภาพลักษณ์ไม่น้อย
“บีบบังคับไม่ได้ แต่ข้าก็ยังมีวิธีขุดบ้านพวกเจ้าลงไปสามฉื่อเพื่อแก้แค้น!” ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนเร็วจี๋ ตาเหลือบมองไปยังถุงเก็บของ พอนึกถึงเจ้าเต่าน้อย เขาก็นึกความคิดดีๆ ออก
ไม่นานทุกคนก็มาถึงตระกูลไช่อันเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ที่เลือกตระกูลไช่ก่อนนั้นไม่มีเหตุผลอื่นใด เพียงแค่ว่าตระกูลไช่อยู่ใกล้ที่สุดก็เท่านั้น
เพิ่งจะมาถึง คนทั้งตระกูลไช่ก็พากันหวาดผวาทันที บรรยากาศหดหู่อึมครึม ทุกคนในตระกูลล้วนตัวสั่น ประมุขตระกูลไช่ก็ยิ่งหน้าซีดขาว พาผู้อาวุโสทั้งหมดในตระกูลเดินออกมาจากประตูใหญ่ แล้วยืนรอรับอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางนอบน้อม
ลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจตระกูลไช่คนที่ไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านั้น มาบัดนี้ได้แต่ยืนตัวสั่นก้มหน้าหลบสายตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณชายผู้ประชันความรวยกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตอนนี้หน้าตาราวกับขี้เถ้ามอด
ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขากดดันอย่างไร้คำบรรยาย ทุกวันต้องอยู่อย่างหวาดผวา บุรพาจารย์ตายไปแล้ว พวกเขาก็ยิ่งอาจเจอหายนะดับตระกูลได้ตลอดเวลา ตระกูลทั้งตระกูลจึงอยู่ในสภาวะร่อแร่ใกล้พังทลายเต็มที
เวลานี้พอได้ข่าวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพากำลังคนมาด้วยตัวเอง ใจของทุกคนในตระกูลไช่ต่างก็ประหวั่นพรั่นพรึง ทว่าประมุขตระกูลไช่และพวกผู้อาวุโสที่ถึงแม้จะตัวสั่นไม่ต่างกัน แต่ในใจกลับยังพอเยือกเย็นได้บ้าง
เพราะอย่างไรซะ…หากราชาผียักษ์คิดจะกำจัดพวกเขาจริงๆ ก็คงไม่รอมาถึงตอนนี้…
และขณะที่คนของตระกูลไช่พากันออกมาต้อนรับ ป๋ายเสี่ยวฉุนและเฉินไห่ก็พาผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนห้อทะยานจากท้องฟ้าทิศไกลมาถึงประหนึ่งเมฆทะมึน เพิ่งจะเข้ามาใกล้ เฉินไห่ก็คำรามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยบารมีทันที
“ปิดผนึกสี่ด้าน หากไม่มีคำสั่งจากผู้กำกับการป๋าย ใครก็ห้ามเข้าออก!”
คำพูดนี้เพิ่งดังจบ ผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนก็กระจายตัวโอบล้อมตระกูลไช่ไว้อย่างแน่นหนา ภาพนี้ทำให้คนตระกูลไช่สูดลมเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ พวกประมุขตระกูลก็ยิ่งหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด แต่กลับข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความหวาดหวั่น
“คารวะผู้กำกับการป๋าย พระยาสวรรค์เฉิน” ทุกคนของตระกูลไช่คารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจตระกูลไช่ แต่แสร้งหันมามองเฉินไห่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“พระยาสวรรค์เฉิน ข้าผู้แซ่ป๋ายมาถึงที่นี่หาใช่เพราะต้องการจะฆ่าล้างตระกูล เจ้าทำให้ประมุขตระกูลไช่ตกใจหมดแล้ว”
“ผู้กำกับการป๋ายกล่าวได้ถูกต้อง ทว่าข้าน้อยจำต้องทำตามคำสั่ง!” เฉินไห่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว เดินเข้าไปหาประมุขตระกูลไช่ด้วยท่าทางจนใจ
“เอาเถิด พระยาสวรรค์เฉินเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที พวกเราเข้าใจ ผู้กำกับการป๋าย มีเรื่องอะไรพวกเราก็เข้าไปพูดกันข้างในเถอะ” มีหรือที่ประมุขตระกูลไช่จะมองไม่ออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกับเฉินไห่นั้นคนหนึ่งร้องส่วนอีกคนก็ช่วยรับ แต่ต่อให้มองออกก็ไม่มีประโยชน์ ในใจขมขื่นเพียงไร ภายนอกก็ได้แต่เออออรับน้ำใจป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เดินเข้าไปในตระกูลไช่ทันที แต่กระแอมหนึ่งครั้ง พอเสียงกระแอมนี้ดังออกมา เฉินไห่ก็ยิ่งสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปคำรามใส่คนข้างกาย
“ขุนพลก่อกำเนิดทุกคนจงให้การพิทักษ์ผู้กำกับการป๋าย!”
คำพูดเขาดังจบ ในบรรดาผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนก็มีเงาร่างหลายสิบเงาบินออกมายืนอยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าไม่สบอารมณ์อีกครั้ง ขยับปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับถอนหายใจแทน แล้วจึงหันไปหัวเราะกับประมุขตระกูลไช่อย่างระอาใจ
“ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ข้าผู้แซ่ป๋ายไม่เชื่อใจตระกูลไช่ของเจ้า แต่หวังเหย่ท่านให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้าผู้แซ่ป๋ายยิ่งนัก”
“ใช่ๆๆ ผู้กำกับการป๋ายสำคัญต่อนครผียักษ์อย่างยิ่งยวด จะให้เกิดเรื่องกับท่านไม่ได้เด็ดขาด ข้าผู้แซ่ไช่เข้าใจ เข้าใจ…” ประมุขตระกูลไช่ก้มหน้าก้มตารับคำ ในใจยิ่งร้องคร่ำครวญ
“ไปเถอะ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างใน” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งด้วยความฮึกเหิม ดื่มด่ำไปกับความรู้สึกของผู้สูงส่งมากความสำคัญ เดินนำเข้าไปในตระกูลไช่ก่อนใคร พวกผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดเหล่านั้นก็เดินตามไปติดๆ พอเข้าไปในตระกูลไช่แล้วจึงกระจายตัวกันไปรอบด้านราวองค์รักษ์ ทำท่าทางประหนึ่งว่าขอแค่ตระกูลไช่มีใจคิดไม่ซื่อแค่เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะลงมือให้การคุ้มกันป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
ลักษณะพลังเช่นนี้ทำให้ทุกคนของตระกูลไช่เย็นเยียบไปทั้งร่าง
ใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะผู้กล้าอันเป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลไช่คนนั้นก็ยิ่งก้มหน้าลงต่ำ กลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมองเห็นตน
ประมุขตระกูลไช่อึดอัดคับข้อง จำใจเดินเร็วๆ ตามติดไปข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปในห้องโถงใหญ่พร้อมกับพวกผู้อาวุโสอีกกลุ่มหนึ่งที่หน้าซีดขาว
“ประมุขตระกูลไช่ ที่ข้าผู้แซ่ป๋ายมาครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลวง แต่เพราะได้ยินมาว่าตระกูลไช่มีรากฐานลึกล้ำมายาวนานนับพันปีจึงอยากจะมาเยี่ยมชมสักหน่อย” พอมาถึงโถงใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งบนตำแหน่งประธานก็คลี่ยิ้มบางๆ
“ข้าเข้าใจ ผู้กำกับการป๋ายโปรดรอสักครู่” ประมุขตระกูลไช่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เค้นรอยยิ้มออกมาแล้วหันกลับไปสั่งความ ไม่นานก็มีคนในตระกูลยกเอาขวดวิญญาณขวดหนึ่งที่มีลำแสงหลากสีเดินตัวสั่นเข้ามาในห้องโถง
ขวดวิญญาณนี้ไม่ใหญ่นัก ลักษณะเหมือนแจกันทั่วไป ทว่าพอกวาดสายตามองทุกคนล้วนมองออกว่าขวดวิญญาณนี้ไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่ามีคุณภาพสูงสุด โดยเฉพาะเส้นสีทองหนึ่งเส้นที่อยู่ด้านบนก็ยิ่งบอกให้รู้ว่าขวดวิญญาณนี้ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วสิบเอ็ดครั้ง!
“ผู้กำกับการป๋าย ขวดวิญญาณนี้คือวัตถุชิ้นสำคัญของตระกูลไช่เรา ขอผู้กำกับการป๋ายโปรดชื่นชม” หลังจากรับขวดมา ประมุขตระกูลไช่ก็นำไปวางไว้ด้านหน้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนอบน้อม
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเป็นปกติ รับเอาขวดวิญญาณมาก็มองประเมินอยู่สองสามที หลังกวาดอำนาจจิตมองไปก็ไม่เพียงแต่มองออกว่าขวดนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งภายในยังมีวิญญาณพยาบาทนับร้อยล้านดวง เห็นได้ชัดว่านี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ หัวใจเขาเต้นกระหน่ำรัวแรง แต่พอคิดได้ว่าตระกูลไช่เป็นตระกูลใหญ่ทั้งยังร่ำรวย ตนมาเยือนทั้งทีกลับเอาแค่วิญญาณพยาบาทร้อยล้านดวงมามอบให้ เขาก็โมโหทันใด
สีหน้าของเขาพลันมืดดำ ตบะในร่างแผ่ออกมา มือขวากำเข้าหากัน เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ขวดวิญญาณที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบเอ็ดครั้งก็ถูกบีบแหลกละเอียดทันที เมื่อมันแตกออก วิญญาณพยาบาทร้อยล้านดวงก็บินฮือออกมาแล้วแผ่กระจายไปสี่ทิศ ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ยังดีที่มีก่อกำเนิดอยู่ที่นี่เยอะ พวกเขาจึงลงมือกำราบวิญญาณพยาบาทได้อย่างทันท่วงที
“ประมุขตระกูลไช่ แม้ว่าข้าผู้แซ่ป๋ายจะไม่ใช่อาจารย์หลอมอาวุธที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ฝึกบำเพ็ญตบะมานานขนาดนี้ เจ้าคิดว่าข้าแยกแยะสิ่งของไม่ออกรึ? ถึงได้กล้านำขวดวิญญาณมาตบตาข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองประมุขตระกูลไช่ด้วยสายตาเย็นเยียบ