Skip to content

A Will Eternal 678

บทที่ 678 ลักลอบโยกย้ายก็ไม่มีประโยชน์

ปราณวิญญาณของตลอดทั้งฟ้าดินล้วนมาจากเขตแม่น้ำทงเทียน ทว่าในแดนทุรกันดารที่อยู่ห่างไกลจากเขตแม่น้ำทงเทียนนี้ ไม่มีปราณวิญญาณ

ดังนั้นผู้ฝึกวิญญาณในแดนทุรกันดารจึงจำต้องปรับเปลี่ยนร่างกายของตัวเองเสียใหม่โดยการดูดซับยาวิญญาณที่หลอมมาจากวิญญาณพยายาทซึ่งในแดนทุรกันดารมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด ให้กลายมาเป็นพลังวิญญาณในการบำเพ็ญตบะของตน

แต่บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ตายตัวเสมอไป!

ฟ้าดินแห่งนี้ยังมีวัตถุบางอย่างที่สามารถแผ่ปราณวิญญาณซึ่งเทียบเคียงกับเขตแม่น้ำทงเทียนออกมาได้ในขอบเขตเล็กๆ และรูปสลักหยกวิเศษก็คือวัตถุที่ว่านี้

หากมันตั้งอยู่ในสถานที่ใด ในรัศมีหมื่นลี้นั้นจะมีปราณวิญญาณเข้มข้นที่เทียบเคียงได้กับในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้ เขายืนอยู่ข้างรูปสลักหยกวิเศษ ตบะในร่างก็ราวกับพื้นดินที่ขาดฝนชะล้างมาเนิ่นนานซึ่งยามนี้กำลังอาบไล้อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนชุ่มฉ่ำ ความรู้สึกที่โปร่งสบายไปทั้งร่างทำให้จิตใจของเขาแกว่งไหว ดวงตาทั้งคู่ทอประกายระยับ

“สมบัติล้ำค่า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ทันทีว่ารูปสลักหยกวิเศษนี้ต่างหาก…ถึงจะเป็นรากฐานแท้จริงของตระกูลไช่ ยามนี้พอเห็นว่าประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลไช่หน้าซีดขาว ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งฮึกเหิม

“รวยแล้ว…” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งเก็บเอารูปสลักหยกวิเศษไปทันที เมื่อรูปสลักหยกวิเศษหายไป ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้ก็จางหายไปด้วย ทุกคนในตระกูลไช่ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว

พวกเขารู้สึกไม่เป็นสุขอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่รู้ว่าในตระกูลมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ แต่ตอนนี้กลับเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไม่ได้เป็นของตระกูลไช่อีกต่อไป

ทว่าหากเทียบกับความเป็นความตายของตระกูลแล้ว วัตถุนอกกายแบบนี้ พวกเขาก็ได้แต่ยอมปล่อยมือ…

“เฮ้อ ตระกูลไช่ของพวกเจ้ามีสมบัติเยอะนัก ตอนนี้ข้าก็ยังชื่นชมได้ไม่หมดในคราวเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับมามองกองสมบัติที่วางเป็นพะเนินอยู่รอบกายแล้วก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะมองไปยังประมุขตระกูลไช่ราวกับลำบากใจอย่างยิ่ง

ในใจประมุขตระกูลไช่ก่นด่ายาวเหยียด รู้ดีว่าในอีกฝ่ายทั้งต้องการแย่งสมบัติของตระกูลตน แถมยังต้องให้ตนเป็นฝ่ายเอ่ยปากยกให้ด้วย นี่มันใช้อำนาจมาบังคับปล้นกันอย่างหน้าด้านๆ!!

ทว่าคำพูดเหล่านี้เขาแค่กล้าคำรามอยู่ในใจตัวเองเท่านั้น ภายนอกเขายังต้องเค้นรอยยิ้มบูดเบี้ยวที่น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าร้องไห้ออกมาแล้วข่มอารมณ์เอ่ยตอบรับรวดเร็ว

“ไม่เป็นไร ผู้กำกับการป๋ายได้มาชื่นชมสมบัติเหล่านี้ของตระกูลไช่ ถือเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลไช่ยิ่งนัก ผู้กำกับการป๋ายสามารถเอามันกลับไปที่จวนของท่านแล้วค่อยๆ ชื่นชมก็ได้ พวกเราไม่รีบร้อน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายหัวคิ้วยิ้มแย้มทันที สีหน้าเผยให้เห็นถึงความชื่นชมและพึงพอใจ หลังจากพูดจาเป็นมารยาทอีกสองสามคำก็สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างแล้วเอ่ยเสียงดัง

“ในเมื่อประมุขตระกูลไช่เชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นขนาดนี้ ข้าก็ต้องละเลียดชื่นชมพวกมันอย่างช้าๆ ทหาร มาขนของทั้งหมดไปให้ข้า!”

คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา ผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดที่อยู่รอบด้านต่างพากันทำหน้าเหยเก ก่อนจะรุดขึ้นหน้ามาเก็บของเหล่านั้นไปทั้งหมด

ต้องมาเห็นผู้คนขนทรัพย์สินอันเป็นรากฐานของตระกูลตัวเองไปกับตา กรอบดวงตาของประมุขตระกูลไช่ก็แดงก่ำ ฝืนข่มกลั้นไฟโทสะเอาไว้ ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ใจกลับกระตุกเกร็ง

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้แซ่ป๋ายก็ไปก่อนล่ะ ไม่ต้องส่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ หันมากุมมือคารวะประมุขตระกูลไช่หนึ่งทีแล้วจึงหมุนกายเดินอาดๆ จากไปด้วยใบหน้าแดงปลั่ง

แม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องส่ง ทว่าประมุขตระกูลไช่ถอนหายใจยาวอยู่ในใจหนึ่งครั้ง รู้ดีว่าในเมื่อยอมลงให้แล้วก็ควรทำให้ถึงที่สุดไปเลย ดังนั้นจึงเดินเร็วๆ ก้าวเข้าไปเคียงข้างเพื่อเดินไปส่งอีกฝ่าย

พวกองค์รักษ์ก่อกำเนิดต่างก็เฝ้าขนาบซ้ายขวาของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งกลุ่มจึงเดินออกมาจากประตูใหญ่ตระกูลไช่ เฉินไห่รออยู่ด้านนอกด้วยท่าทางของคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาก็ปรี่ขึ้นหน้าใช้สายตาเย็นเยียบมองทุกคนของตระกูลไช่ราวกับว่าแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยคำเดียวเขาก็พร้อมลงมือกำจัดตระกูลไช่ได้ทันที

แม้ทำอย่างนี้จะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจไม่น้อย ก่อนจากไปเขายังหันกลับมาตบไหล่ของประมุขตระกูลไช่แล้วหัวเราะด้วยความลำพองใจ

“ประมุขตระกูลไช่ เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องส่งหรอก วันหน้าหากข้ามีเวลาจะมาพูดคุยกับเจ้าใหม่” ป๋ายเสี่ยวฉุนหลงระเริงอย่างยิ่งยวด สะบัดกายหนึ่งครั้งก็ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า เฉินไห่รีบติดตามไปทันที นักพรตคนอื่นๆ ก็บินออกมาพร้อมเพรียงกัน ไม่นานภายใต้การจับตามองด้วยความหวาดหวั่นของคนตระกูลไช่ ผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนก็พากันจากไป

เมื่อเห็นว่าพวกป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกลแล้ว ใบหน้าของประมุขตระกูลไช่ก็เกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน คำรามเสียงดังลั่นอย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป นัยน์ตาฉายความคลั่งแค้นเจ็บใจ และยิ่งมากด้วยความขมขื่น พวกผู้อาวุโสแต่ละคนที่อยู่ข้างกายก็ได้แต่เงียบงัน

“ช่างเถอะๆ พวกเขาเอาสมบัติอันเป็นรากฐานของตระกูลเราไปก็หมายความว่าคราวนี้เราพ้นจากหายนะฆ่าล้างตระกูลแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลไช่ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็ดูเหมือนจะแก่ชราลงไปไม่น้อย

เรื่องของตระกูลไช่มิอาจปกปิดไว้ได้แม้แต่น้อย ไม่นานแต่ละขั้วอิทธิพลก็ล้วนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาพากันหน้าเปลี่ยนสี ยิ่งกริ่งเกรงป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น ขณะเดียวกันสายตาของพวกเขาก็หันไปมองยังอีกสองตระกูล

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะยุติ ตระกูลไช่ถูกลงดาบเฉือนใจอย่างแรงไปแล้ว อันดับต่อมา…ก็คือตระกูลเฉินและตระกูลป๋าย ตระกูลเฉินนั้นยังดีหน่อย ทว่าตระกูลป๋าย…

“ตระกูลป๋ายคงจบเห่แน่แล้ว!”

ขณะที่แต่ละขั้วอิทธิพลในนครผียักษ์ต่างก็มั่นใจว่าเรื่องราวต้องเป็นเช่นนี้ กลุ่มของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังพุ่งทะยานไปยังที่ตั้งของตระกูลเฉินอย่างเกรียงไกร ตลอดทางแผ่นหยกส่งข้อความเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนจะหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือคล้ายกำลังส่งข้อความเสียงกลับไป

เฉินไห่ที่อยู่ข้างกายจับสังเกตอยู่นาน ใจอยากจะถาม แต่กลับรู้สึกว่าไม่ควรพูดโต้งๆ ดังนั้นจึงลองหยั่งเชิงหนึ่งประโยค

“ผู้กำกับการป๋าย ข่าวของตระกูลไช่คงแพร่ไปนานแล้ว ตอนนี้ตระกูลเฉินเองก็น่าจะมีการเตรียมการรอรับมือ พวกเราควรจะเพิ่มความเร็วอีกหน่อยดีหรือไม่?”

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายวางแผนไว้นานแล้ว พวกเราไปช้าหน่อยจะดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้อธิบายไปมากกว่านั้น แต่หยิบเอาแผ่นหยกมาส่งข้อความเสียงอีกครั้ง นั่นถึงได้พาคนทั้งกลุ่มบินตรงไปยังตระกูลเฉินอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

ตระกูลเฉินในยามนี้เตรียมการรับมือไว้ก่อนแล้วดังคาด อันที่จริงก่อนหน้านี้บุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็เคยได้คิดแผนรับมือในกรณีที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้ ดังนั้นทรัพยากรทั้งหมดในตระกูลเฉินจึงถูกโยกย้ายไปหมดแล้ว ทั้งยังทำกันอย่างเต็มความสามารถ ไม่เพียงแต่แอบส่งคนส่วนหนึ่งในตระกูลออกไปอย่างลับๆ ยังนำสมบัติส่วนใหญ่ของตระกูลแบ่งแยกเป็นหลายส่วนแล้วโยกย้ายไปซ่อนไว้ในเผ่าชนพื้นเมืองแต่ละแห่งที่ภายนอกมองดูแล้วไม่เหมือนข้องเกี่ยวกับตระกูลของพวกเขา

เผ่าชนพื้นเมืองเหล่านี้มองภายนอกเหมือนไม่มีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิน ทว่าในความเป็นจริงได้ถูกตระกูลเฉินควบคุมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ตอนนี้พอรู้ว่าตระกูลไช่เกิดเรื่อง ทุกคนของตระกูลเฉินต่างก็อกสั่นขวัญผวา ในโถงใหญ่ของตระกูลเฉินยามนี้ประมุขตระกูลเฉินและผู้อาวุโสอีกกลุ่มใหญ่ต่างก็หน้าซีดเซียว ลมหายใจของแต่ละคนล้วนยุ่งเหยิงไม่มั่นคง

“ไม่น่าจะเกิดปัญหา หลังจากรู้ว่าบุรพาจารย์ถูกขังพวกเราก็เริ่มกระจายทรัพย์สมบัติของตระกูลไปยังส่วนต่างๆ …”

“อีกอย่างเพื่อไม่ให้ถูกค้นพบ เราไม่เพียงแต่แบ่งออกเป็นหลายส่วน ยังอำพรางร่องรอยการเดินทางด้วย คาดว่าตอนนี้…พวกคนในตระกูลเหล่านั้นก็น่าจะไปถึงเผ่าชนพื้นเมืองแล้ว…”

“แต่พวกเราก็ไม่ควรยกหินกระแทกเท้าตัวเอง…ดูเหมือนว่าราชาผียักษ์ไม่ได้คิดจะฆ่าล้างพวกเราทั้งตระกูล เพียงแต่คิดจะลดทอนรากฐานของเราเท่านั้น…หากพบว่าพวกเราโยกย้ายทรัพย์สินไปไว้ที่อื่น…”

“หึ บุรพาจารย์ก็แค่ถูกขังเท่านั้น ตระกูลเฉินของเราไม่เหมือนตระกูลไช่ เราจะนั่งรอความตายอย่างเดียวไม่ได้!” ประมุขตระกูลเฉินกัดฟันกรอด เขานี่แหละที่เป็นคนยืนหยัดให้กระจายทรัพย์สินออกไปซ่อน แม้ตอนนี้จะหวั่นวิตกอยู่บ้าง แต่ก็ได้เพียงกัดฟันยืนหยัดทำต่อไป

ขณะที่ทุกคนต่างก็ปรึกษาหาหนทางรับมือกันอย่างเคร่งเครียด ทันใดนั้นห่างออกไปไกลก็มีเสียงแหวกอากาศดังลอยมา ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีรีบพากันเดินออกไปจากโถงใหญ่ แล้วก็เห็นทันใดว่าระหว่างฟ้าดินที่ห่างไปไกล ยามนี้มีผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนที่กำลังห้อทะยานมา…ราวกับเมฆทะมึนซึ่งซัดไล่หลังกันเป็นลูกๆ

ผู้ฝึกวิญญาณสองหมื่นคนนี้เหมือนจะคุ้นเคยกับการทำงานเป็นอย่างดี ชั่วพริบตาที่มาถึงก็ตรงเข้าโอบล้อมตระกูลเฉินไว้อย่างแน่นหนา หลังจากนั้นจึงแหวกทางเส้นใหญ่ไว้หนึ่งเส้น ก่อนจะเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินอาดๆ ก้าวเข้ามา ข้างกายมีเฉินไห่ที่ปราณสังหารซัดตลบ ยามที่กวาดสายตาลงบนร่างของคนตระกูลเฉินก็มิอาจปกปิดจิตสังหารของเขาได้เลย

และชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเยื้องกรายมาถึงตระกูลเฉินนั้น ในรัศมีเขตอิทธิพลของนครผียักษ์ บนยอดเขาข้างชนเผ่าพื้นเมืองแห่งหนึ่งที่มีขนาดกลางๆ โจวอีซิงและหลี่เฟิง รวมไปถึงผู้ฝึกวิญญาณอีกหลายพันคนกำลังยืนกันอยู่ตรงนั้น

ในมือโจวอีซิงมีแผ่นหยก นัยน์ตาฉายแสงคมกล้ามองไปยังหลี่เฟิงที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ใส่ใจนัก

“พี่หลี่ ผู้กำกับการใหญ่สั่งความมาว่าพวกเราควรลงมือได้แล้ว คุณความชอบครั้งนี้จะเป็นของเจ้าและข้าสองคน”

“ตระกูลเฉินใช้กลยุทธ์หลอกตา คิดหรือว่าจะมีประโยชน์!” หัวใจหลี่เฟิงเต้นรัวแรง ในใจเต็มไปด้วยความห้าวเหิม ก่อนหน้านี้หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหวนคืนกลับมาเป็นผู้กำกับการใหญ่อย่างรุ่งโรจน์ เขาและโจวอีซิงก็ได้ลืมตาอ้าปากทันที

พวกเขาสองคนเคยพูดคุยกันมาก่อน รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม นครผียักษ์อันยิ่งใหญ่มีขั้วอิทธิพลอยู่มากมาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเอง แต่ต้องร่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะเดินได้ไกลมากขึ้น ก้าวทะยานในหน้าที่การงาน และนับวันรอที่จะเจริญรุ่งเรืองได้เลย พอตอนนี้ได้ยินคำพูดของโจวอีซิงเขาจึงหัวเราะร่า ก่อนจะพาคนหลายพันด้านหลังพุ่งทะยานไปยันชนเผ่าพื้นเมืองตรงตีนเขาพร้อมกับโจวอีซิง!

ในชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อโจวอีซิงและหลีเฟิงออกคำสั่ง เหตุการณ์โกลาหลน่าตะลึงก็เกิดขึ้นทันที คนหลายพันคนตรงเข้าเข่นฆ่าอย่างไม่รั้งรอ

คนตระกูลเฉินที่ซ่อนตัวอยู่ในชนเผ่านี้หน้าเปลี่ยนสีทันใด พวกเขาพยายามดิ้นรนและต่อต้านด้วยความสิ้นหวัง ท่ามกลางการสังหาร ทันใดนั้นในกระโจมแห่งหนึ่งก็มีเสียงคนร้องอุทานด้วยความตะลึงระคนยินดี

“สมบัติของตระกูลเฉินซ่อนอยู่ที่นี่!”

โจวอีซิงดีใจอย่างบ้าคลั่ง พุ่งตัวเข้าไปในกระโจมนั้นเป็นคนแรก หลี่เฟิงก็ไม่คิดให้มากความ เพื่อแย่งคุณความชอบจึงพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทว่าวินาทีที่เข้าไปนั้น เขากลับหน้าเปลี่ยนสี ด้านในกระโจมไม่มีสมบัติใด มีเพียงคนสามคนที่ตรงเข้ามาหาเขาพร้อมไอสังหารเข้มข้น! คนหนึ่งในนั้นก็คือโจวอีซิง!

“โจวอีซิง เจ้า…” หลี่เฟิงตื่นตะลึง คิดจะถอยหนีแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว นี่คือฉากสังหารที่โจวอีซิงจัดวางเอาไว้ และเขาก็ยิ่งคำรามดังกลบทับเสียงของหลี่เฟิง ไม่นานนักหลี่เฟิงก็กระอักเลือด หน้าอกยุบยวบลงไป หัวใจแหลกละเอียด!

เขาเบิกตาค้างหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออกอีกแล้ว

“ฆ่าเจ้า ไม่ใช่เพื่อช่วงชิงคุณความชอบ” โจวอีซิงย่อตัวลงนั่ง ก่อนจะกระซิบเบาๆ ข้างหูหลี่เฟิงด้วยประโยคที่มีเพียงหลี่เฟิงเท่านั้นที่ได้ยิน

กล่าวจบเขาก็ตบลงไปบนกลางกระหม่อมของหลี่เฟิง เสียงกึกก้องดังสะท้อน วิญญาณของหลี่เฟิงแหลกสลายไปทันใด!

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ โจวอีซิงก็ลุกขึ้นมองสองคนที่อยู่ข้างกาย กล่าวรับคำหนักแน่นถึงความรุ่งโรจน์ร่ำรวยที่พวกเขาจะได้รับ สองคนนั้นนึกว่าโจวอีซิงทำไปเพื่อแย่งคุณความชอบ รู้ว่าตนช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ครั้งใหญ่ ยามนี้จึงถือว่าเป็นคนกันเอง พอได้ยินโจวอีซิงรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะจึงวางใจได้ทันที

ไม่นานคนตระกูลเฉินที่อยู่ในเผ่าชนพื้นเมืองก็ถูกกำราบ แม้แต่สมบัติอันเป็นรากฐานที่ตระกูลเฉินซ่อนไว้ในชนเผ่าแห่งนี้ก็ยังถูกริบไปหมด ขณะเดียวกันยังมีเผ่าชนพื้นเมืองอื่นๆ ในเขตอิทธิพลของราชาผียักษ์ที่มีฉากสังหารเกิดขึ้นดุจเดียวกัน ทรัพย์สินที่ตระกูลเฉินโยกย้ายมาซ่อนเอาไว้ต่างก็ถูกรวบไปหมดไม่มีเหลือ

สมบัตินั้นมีมากจนทำให้คนมองตาค้าง ลมหายใจถี่กระชั้น ทว่ากลับไม่มีใครกล้าคิดอยากได้สมบัติอันเป็นของผู้กำกับการป๋าย หลังจากพากันนำมามอบให้โจวอีซิงแล้ว โจวอีซิงก็พาทุกคนไปรวมตัวกันที่ตระกูลเฉินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ระหว่างทางผ่านป่าลวงวิญญาณพอดี นัยน์ตาของโจวอีซิงฉายแสงเย็นเยียบ ก่อนจะหาข้ออ้างหนึ่งสังหารคนของชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ในป่านี้ทั้งหมด และที่ยิ่งบังเอิญก็คือผู้ฝึกวิญญาณสองคนที่ช่วยเขาสังหารหลี่เฟิงก็ตายอยู่ที่นี่ด้วย

“ตอนนี้เขาก็ไม่มีพิรุธอีกแล้ว! แม่งเอ๊ย ข้าไม่ได้ทำเพื่อเขา แต่ข้าทำเพื่อตัวเอง!” โจวอีซิงพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา พยายามบอกให้ตัวเองไม่ต้องไปคิดถึงภาพในตำหนักใต้ดิน ทุกอย่างนี้ไม่ใช่แผนการของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นอย่างที่โจวอีซิงกล่าวไว้ นั่นคือเพื่อตัวเอง เขาถึงได้ทำเช่นนี้

ราชาผียักษ์ไม่ได้สงสัยในตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าโจวอีซิงรู้เรื่องมากมายยิ่งนักจึงเกิดความสงสัยมานานแล้ว โดยเฉพาะการก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจเขาก็มั่นใจไปแล้วถึงแปดเก้าส่วน

กระนั้นแม้การเปิดโปงตัวตนของป๋ายฮ่าวจะมีข้อดี แต่กลับเป็นข้อดีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น กลับกลายเป็นอย่างตอนนี้เสียอีกที่เอาตัวไปผูกติดกับอีกฝ่ายแล้วลองเดิมพันดู เพราะอนาคตมิอาจคาดการณ์ได้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!