Skip to content

A Will Eternal 693

บทที่ 693 พญาอินทรีจับลูกเจี๊ยบ

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปได้ไม่นาน พื้นที่ที่เขาประมือกับเสี่ยวหลางเสินก่อนหน้านี้ก็มีเงาร่างเจ็ดแปดเงาบินแหวกอากาศเข้ามา พอมองเห็นร่องรอยเวทลับของเสี่ยวหลางเสินที่หลงเหลืออยู่ รวมไปถึงเลือดสดกองโตที่เปรอะอยู่ทั่วบริเวณ ทุกคนก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะส่งข้อความให้แก่กันแล้วกระจายตัวตามหาไปรอบด้านอีกครั้ง

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังห้อตะบึงไปในหมอกควันอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ดวงตาทั้งคู่เผยความบ้าคลั่ง เสี่ยวหลางเสินไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนแรกที่เขาจับตัวมา เพราะก่อนหน้าที่จะมาเจอกับอีกฝ่าย เขาก็ได้จับคนมาแล้วเจ็ดแปดคน

“ใครใช้ให้เจ้าแปลงกายมาเล่นงานข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ก่อนที่เขาจะจับตัวเสี่ยวหลางเสินมา ก่อนหน้านี้เขาก็ใช้วิธีการต่อยหมัดเดียวจับคนเจ็ดแปดคนนั้นมาเหมือนกัน การลงมือหลายครั้งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นการลงมืออย่างแท้จริงหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก่อกำเนิดวิถีฟ้า นั่นจึงทำให้เขาพอจะรู้ถึงความพิเศษบางอย่างของก่อกำเนิดวิถีฟ้าบ้างแล้ว

“ทารกก่อกำเนิดวิถีฟ้าของข้าน่าจะสามารถข่มทารกก่อกำเนิดของคนอื่นได้…ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าลงมือก็ดูเหมือนว่าตบะของคนเหล่านั้นจะถูกลดทอนลงไป”

ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงภาพการต่อสู้ก่อนหน้านี้ที่ดูเหมือนตบะของเสี่ยวหลางเสินจะเกิดความผิดปกติไม่มั่นคง คิดมาถึงตรงนี้เขาก็เตรียมจะทดลองดูอีกครั้ง

ดังนั้นจึงรีบห้อตะบึงไปเร็วยิ่งกว่าเดิม ไม่นานนักเขาก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนจะรีบเปลี่ยนทิศทางเบี่ยงออกไปทางเขตฝั่งขวา แล้วเขาก็เห็นว่าตรงนั้นมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแดนทุรกันดารสองคนกำลังถูกวิญญาณพยาบาทจำนวนมากไล่ฆ่า

“ทดลองกับเจ้าสองคนนี้ก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะชั่วร้าย ยิ่งเพิ่มความเร็วตรงดิ่งเข้าหาคนทั้งสอง พริบตาเดียวศิษย์แห่งความภาคภูมิใจสองคนนั้นก็หันมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี กำลังจะเปิดปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ทันใดนั้นพายุบ้าคลั่งระลอกหนึ่งก็หมุนคว้างเข้าใส่อีกฝ่าย สองคนเพิ่งจะเตรียมสกัดกั้น ทว่าด้วยตบะก่อกำเนิดช่วงกลางของพวกเรามีหรือจะใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งเมื่อเจอกับเวทลับของป๋ายเสี่ยวฉุน ตบะของพวกเขาก็ถูกระงับจนการโคจรตบะติดขัด ทำเอาทั้งสองหน้าเปลี่ยนสี

ยังไม่ทันรอให้คิดหาวิธีแก้ไขได้ เสียงดังอึกทึกก็ดังกึกก้อง พวกเขากระอักเลือดสด ร่างถอยกรูดไปข้างหลัง ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเดินหน้ามาหนึ่งก้าว มือทั้งคู่คว้าจับผ่านอากาศ เพียงเท่านั้นคนทั้งสองก็เข้ามาอยู่ในกำมือ

พอลงผนึกและโยนเก็บไว้ในถุงเก็บของเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกบานอารมณ์ดี เมื่อครู่นี้เขาลองสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตบะคนทั้งสองโดยเฉพาะ ยามนี้จึงมั่นใจแล้วว่าก่อกำเนิดวิถีฟ้าของตนสามารถกำราบก่อกำเนิดของคนอื่นๆ ได้จริง นั่นจึงทำให้เขาฮึกเหิมทันใด

“สวรรค์ ที่แท้ข้าก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนตัวจากมาพร้อมความคึกคัก

และก็เป็นแบบนี้ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจากแดนทุรกันดารที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณล้วนกลายมาเป็นเหยื่อ ส่วนตัวป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นผู้ล่า ขณะที่เรือนกายของเขาผลุบๆ โผล่ๆ ไร้สุ้มเสียง ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนแล้วคนเล่าก็ถูกเขาจับตัวไปคล้ายพญาอินทรีจับลูกเจี๊ยบ

หากเจอคนจำนวนมาก เขาจะถอยห่างออกมาก่อน แต่หากเจอใครอยู่คนเดียวก็จะระเบิดพายุออกไปโจมตี อีกทั้งทุกครั้งที่ลงมือยังใช้เวลาน้อยนิด ตอนหนีก็ยิ่งเผ่นทะยานรวดเร็ว นี่จึงทำให้ทุกคนมิอาจล้อมโจมตีเขาได้อีกครั้ง

“สมควรตายนัก เหตุใดเจ้าป๋ายฮ่าวถึงได้ไปมาอย่างอิสระอยู่ในหมอกแบบนี้!!”

“มีคนหายตัวไปสิบกว่าคนแล้ว…”

“แจ้งให้ทุกคนรู้ว่าอย่าออกตามหาเพียงลำพัง อย่างน้อยต้องเกาะกลุ่มกันห้าคน!”

ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณส่วนใหญ่ล้วนเห็นกงซุนอี้ โจวหงและซวี่ซานเป็นหัวหน้า ยามนี้พวกเขาต่างก็ส่งข้อความเสียงเอ่ยเตือนกันและกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเริ่มกลัดกลุ้มเล็กน้อย หากรวมกันห้าคน แม้เขาจะยังจับตัวได้ แต่ก็ต้องใช้เวลามากกว่าเดิม ขณะที่กำลังตามหาไปมาอยู่ในกลุ่มหมอกและคิดว่าควรจะเสี่ยงเปลี่ยนรูปแบบของหน้ากากปะปนไปอยู่ในกลุ่มคนดีหรือไม่นั้น เขาก็พลันยิ้มร่า

“มีคนอยู่คนเดียว!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายระยับ มองไกลๆ ไปเห็นเรือนกายใหญ่โตของคนผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินยาวๆ สังหารฝ่าวงล้อมของวิญญาณพยาบาท นั่นคือชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ซึ่งเขาก็คือ…จ้าวตงซาน

“อยู่ไกลไปหน่อยแหะ หากเขาหายตัวหนีไป ข้าไล่ตามก็อาจต้องเสียเวลา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบถุงเก็บของหยิบเอาธนูคันใหญ่ออกมา

แทบจะขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นจ้าวตงซาน

จ้าวตงซานเองก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน

เดิมทีจ้าวตงซานก็หวาดผวาเป็นทุนอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าคนไม่น้อยหายตัวไป ขณะที่กำลังจะเดินทางไปรวมกับคนอื่นๆ ที่นัดหมายกันไว้ในบริเวณใกล้เคียง ทว่าตอนที่เขากำลังฝ่าวงล้อมของพวกวิญญาณพยาบาท ในใจกลับรู้สึกถึงวิกฤตรุนแรง วิกฤตเช่นนี้หาใช่สัมผัสได้จากอำนาจจิต แต่สัมผัสได้จากวิชาพิเศษที่เขาฝึกฝน เป็นคำเตือนจากเรือนกายที่มีเลือดเนื้อของเขา!

เมื่อหันหน้ากลับมาเขาก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในปราดเดียว หน้าของเขาพลันเผือดสี รีบร่ายวิชาหายตัวอย่างไม่ลังเล หมายจะหนีไป ทว่าวินาทีที่เขาร่ายวิชาหายตัวนั้น ลูกธนูดอกหนึ่งที่พกพาเอาพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามก็แล่นฉิวเข้ามา ยังไม่ทันรอให้เข้ามาใกล้ ลูกธนูนั้นก็ระเบิดตัวเองไปเสียก่อน

เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว พลังระเบิดนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงอากาศในฉับพลัน

“ลูกธนูหลอมพลังจิต!!” เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของจ้าวตงซาน และก็มีเพียงลูกธนูที่อย่างน้อยหลอมพลังจิตสิบครั้งขึ้นไปแบบนี้เท่านั้นถึงจะทำให้ห้วงอากาศปั่นป่วนได้หลังจากที่ระเบิดตัวเอง ทั้งยังบีบให้การหายตัวของเขาถูกขัดจังหวะ

จ้าวตงซานร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ กำลังจะถอยหนี ทว่าที่ตามมาติดๆ คือดวงตาของเขาฉายแววสิ้นหวัง เขามองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห่างออกไปไกลถือธนูคันใหญ่อยู่ในมือแล้วขึ้นสายอีกเจ็ดครั้งติดต่อกัน ทันใดนั้นก็มีลูกธนูเจ็ดดอกพุ่งสวบๆๆ เข้ามาใกล้ในพริบตา

“ป๋ายฮ่าว!!” จ้าวตงซานร้องคำรามดังลั่น เนื่องจากธนูระเบิดตัวเอง ความจึงว่างเปล่าปั่นป่วนจนเขามิอาจหายตัวได้ ยามนี้จึงได้แต่ถอยกรูดไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้เขายังดูหมิ่นป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าตอนที่ทุกคนล้อมโจมตี เขากลับเป็นคนแรกที่ลงมือและถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชนจนลอยลิ่วไปไกล ตอนนี้หน้าอกยังเจ็บแปล๊บๆ ไม่หาย เขาจึงไม่มีแก่ใจจะต่อสู้กับอีกฝ่ายอีกต่อไป แต่ว่าชั่วขณะที่เขาถอยหนีนั้น ลูกธนูอีกเจ็ดดอกกลับระเบิดตัวเองอีกครั้ง

เสียงกัมปนาทกึกก้องไปแปดทิศ จ้าวตงซานกระอักเลือด กำลังจะเผ่นหนีอย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขายังถือว่าช้ากว่ามาก พริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทะยานมาถึงด้วยท่าทางแกร่งกร้าวเหี้ยมโหด

“เจ้าร้ายกาจนักไม่ใช่หรือ แม่งเอ๊ย กล้าลงมือกับนายท่านป๋ายของเจ้าเป็นคนแรกเชียวรึ นายท่านป๋ายอย่างข้าจะซ้อมเจ้าให้ตายเลย!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงภาพที่จ้าวตงซานลงมือกับตัวเองก่อนใครก็ยิ่งโมโห ไม่พูดมากความก็ควงหมัดต่อยโครมออกไป หมัดนี้อานุภาพน่ากริ่งเกรง มาพร้อมกับเสียงดังสะเทือนแก้วหู ขณะที่พลังโจมตีไร้ที่สิ้นสุดที่แผ่กระจายไปทั่ว ร่างของจ้าวตงซานก็หายวับเพราะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเหวี่ยงเข้าถุงเก็บของไปแล้ว ครั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหมุนตัวจากไปไกล

ขณะที่กำลังลอดทะลวงไปตามกลุ่มหมอก หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นระรัวแทบไม่เป็นจังหวะ เขารู้สึกว่าการลงมือครั้งนี้ช่างสะใจยิ่งนัก ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นซ่อนหาแบบนี้ทำให้หัวใจเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ไอ้พวกขี้ขลาด ดีแต่เป็นหมาหมู่มารังแกคนอื่น หึหึ ไม่เห็นมีใครกล้ามาสู้กับนายท่านป๋ายอย่างข้าตัวต่อตัวเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง มีความรู้สึกเหมือนใต้หล้านี้ข้าไร้ผู้ต่อกร ท่ามกลางความลำพองใจ เท้าของเขาพลันชะงัก เพราะมองเห็นว่ากลุ่มหมอกเบื้องหน้าเยื้องไปทางขวามือมีวิญญาณพยาบาทจำนวนไม่น้อยหวีดร้องเสียงแหบโหยดังมาเป็นพักๆ คล้ายกำลังล้อมโจมตี

“จะได้ลงมืออีกแล้ว ข้านี่คือพญาอินทรีที่กำลังไล่จับลูกเจี๊ยบแท้ๆ …”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ มองไกลๆ ก็เห็นว่าตรงนั้นมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจห้าคนที่ถูกวิญญาณพยาบาทโอบล้อมและกำลังฝ่าวงล้อมออกมา ในห้าคนนั้นสี่คนตบะก่อกำเนิดช่วงกลาง อีกคนหนึ่งคือช่วงท้าย เมื่อร่วมมือกันก็ลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณี มองดูแล้วอีกไม่นานเท่าไหร่ก็น่าจะฝ่าวงล้อมออกมาได้

“น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถควบคุมวิญญาณพยาบาทของที่นี่ได้ หาไม่แล้วทุกอย่างก็ล้วนง่ายดาย พวกเขาไม่มีทางหนีรอดแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็พลันหยิบไฟสิบห้าสีกลุ่มหนึ่งออกมาแล้วหัวเราะหึหึ ก่อนจะถือลูกไฟพลางอำพรางคลื่นตบะขยับเข้าใกล้ไปด้วย

ไม่นานนักเสียงดังเกริกก้องก็สะท้านไปทั้งแผ่นฟ้า ตามติดมาด้วยเมฆบนนภากาศที่เปลี่ยนมาเป็นสีแดงฉาน จากนั้นก็มีฝนไฟเทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า นั่นก็คือเวทอภินิหารไฟสวรรค์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก่อกำเนิดวิถีฟ้า เวทอภินิหารไฟสวรรค์ที่เดิมทีนึกว่าจะใช้ไม่ได้ผลแล้วกลับยังคงร่ายใช้ได้อย่างราบรื่น ซึ่งสาเหตุน่าจะเป็นเพราะความพิเศษของทารกก่อกำเนิดวิถีฟ้า พริบตาเดียวทะเลเพลิงก็แผ่กระจาย เหล่าวิญญาณพยาบาทพากันถอยร่น ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยทะเลเพลิงล้วนหน้าเปลี่ยนสี อานุภาพของไฟสิบห้าสีนี้ ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังตกตะลึง อีกทั้งนี่คือไฟสวรรค์ไร้ที่มา มิอาจเก็บมาครองได้ คนทั้งห้าจึงได้แต่เพิ่มความเร็วฝ่าออกไปจากที่นี่ ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉวยโอกาสที่สถานการณ์กำลังวุ่นวายโผล่พรวดออกมา ในมือของเขาถือทวนยาว ระเบิดพลังต่อสู้ของทั้งร่างแล้ววูบหายเข้าไปในทะเลเพลิง

เสียงกัมปนาทดังไปทั่วด้าน และเวลาแค่ประมาณสิบกว่าลมหายใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนกายเผ่นหนี ทะเลเพลิงเบื้องหลังจางหาย เงาร่างของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเช่นกัน

ในกาหลอมวิญญาณโกลาหลวุ่นวายอย่างสมบูรณ์แบบ เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจากแดนทุรกันดารต่างอกสั่นขวัญผวา มาจนถึงตอนนี้พวกเขาก็รู้ว่ามีคนหายตัวไปเกือบสามสิบคนแล้ว

ป๋ายฮ่าวเร็วเกินไป ทุกครั้งที่พวกเขาตามไปถึงที่เกิดเหตุก็ไม่สามารถล้อมโจมตีอีกฝ่ายได้ทันกาล

อีกทั้งทุกคนต่างก็ค้นพบว่าผีร้ายที่อยู่ในหมอกควันมองข้ามป๋ายฮ่าวไปอย่างสิ้นเชิง

นี่ทำให้ทุกคนคับแค้นใจ โทสะก็ยิ่งเดือดพล่าน ขณะเดียวกันก็หวาดหวั่นมากด้วย เพราะการแก้แค้นของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วฉับไว

ตอนนี้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเกือบร้อยคนที่ยังเหลืออยู่ได้แบ่งกันเป็นสี่กลุ่มซึ่งวนเวียนอยู่ใกล้กงซุนอี้ โจวหง ซวี่ซานและองค์ชายรอง หลีกเลี่ยงการเดินทางเพียงคนเดียว สถานการณ์ถึงได้ทรงตัวขึ้นกว่าเดิม

ทว่านี่ไม่ใช่แผนรับมือระยะยาว

เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็ต้องตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนให้เจอ หาไม่แล้วหากยังคุมเชิงกันเช่นนี้ต่อไป ผลราชาผีก็จะไม่ตกเป็นของพวกเขาจริงๆ

ต่อให้ทุกคนแยกตัวไม่ห่างกันไกลนัก ทั้งยังทำการค้นหาแบบหว่านแห ทว่านี่ก็ยังเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมเมื่ออยู่ในกาหลอมวิญญาณ เพราะอย่างไรแล้วผีร้ายวิญญาณอาฆาตที่อยู่ในหมอกก็มีมากเกินไป หากพวกเขาค้นหาถี่ๆ แบบนี้เกรงว่าคงยังไม่ทันเจอตัวป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะไปล่อให้พวกวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนมาเล่นงานพวกเขาแทนเสียก่อน

ขณะที่หันไปทางซ้ายก็ยากหันไปทางขวาก็ลำบาก ทั้งสี่ฝ่ายจึงก็มีการจัดการเป็นของตัวเอง ทางฝ่ายองค์ชายรองพาคนติดตามไปด้วยหลายสิบคนโดยไม่แยกจากกันและเริ่มทำการตามหาพร้อมกับเฉินม่านเหยา

ส่วนกงซุนอี้ โจวหงและซวี่ซาน แม้ว่าคนทั้งสามต่างก็มั่นใจในตัวเอง ทว่าก็ยังพาคนติดตามไปด้วยสามคนห้าคนแล้วแบ่งกันตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนไปทั่วสี่ทิศ ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าดูเหมือนกลุ่มห้าคนจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงรวมกลุ่มสิบคน เมื่อเป็นเช่นนี้หากเจอป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาก็มั่นใจว่าจะถ่วงเวลาได้จนกระทั่งคนอื่นๆ ตามมาทัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!