บทที่ 696 หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ
กระดูกคงกระพันขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย นี่คือครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ* อันเป็นเวทลับของขั้นนี้ ปราณทั่วร่างของเขาบีบอัดเข้าหากันอย่างรวดเร็วราวกับว่าในเวลานี้เลือดเนื้อ จิตวิญญาณและพลังชีวิตทั้งหมดล้วนถูกบีบอัดถึงขีดสุด
กระดูกของเขาส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆ คล้ายกลายมาเป็นรากฐานของหมัดที่น่าครั่นคร้ามตกตะลึงนี้ เมื่อเลือดเนื้อทั่วร่างถูกบีบอัดจึงกลายมาเป็นต้นกำเนิดพลังงานที่ระเบิดลูกคลื่นอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง!
ต้นกำเนิดพลังงานนี้เหมือนกลายมาเป็นลมพายุบ้าคลั่งที่พวยพุ่งขึ้นมาในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพลุ่งพล่าน หากกระดูกของเขามีการป้องกันไม่แข็งแกร่งมากพอ ลมพายุนี้ก็รุนแรงพอจะฉีกกระชากเรือนกายที่มีเลือดเนื้อของเขาให้แหลกลาญได้เลย!
และทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในร่างกายของเขา เมื่อกระดูกอันเป็นรากฐานแข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อพลังเลือดเนื้อไต่ทะยานอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพลังกล้ามเนื้อทั่วร่างถูกบีบอัดอย่างบ้าคลั่ง สุดท้าย…ก็ใช้ผิวหนังทั่วร่างมาเป็นทางระบายออก
มาถึงเวลานี้ การเปลี่ยนแปลงอันเป็นกุญแจสำคัญที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว การโคจรอันเป็นเอกลักษณ์ของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญทำให้พลังการระเบิดที่เดิมทีควรแผ่ไปทั่วผิวหนังทั่วเรือนกายถูกระงับเอาไว้ คล้ายถูกปิดผนึกไปเสียเก้าจุดเก้าส่วน หลงเหลืออยู่เพียงแค่ตรง…หมัดขวาที่กำเอาไว้ของเขาเท่านั้น!
มีเพียงหมัดขวานี้เท่านั้นที่เป็นจุดรวมพลังการระเบิดหนึ่งเดียวของพละกำลังทั่วร่าง!
ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้คล้ายเกิดเป็นหลุมดำ บีบอัดทุกสิ่ง ย่อหดทุกอย่าง น้ำวนสีดำที่อยู่ข้างนอกหมัดขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ปราณกร้าวแกร่งสะเทือนฟ้าดินจนถึงขั้นที่มิอาจควบคุมอีกต่อไป!
ประหนึ่งว่าหากไม่ปล่อยหมัดนี้ออกมา ถ้าเช่นนั้นร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะถูกพลังของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญนี้โจมตีกลับ กระแทกให้ร่างตัวเองดับสลาย!!
อีกทั้งด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเงามายาหนึ่งเงาจำแลงออกมาอย่างเลือนราง เงามายานี้คล้ายสวมชุดคลุมยาวของจักรพรรดิ สวมมงกุฎของจักรพรรดิ แม้จะเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่กลับมีกลิ่นอายของความเผด็จการ กลิ่นอายของความสูงศักดิ์เหนือล้ำเกินผู้ใดแผ่ออกมา!
เมื่อเงยหน้าขึ้น ความว่างเปล่ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายจะแหลกละเอียด ห้วงอากาศบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พวกกงซุนอี้ ซวี่ซาน องค์ชายรองและเฉินม่านเหยาที่กำลังทะยานเข้ามาใกล้พากันสูดลมหายใจเฮือกอย่างตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง!
โดยเฉพาะโจวหงที่เนื่องจากอยู่ใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากที่สุด พอสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่แผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน หัวใจของเขาก็พลันรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นความตายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ยังไม่ทันรอให้โจวหงมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แสยะปากยิ้มก็พลันออกหมัดต่อยเข้าใส่เส้นสีดำ…ต่อยเข้าใส่…โจวหง!!
วินาทีที่หมัดนี้เหวี่ยงโครมออกมา เงาจักรพรรดิด้านหลังของเขาก็ผสานรวมเข้ามาอยู่ในหมัด เมื่อเหวี่ยงควงออกไป ความเผด็จการจึงพวยพุ่งเทียมฟ้าไปตลอดทาง ปณิธานแห่งจักรพรรดิสะท้านจิตเขย่าขวัญ!
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆซัดโหมตลบประหนึ่งมียักษ์ตนหนึ่งออกหมัดซัดพลังทั้งร่างลงสู่พื้นดิน อีกทั้งชั่วขณะที่ชกออกมานั้น แรงดึงดูดจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ถูกส่งออกมาจากรอบด้านจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าน้ำวนสีดำที่น่าตกตะลึงลูกหนึ่งกำลังขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
พริบตาเดียวก็ปกคลุมรัศมีสิบจั้ง เข้ามาแทนที่สีสันทั้งหมดบนโลกใบนี้ ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของฟ้าดิน ราวกับว่าตอนนี้โลกทั้งใบเหลือเพียงแค่หมัดนี้กับน้ำวนสีดำเท่านั้น!
หนึ่งหมัดซัดออกไปนภากาศเปลี่ยนสี โจวหงร้องคำรามเสียงแหบแห้ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาฉายความตะลึงพรึงเพริดและหวาดกลัว ในใจสั่นรัวผวาหวาดถึงขีดสุด ในสมองมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถม ท่ามกลางเสียงร้องคำรามแหบพร่านี้ ร่างของเขาพลันระเบิดแสงสีเขียวออกมาเป็นระลอก ก่อนจะกลายมาเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่มาปรากฏอยู่ในมือของเขาแล้วตวัดฟันเข้าใส่หมัดที่พุ่งเข้ามาใกล้
“เก้านรกภูมิฟาดฟัน!!” โจวหงบ้าระห่ำขึ้นมาทันใด การฟาดฟันของเขาครั้งนี้ก็สะเทือนฟ้าดินไม่ต่างกัน แสงกระบี่สีเขียวคล้ายแบ่งผ่าความว่างเปล่า ส่วนเส้นสีดำที่อยู่รอบด้านก็เหมือนกลายมาเป็นฝนกระบี่ที่พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมปลดปล่อยแสงสีระยิบระยับ
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ห่างไปไกลใจแกว่ง การเข่นฆ่าในระดับนี้พวกเขาเคยเห็นจากผู้อาวุโสในตระกูล แต่ในคนรุ่นเดียวกันกลับไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก
ทว่าทุกอย่างนี้กลับเป็นเหมือนดอกถานฮวาที่บานชั่วค่ำคืน เมื่อแสงกระบี่สีเขียวปะทะเข้ากับน้ำวนสีดำที่ก่อตัวจากหมัดนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงอึกทึกก็ดังสะท้านฟ้าจากแปดทิศ!!
ตูมๆๆๆ!!
เสียงดังราวหูจะดับก้องกังวานไปทั่วบริเวณ แสงกระบี่สีเขียวของโจวหงพังทลายไปในพริบตา เส้นสีดำเหล่านั้นก็ยิ่งบิดเบือนทั้งหมด เป็นดั่งควันหลายเส้นที่ถูกลมพายุพัดกวาดไปเพียงชั่วลัดนิ้วมือ และโจวหงก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ กระดูกทั่วร่างแตกหักไปเกินครึ่ง เลือดและเนื้อปนกันจนแทบแยกไม่ออก
แม้แต่ทารกก่อกำเนิดก็ยังกระเด็นออกมาจากร่างและหมดสติไปทันที ส่วนร่างกายของเขาก็ปลิวลิ่วกระเด็นไปไกลราวกับว่าวที่สายป่านขาด
หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญที่เผยกายครั้งแรก สะเทือนขวัญเขย่าคลอนคนทั้งโลก!
และนี่ยังเป็นเพียงระดับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้ทุ่มแรงเต็มที่ เขาใช้พลังไปเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น เพราะอย่างไรซะหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญนี้ก็แข็งแกร่งเกินไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนกังวลว่าหากตนไม่ระวังจะต่อยให้โจวหงตายเอาได้
ทว่าเพียงแค่พลังสามส่วนกลับสะท้านไปทั้งแปดทิศ
หมัดนี้เป็นอย่างที่บรรยายไว้จริง สามารถโจมตีฟ้า ดับทำลายพื้นดิน อานุภาพมากมหาศาลจนไม่ใช่สิ่งที่ตรวนสลายลำคอและชนาเขย่าภูเขาจะเทียบเคียงได้! ทั้งยังมีพลังแห่งความเผด็จการขุมหนึ่งที่เขย่าขวัญกระเทือนจิตวิญญาณ!
ทั้งหมดนี้ประหนึ่งอสนีบาตที่มาระเบิดอยู่ข้างหูทุกคน ทุกคนที่ยืนอึ้งอยู่พักใหญ่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจดังเฮือก ต่อให้เป็นกงซุนอี้และองค์ชายรองก็ยังใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาลองชั่งน้ำหนักและเปรียบเทียบกับตัวเองดูโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็ค้นพบด้วยใจที่สั่นรัวยิ่งกว่าเก่าว่าต่อให้เป็นพวกเขาเอง เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่เปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานแห่งจักรพรรดิเช่นนั้น…ผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ได้ดีไปกว่าโจวหงมากนัก ยากที่จะปะทะกันซึ่งๆ หน้า!
หมัดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะต้านทานได้ไหว!
ไม่มีใครคาดคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีวิธีการที่น่าตกใจขนาดนี้ พลังของหมัดนี้เรียกได้ว่าไม่ใช่ระดับของก่อกำเนิดแล้ว…
เมื่อโจวหงหมดสติ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งถลาไล่ตามไปทันที ก่อนจะคว้าเก็บทารกก่อกำเนิดและร่างจริงของโจวหงไป จากนั้นจึงกลายร่างเป็นรุ้งยาวพุ่งฉิวออกไปไกลโดยไม่มีหยุดชะงัก
ทุกคนที่อยู่รอบด้านลมหายใจถี่รัว หมายจะก้าวเท้าไล่ตามไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าพวกเขาเพิ่งจะยกเท้าขึ้น เสียงโอหังอวดดีของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห่างออกไปไกลกลับแว่วลอยมา
“อย่ามายุ่งกับข้า หมัดแบบนี้ ข้าผู้อาวุโสยังต่อยได้อีกหนึ่งร้อยครั้ง พวกเจ้าเชื่อหรือไม่!”
เสียงนี้แฝงเร้นไว้ด้วยความเผด็จการ ความจองหอง แม้ทุกคนที่ได้ยินจะรู้สึกบาดหู แต่กลับพากันชะงักฝีเท้าทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น…พวกเขาถึงขนาดไม่กล้าไล่ตามต่อไป!
ต่อให้เป็นกงซุนอี้ก็ยังตัวสั่น สีหน้าไม่น่าดู ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ยกเท้าขึ้นอีกครั้ง ได้แต่หายใจถี่รัว จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกล
ความภาคภูมิใจในตัวเองของเขาถูกโจมตีอย่างไม่เหลือดี
และยังมีซวี่ซานหญิงป่าเถื่อนคนนั้นที่สีหน้าแข็งค้าง ตอนที่มองไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของนางเผยความมีชีวิตชีวาที่เคล้าไว้ด้วยความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อนและความเลื่อมใส…
สายตาขององค์ชายรองวูบไหวอย่างรวดเร็ว ในใจมีความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา ไม่ได้สนใจเฉินม่านเหยาที่อยู่ข้างกาย
แต่จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ในดวงตานั้นฉายความสงสัยและความตะลึงลานอย่างลึกล้ำ
“หมัดแบบนี้เขาต่อยออกมาได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นแหละ!!”
“ถูกต้อง หาไม่แล้วเขาจะยังหนีไปอีกทำไม ด้วยนิสัยมีแค้นต้องชำระของเขา เมื่อครู่นี้ก็ต้องฉวยโอกาสลงมือตอนที่พวกเรายืนอึ้งกันแล้ว!” ผ่านไปพักใหญ่ ทุกคนที่อยู่รอบด้านจึงทยอยกันเปิดปาก
ทว่าพวกกงซุนอี้กลับเงียบงัน พวกเขาเป็นผู้นำของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ สติปัญญาจึงไม่ธรรมดา มีหรือจะมองไม่ออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น
ทว่าต่อให้จะแค่ข่มขู่ให้กลัว พวกเขาก็ยังมิอาจปัดเป่าเงาดำมืดที่แผ่ปกคลุมใจจนจุดลึกในใจของพวกเขาบังเกิดความหวาดกลัวเพราะหมัดนั้นไปได้
หลังจากเงียบงันไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ ซวี่ซานก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพุ่งตามไปโดยไม่บอกไม่กล่าวผู้ใด หลังจากนั้นองค์ชายรองและเฉินม่านเหยาก็ตามไปติดๆ ความคิดของสามคนนี้หาใช่ต้องการประมือกับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นอย่างอื่น…ข้อนี้คนอื่นมองไม่ออก แต่กงซุนอี้กลับรู้สึกได้
ท่ามกลางความเงียบเฉย เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ด้วยดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ปณิธานแห่งการต่อสู้พลันพวยพุ่งสู่ฟ้า
“ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้มีคนอีกคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหยียบหัวของข้า ป๋ายฮ่าว…นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าได้เดินเข้ามาสู่สายตาของข้าอย่างแท้จริงแล้ว!!”
ตบะของกงซุนอี้ระเบิดตูมออกมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไป แต่พุ่งทะยานไปยัง…จุดที่บุปผาราชาผีผลิบาน!
“เจ้าต้องมาที่นี่แน่ และข้าก็จะรอต่อสู้กับเจ้า…อยู่ที่นี่!” นัยน์ตาของกงซุนอี้ฉายแววเด็ดเดี่ยวและเจตจำนงการต่อสู้ที่โชติช่วง
ส่วนคนอื่นๆ นั้นกลับมองหน้ากันไปมาด้วยความขมขื่น เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไปมีเรื่องกับมารร้ายอย่างป๋ายฮ่าว แต่ไม่ว่าใครก็มิอาจหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าเจ้าคนที่เดิมทีตัวเองคิดว่าสามารถบีบและคลายอยู่ในกำมือได้ตามใจชอบกลับจะกลายมาเป็นบุคคลดั่งสัตว์ยักษ์ป่าเถื่อนที่ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านไปยันจิตวิญญาณเช่นนี้
…………………
*ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อจากหมัดเทพไม่ดับสูญเป็นหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ เนื่องจากคำว่า 帝 ที่ใช้ในศัพท์คำนี้สามารถแปลได้สามความหมายคือพระผู้เป็นเจ้า/เทพเจ้า ราชา/จักรพรรดิ และจักรวรรดิ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีบริบทชี้ชัด ผู้แปลจึงเลือกใช้คำว่าหมัดเทพเพราะน่าจะครอบคลุมกับพลังของวิชานี้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในบทนี้มีการชี้ชัดว่าควรใช้คำว่าจักรพรรดิจึงจำต้องมีการเปลี่ยนชื่อ ซึ่งผู้แปลจะทำการรีไรท์ให้สำหรับบทก่อนหน้านี้ในภายหลังค่ะ*