บทที่ 720 หมัดจักรพรรดิหมิง
“ครั้งนี้ข้าไม่ได้วางเพลิงจริงๆ นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนหัวใจสั่นรัวไปหมด ขณะที่ถอยหนีก็พูดอธิบายด้วยน้ำเสียงดั่งคนได้รับความไม่เป็นธรรมไปด้วย
เขาไม่อธิบายยังดี แต่พออธิบายอย่างนี้ วิญญาณป๋ายฮ่าวก็แอบร้องกับตัวเองว่าซวยแล้ว คิดจะเอ่ยห้ามแต่ก็สายเกินไป เห็นเพียงว่าผู้ฝึกวิญญาณของกองทัพผียักษ์ที่ตรงเข้ามาเข่นฆ่าต่างก็ร้องคำรามเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม พวกเขาพากันไพล่นึกไปถึงเรื่องทะเลเพลิงก่อนหน้านี้ แค้นเก่าแค้นใหม่ทับซ้อนเข้าด้วยกัน อารมณ์จึงพลันระเบิดตูมออกมาทันที
และความเร็วของสตรีธุลีแดงนั้นก็ยิ่งมากกว่าใคร มือขวาของนางยกขึ้นชี้ไปยังยอดเขาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้วเงื้อมือตบผ่านอากาศ พริบตาเดียวฟ้าดินแห่งนี้ก็ถูกเจตจำนงของสตรีธุลีแดงเข้าแทนที่ กลายมาเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์ ทั้งบนร่างของนางยังกลายมาเป็นตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ ฝ่ามือนี้ฟาดครั่นครืนลงไปยังยอดเขาแห่งนั้น
แผ่นดินสั่นไหว ยอดเขาก็ยิ่งพังทลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยในชั่วพริบตา เศษหินฝุ่นคลีซัดสาดไปแปดทิศ ขณะเดียวกันร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่กลางอากาศห่างออกไปหนึ่งพันจั้งแล้ว ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น รีบพูดทันที
“โจวจื่อโม่ เจ้ามีเหตุผลบ้างได้ไหม ข้าไม่ได้วางเพลิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนก พร้อมกับรีบส่งข้อความเสียงไปหาราชาผียักษ์ด้วย
“หืม?” สตรีธุลีแดงมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถึงกับเบี่ยงหลบฝ่ามือพิโรธของตนไปได้ ต้องรู้ว่านางคือคนฟ้า ฝ่ามือนี้เข้ามาแทนที่เจตจำนงฟ้า วินาทีที่ฟาดออกมาก็หมายเอาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้แล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยังสามารถหลบเลี่ยงไปได้
“พลังในการต่อสู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เสด็จพ่อบอกจริงด้วย…” สตรีธุลีแดงแค่นเสียงเย็น กำลังจะลงมือต่อ แต่เวลานี้เอง นางพลันขมวดคิ้วมุ่น เพราะแผ่นหยกส่งข้อความเสียงในถุงเก็บของมีเสียงเกรี้ยวกราดของราชาผียักษ์ดังออกมา
สตรีธุลีแดงสีหน้ามืดคล้ำ หยิบแผ่นหยกขึ้นมารับฟัง ก่อนที่นางจะยืนส่งข้อความกลับไปยังราชาผียักษ์อยู่กลางอากาศ พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นภาพนี้ เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาได้ทันที
“อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วจริงๆ นังเฒ่าธุลีแดงผู้นี้ไม่มีเหตุผล ครั้งนี้ข้าไม่ได้วางเพลิงสักหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ รู้สึกว่าชะตาชีวิตตนช่างรันทดนัก ขณะเดียวกันแอบมองประเมินสตรีธุลีแดงเงียบๆ ด้วยความร้อนตัว
ส่วนผู้ฝึกวิญญาณของกองทัพผียักษ์ที่อยู่รอบด้านซึ่งพอเห็นว่าแม่ทัพใหญ่ลงมือเองก็พากันข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ โอบล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนให้อยู่ในวง ปิดผนึกสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นหนา ปราณดุร้ายในดวงตาเข้มข้นอย่างถึงที่สุด ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองเห็นหวาดผวาไม่คลาย
พอได้พูดคุยกับบิดาของตัวเอง สตรีธุลีแดงก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก ถึงท้ายที่สุด นางก็ถึงกับบีบแผ่นหยกส่งข้อความเสียงจนแหลกละเอียด เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอีกฝ่ายบีบแผ่นหยกจนแตกก็ตกตะลึงอยู่ในใจ
“หากเจ้ารอดพ้นจากการโจมตีของข้าได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปจากค่าย นับแต่นี้เป็นต้นไป อย่าได้มาโผล่หน้าให้ข้าเห็นอีก!”
เสียงของสตรีธุลีแดงเย็นเป็นน้ำแข็ง พอกล่าวจบนางก็เดินออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นลมพายุสีแดงก็หมุนคว้างแล้วตรงเข้าปกคลุมป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ภายใน
ยามที่พายุคลั่งสีแดงพวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ด้านในนั้นก็มีปณิธานของสตรีธุลีแดงแฝงเร้นอยู่ด้วย นี่คือวิธีการของคนฟ้า มากพอจะกำราบก่อกำเนิดได้ อีกทั้งเมื่อพายุนี้ปรากฏ ก้อนเมฆบนท้องฟ้าก็ม้วนตลบ ฟ้าดินกลายมาเป็นสีแดงฉาน พลังอำนาจไต่ทะยานถึงขีดสุด
ราวกับว่าพลังฟ้าดินของพื้นที่แห่งนี้ได้ถูกสตรีธุลีแดงดึงเอามาเป็นปณิธานของตัวนางเอง และจำแลงเป็นการโจมตีหมายดับชีพ อีกทั้งในพายุสีแดงนั้นยังมีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งเป็นของสตรีธุลีแดงปรากฏด้วย!
ภาพนี้ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณรอบด้านพากันฮึกเหิม พวกเขาไม่คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้านรับการโจมตีนี้ได้ จะอย่างไรซะนี่ก็คือพลังของคนฟ้า!
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ถึงพลานุภาพสยบที่รุนแรงทันใด ลมหายใจของเขาแข็งค้าง หน้าเปลี่ยนสี กำลังจะก้าวถอย แต่ไม่นานก็ต้องใจหายวาบ เพราะเขารู้สึกได้ว่าฟ้าดินรอบด้านนี้ถูกปณิธานของสตรีธุลีแดงปกคลุมประหนึ่งการปิดผนึกที่ทำให้การหายตัวของตนมิอาจใช้การได้
เมื่อเห็นว่าพายุแดงกำลังพุ่งมาปะทะใบหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจหลบเลี่ยง ภายใต้วิกฤตความเป็นความตายรุนแรงที่บีบเข้ามาใกล้ทุกขณะ เส้นเลือดฝอยก็พลันปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา เขาไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก จึงร้องคำรามเสียงดัง
“โจวจื่อโม่ เจ้านึกว่าข้ากลัวเจ้าหรือไร!” กล่าวจบป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่หลบหนีอีกต่อไป แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง นัยน์ตาก็ฉายแววระแวงภัย ตบะทั่วร่างหมุนโคจรอย่างบ้าคลั่ง พลังกล้ามเนื้อที่ระเบิดออกทุกด้านไหลมารวมกันอยู่ที่มือขวา ครั้นจึงเงื้อหมัดกระแทกตูมออกมา!
หมัดนี้ไม่ใช่หมัดธรรมดา เพราะวินาทีที่ต่อยออกมานั้น ปราณทั่วร่างของเขาได้หดตัวเข้าหากัน ทั้งบนหมัดยังมีน้ำวนสีดำลูกหนึ่งเผยกายขึ้น น้ำวนนี้โคจรเร็วจี๋
ขณะเดียวกันก็บดขยี้เจตจำนงของสตรีธุลีแดงที่แผ่ไปทั่วฟ้าดินให้ย่อยยับแล้วดูดเอามา พร้อมกับที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ถูกแทนที่ด้วยน้ำวนมายาขนาดยักษ์
สตรีธุลีแดงหน้าเปลี่ยนสีเป็นครั้งแรก นางประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนสูงมากแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าไอ้ที่คิดว่าประเมินสูงกลับยังนับว่าต่ำไป ความแข็งแกร่งของหมัดนี้ทำให้ใจนางสั่นเยือก นี่ไม่ใช่เวทลับของก่อกำเนิดแล้ว นางยังพอจะรู้สึกได้ถึง…เจตจำนงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในหมัดนี้ด้วยซ้ำ!
นี่คือสัญลักษณ์ของวิชาคนฟ้า!
แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่นางสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของป๋ายเสี่ยวฉุน ด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเงาร่างขนาดใหญ่ยักษ์ที่สวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ ใบหน้าพร่าเลือนมองเห็นไม่ชัดเผยกายออกมา แต่แค่ชั่ววินาทีก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุน สุดท้ายกลายมาเป็น…หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ!
หนึ่งหมัดกระแทกใส่พายุสีแดงที่พุ่งเข้ามาปะทะ กระแทกใส่ใบหน้าของสตรีธุลีแดงที่อยู่ในพายุลูกนั้น
ตูมๆๆ!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่งนภากาศ กระเทือนไปยังนครจักรพรรดิ และป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้มานานแล้วว่าบางทีในนครจักรพรรดิอาจมีคนที่รู้จักวิชาอมตะมิวางวาย ดังนั้นน้ำวนสีดำและเงาจักรพรรดิของหมัดนี้ล้วนถูกเขาใช้พลังของหน้ากากอำพรางเอาไว้ ทำให้คนนอกมองไม่ออกถึงความเป็นจริง
ที่พวกเขามองเห็นมีเพียงหมัดสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเผด็จการเท่านั้น!
ตูมๆๆ!
สองฝ่ายปะทะเข้าด้วยกันจนฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น แปดทิศถูกเขย่าคลอน ใบหน้านั้นพังทลายลงไปก่อน ตามมาด้วยพายุที่แตกกระจาย ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถึงแม้จะหนังหนา อีกทั้งทั่วร่างยังเต็มไปด้วยอาวุธล้ำค่าหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้ง ทว่าร่างของเขาก็ยังคงถอยกรูดไปข้างหลัง จนกระทั่งถอยไปเกินพันจั้ง เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จำต้องกระอักเลือดออกมาติดๆ กันสองคำ กระนั้นพลังการต่อสู้ของเขาก็ยังคงอยู่ดุจเดิม!
ทางฝ่ายของสตรีธุลีแดงที่ถึงแม้จะไม่ได้แผ่ตบะออกมาเต็มที่ ทว่าหมัดนี้ก็เลิศล้ำเหนือความคาดหมายของนาง พลานุภาพไร้ทัดเทียมนั้น ต่อให้นางจะต้านทานไว้ได้อย่างกระชั้นชิด แต่ก็ยังคงถูกหมัดนี้ซัดจนกระเด็นกรูดออกไปนับร้อยจั้ง แม้จะไม่กระอักเลือด แต่เวลานี้นางกลับเจ็บร้าวไปทั่วอวัยวะภายใน สีหน้าของนางซีดขาว พลันเงยหน้าขึ้นมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาตะลึงลาน
ชีวิตนี้ของนาง เคยเจอก่อกำเนิดเช่นนี้มาแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือป๋ายเสี่ยวฉุน อีกหนึ่งคือป๋ายฮ่าว ทว่าหมัดนี้นางเชื่อว่าต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่อาจต่อยออกมาได้ และนั่นทำให้นางอดสงสัยในตัวป๋ายฮ่าวไม่ได้
เพียงแต่ต่อให้นางจะรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีหน้ากากอยู่ ทว่ากลับยากที่จะเอาป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวมาคิดเชื่อมโยงกันได้ เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็เพราะว่าบิดาของนางเป็นคนส่งตัวป๋ายฮ่าวมาเอง
นางไม่เชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากอำนาจจิตของครึ่งเทพ การที่ราชาผียักษ์ให้การยอมรับตัวตนของเขาก็เป็นการอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนมากพอแล้ว เพียงแต่ว่าความกังขาเสี้ยวนั้นยังคงลอยอยู่ในใจของนางไม่จางหาย
“นังเฒ่าธุลีแดงผู้นี้ ปีนั้นได้แค่ทำให้ข้าเกือบตาย แล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ข้าแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ข้าจะกลัวนาง หึ ต่อให้สู้ไม่ได้ แต่หากนางคิดจะสังหารข้า ข้าก็ไม่ได้จัดการได้ง่ายอย่างในปีนั้นอีกแล้ว!! แต่ดูจากท่าทางของนาง ไม่แน่ว่าอาจจะเริ่มสงสัยในตัวข้าบ้างแล้ว…” ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวเล็กน้อย หมัดนี้เขาต่อยออกไปด้วยพลังเก้าส่วน เก็บรักษาไว้หนึ่งส่วน เพราะหากให้ต่อยออกไปหมด เขาคงแบกรับไม่ไหว
การประมือกับสตรีธุลีแดงครั้งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้ามากมายนัก ต้องรู้ด้วยว่าปีนั้นต่อให้เขาอาศัยตราผนึกของค่ายกลตัดทอนพลังของอีกฝ่ายก็ยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด จำต้องทุ่มสุดตัวยอมระเบิดร่างจำแลงของตัวเอง ใช้ทุกวิธีที่มีถึงจะช่วงชิงเวลาหนีรอดมาได้ ทว่าตอนนี้…ทุกอย่างกลับต่างไปแล้ว!
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกว่าดูเหมือนสตรีธุลีแดงจะไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไหร่ เขายืนอยู่กลางอากาศ จ้องสตรีธุลีแดงเขม็งโดยไม่เอ่ยคำใด
บัดนี้คนมากมายที่ห้อมล้อมอยู่รอบด้านต่างก็มองมาด้วยอาการตาค้างอ้าปากกว้าง ทุกคนสูดลมดังเฮือกอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจพวกเขาก็พลันรู้สึกสะเทิ้นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ก่อกำเนิดสู้กับคนฟ้าได้ด้วย!!”
“สวรรค์ ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ป๋ายฮ่าวผู้นี้…เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เล่าลือกันว่าเขาจับตัวทุกคนในกาหลอมวิญญาณมาได้เพราะราชาผียักษ์ช่วยเหลือ ตอนนี้ดูท่าแล้ว ฝีมือของตัวเขาเองก็น่าตะลึงมากเหมือนกัน!”
“หมัดนี้ต้องเป็นท่าไม้ตายแน่ๆ …”
ขณะที่ทุกคนกำลังฮือฮา ในพระราชวังที่ลอยอยู่เหนือนครจักรพรรดิ
ต้าเทียนซือที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในตำหนักพลันลืมตาโพลง เขาเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไกลๆ มายังนอกกองทัพผียักษ์ สายตานั้นมองทะลุทะลวงทุกอย่างจนมาตกอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
“นี่คือ…หมัดจักรพรรดิหมิง?” ต้าเทียนซือมีสีหน้าสนใจ เขาพอจะมองออกว่าหมัดนี้คล้ายคลึงกับหมัดจักรพรรดิหมิงในตำนานอยู่หลายส่วน
“หมัดจักรพรรดิหมิง คือการสืบทอดของจักรพรรดิหมิง…มีเพียงคนที่ได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิหมิงเท่านั้นถึงจะใช้ได้!” พอคิดถึงจักรพรรดิหมิงในตำนาน ต่อให้ต้าเทียนซือจะมีตบะเกือบถึงขั้นสูงสุดของครึ่งเทพ ทั้งยังคุมตัวโอรสสวรรค์ปกครองใต้หล้าด้วยตัวเอง เขาก็ยังคงเกิดความกริ่งเกรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้