บทที่ 731 ถูกหนีบอยู่ตรงกลาง
โจวหงมองซวี่เผิงปราดหนึ่ง เข้าใจความคิดของซวี่เผิงเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่มีวิธีมาเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ และเขาก็ไม่ได้เชิญแค่ซวี่เผิงมาเท่านั้น ยังเชิญราชาชัยน้อยอย่างกงซุนอี้มาด้วย
ทว่ากงซุนอี้ไม่เพียงแต่ไม่มาตามคำเชิญ ทั้งยังเอ่ยตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขาดูหมิ่นการวางแผนชั่วร้ายเช่นนี้ เพราะเขาคิดจะใช้พลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาชำระล้างความอัปยศให้กับตัวเอง
นี่จึงทำให้โจวหงไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่เขาเองก็หวาดเกรงในตัวราชาชัยน้อยมากเหมือนกัน จึงได้แต่ข่มกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ ไม่กล้าไปตอแย และได้แต่มาพบกับซวี่เผิงที่นี่
“พี่ซวี่โปรดวางใจ ป๋ายฮ่าวผู้นี้กลายมาเป็นที่จับตามองของผู้คนไปแล้ว หากจะจัดการกับเขา การสังหารเขาโดยตรงนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และสิ่งที่ข้าผู้แซ่โจวต้องการก็ไม่ใช่ผลลัพธ์เช่นนี้ ข้าแค่เกลียดขี้หน้าคนผู้นี้ ไม่อยากให้เขาอยู่ต่อในนครจักรพรรดิขุย คิดจะไล่ให้เขาไสหัวออกไปจากที่นี่ก็เท่านั้น” โจวหงกล่าวเรียบเรื่อย นี่คือความคิดที่แท้จริงของเขา เพราะอย่างไรซะการหดหัวอยู่ในนครผียักษ์กับการก่อเรื่องสร้างชื่อในนครจักรพรรดิขุยก็เป็นเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้อแรกถือเป็นการถูกจำกัดอยู่ในระดับใดระดับหนึ่ง แต่ข้อหลังกลับเป็นการเผยตัวอยู่บนเวทีที่สูงยิ่งกว่า และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
“อ้อ? ข้ายินดีรับฟังรายละเอียด” ซวี่เผิงคลี่ยิ้ม ทำท่าล้างหูรอฟัง
“รายละเอียดข้าผู้แซ่โจวยังคิดไม่ออก แต่จะปล่อยให้เขาทำตัวอิสระเสรีอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ร้านนั้นโด่งดังนักไม่ใช่หรือ ข้าผู้แซ่โจวเลยคิดจะเชิญปรมาจารย์ด้านการหลอมวิญญาณท่านหนึ่งของนครเก้านรกภูมิให้มาเปิดร้านข้างๆ ร้านของป๋ายฮ่าว”
“เรื่องการต่อสู้ ป๋ายฮ่าวผู้นี้ร้ายกาจจริง ทว่าในด้านการทำธุรกิจ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาเองก็จะร้ายกาจเหมือนกัน เมื่อตัดขาดช่องทางการทำมาหากินของเขา ให้เขาเป็นฝ่ายทำพลาดเอง ยิ่งเขาพลาดมากเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบมากเท่านั้น” โจวหงเอ่ยเสียงเรียบเฉย ในใจเขามีแผนการสมบูรณ์แบบรออยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้พูดออกมา ในใจเขาเองก็เคียดแค้นชิงชัง เพราะหากเขาเอาชนะป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เขาย่อมลงมือไปนานแล้ว แต่ในเมื่อสู้ไม่ได้ แถมยังคิดจะแก้แค้น ก็คงต้องใช้เล่ห์กลเอาเท่านั้น
ซวี่เผิงทำท่าครุ่นคิด เงียบไปพักใหญ่ก็มองโจวหงด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ใคร่ครวญว่าโจวหงผู้นี้ต้องมีแผนการอย่างอื่นอยู่แล้วแน่นอน และตนก็ไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียด เพียงแค่พายเรือไปตามน้ำเท่านั้น การเปิดร้านร้านหนึ่ง ใครก็บอกถึงความผิดพลาดของตนไม่ได้ อีกทั้งตนยังสามารถบรรลุตามเป้าหมาย ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ
“ก็ดี ข้าผู้แซ่ซวี่ก็จะเชิญปรมาจารย์หลอมวิญญาณท่านหนึ่งจากนครเทพจุติมาร่วมกับพี่โจวเปิดร้านในเขตพื้นที่ที่แปดสิบเก้าเหมือนกัน!”
คนทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ต่างคนต่างเริ่มลงมือจัดการโดยไม่พูดอะไรให้มากความอีก
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงอยู่ในช่วงการศึกษาตำรับหลอมไฟสิบเจ็ดสี วิญญาณป๋ายฮ่าวเองก็ปรับแก้ตำรับไฟสิบเจ็ดสีได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ว่าขั้นตอนของการทำความคุ้นเคยยังจำเป็นต้องใช้เวลาและการปฏิบัติจริงถึงจะเจอปัญหาแล้วนำมาแก้ไขได้
กิจการของร้านหลอมพลังจิตนับวันก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง ผู้คนแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ขณะเดียวกันร้านที่ขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวาของร้านป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือระดับความหรูหราต่างก็เทียบกับร้านหลอมพลังจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้ครึ่งเดือนมานี้ร้านทั้งสองจำต้องเปลี่ยนเจ้าของ
หลังจากที่จัดระเบียบใหม่ ร้านทั้งสองนี้ก็เปิดกิจการอีกครั้ง ขนาดของร้านขยายใหญ่มากขึ้น ระดับความหรูหราก็เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนกิจการในร้านก็คือขายยาวิญญาณและหลอมพลังจิตไม่ต่างจากร้านของป๋ายเสี่ยวฉุน!
ที่น่าตะลึงที่สุดก็คือบนป้ายร้านทั้งสองได้เขียนชื่อไว้สองชื่อ
หนึ่งคือซือหม่าเทา และอีกหนึ่งคือซุนอี้ฝาน!
เมื่อสองชื่อนี้ปรากฏก็สร้างความครึกโครมให้กับคนไม่น้อยในเขตพื้นที่ที่แปดสิบเก้า บวกกับที่ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นที่จับตามองของผู้คน ดังนั้นไม่นานคนมากมายในนครจักรพรรดิขุยต่างก็รู้เรื่องร้านสองร้านที่มาตั้งขนาบอยู่สองข้างของร้านป๋ายเสี่ยวฉุน!
“ซือหม่าเทา…นั่นมันผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูลซือหม่าของนครเทพจุตินี่นา เขาคืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการหลอมพลังจิต ได้รับการขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งด้านการหลอมพลังจิตในนครเทพจุติ!”
“คนผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ว่ากันว่าเขาคือหนึ่งในคนที่มีหวังว่าจะได้ฝ่าทะลุสู่ขั้นสีดำ เลื่อนสู่อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินมากที่สุด!”
“ซุนอี้ฝานนั่นก็ไม่ใช่ธรรมดา คนผู้นี้ไม่มีตระกูล เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ว่ากันว่าพอได้รับความสำคัญจากราชาเก้านรกภูมิก็เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน แสดงพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิตที่น่าตะลึง กลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำได้สำเร็จ!”
“ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเพื่อตอบแทนราชาเก้านรกภูมิ ซุนอี้ฝานผู้นี้ยินดีเป็นข้ารับใช้ของตระกูลโจว พรสวรรค์ในการหลอมพลังจิตของเขาเกรงว่าคงไม่เป็นรองซือหม่าเทาแม้แต่น้อย!”
แม้ความครึกโครมจากชื่อของสองคนนี้จะเทียบกับการเดิมพันสูงระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับเฉินสงไม่ได้ ทว่าก็ยังคงดึงดูดความสนใจจากคนมากมาย เพราะอย่างไรซะในพื้นที่ที่แปดสิบเก้านี้ก็ไม่ใช่ใจกลางของนครจักรพรรดิขุย
แต่เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกล ทว่าที่นี่กลับมีปรมาจารย์ใหญ่สองท่านปรากฏตัว เรื่องนี้หมายถึงสิ่งใด คนมากมายย่อมคาดเดาได้ไม่ยาก
“พวกเขามาเพราะป๋ายฮ่าวชัดๆ …”
“หนึ่งจากนครเก้านรกภูมิ อีกคนหนึ่งจากนครเทพจุติ…แผนการนี้ดี เหมือนฟ้าผ่าที่คนมิอาจว่ากล่าวอะไรได้ เป็นแผนการที่จัดวางให้เห็นกันอย่างโจ่งแจ้ง”
เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ร้านของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เขากลายเป็นเพียงตัวประกอบ เพราะชื่อเสียงของปรมาจารย์หลอมวิญญาณสองท่านนั้นเดิมทีก็ไม่ใช่น้อยๆ อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นที่เลื่อมใสของคนมากมาย เมื่อพวกเขามานั่งบัญชาการณ์อยู่ในร้านใหม่จึงดึงดูดความสนใจจากคนมากมายได้ทันที แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หลอมพลังจิตได้สิบห้าครั้ง แต่ถ้าไม่นับกันที่ตบะ ลำพังเพียงแค่ชื่อเสียงด้านการหลอมพลังจิต เมื่อเทียบกับสองคนนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือเป็นเพียงเด็กรุ่นหลัง
นี่จึงทำให้กิจการของป๋ายเสี่ยวฉุนซบเซาลงไปอย่างมาก
เพราะอย่างไรซะยาวิญญาณในร้านของปรมาจารย์ใหญ่ทั้งสองก็มีระดับสูงเหมือนกัน อีกทั้งทุกเม็ดยังมีชื่อร้านสลักเอาไว้เป็นการรับประกันคุณภาพ
ขณะเดียวกันก็มีการกำหนดราคาที่แน่นอน และในด้านการหลอมพลังจิตก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็หลอมพลังจิตสิบห้าครั้งให้อาวุธวิเศษหลายชิ้น โดยเฉพาะซุนอี้ฝานที่ผลงานชิ้นเอกของเขาก็คือการหลอมพลังจิตสิบหกครั้งให้กับอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งของราชาเก้านรกภูมิ!
และร้านทั้งสองนี้ยังหนีบป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ตรงกลาง ผลลัพธ์จึงปรากฏให้เห็นอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงแค่สามวัน รายได้ของร้านป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ
ทั้งหมดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอยู่ในสายตา เขาไม่สบอารมณ์ทันที หลังจากเดินออกมาจากร้าน มองซ้ายทีขวาที เขาก็เดือดดาลเข้าไปใหญ่ เพราะร้านทั้งสองนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าร้านของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนว่าอีกฝ่ายน่าเชื่อถือมากกว่า แถมพอมาเทียบกัน ร้านของตนก็ยิ่งกลายเป็นร้านธรรมดากระจอกๆ ร้านหนึ่ง
“ทำแบบนี้หมายความว่าไง สู้ด้วยกำลังไม่ได้เลยจะสู้กันด้วยสมองงั้นรึ?!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองผู้คนที่เบียดเสียดกันเข้าไปในร้านทั้งสอง ส่วนร้านของตัวเองแม้จะมีคนมาเยือน แต่เมื่อเทียบกันแล้วกลับดูทุเรศทุรังกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“นครราชาเก้านรกภูมิ…นี่ต้องเป็นฝีมือของโจวหงแน่นอน แต่นครเทพจุตินี่ผิดปกติ ข้าไม่ได้ดูดเอาพลังชีวิตของซวี่ซานมา ทำไมถึงมาเล่นงานข้าได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนมองอยู่พักหนึ่ง การเดินออกมาของเขาก็ดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะซือหม่าเทาและซุนอี้ฝานที่อยู่ในร้านซึ่งต่างก็หันมาเห็นพร้อมกัน ทว่าพวกเขาล้วนไม่มีใครปรากฎตัว เพียงแค่มีสีหน้าดูถูกดั่งคนเป็นศัตรูกัน แล้วก็ไม่สนใจใยดีป๋ายเสี่ยวฉุนอีก
ในสายตาของพวกเขา แม้พลังในการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ธรรมดา ทั้งยังมีตบะก่อกำเนิด
ทว่าในด้านการหลอมพลังจิตและหลอมวิญญาณ ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ ทว่าพวกเขาสองคนจมจ่อมอยู่ในการหลอมวิญญาณมาเกินครึ่งชีวิต ประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างโชกโชนรวมไปถึงความสามารถด้านการหลอมวิญญาณจึงไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งจะมาเปรียบเทียบได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พกพาความขุ่นเคืองกลับเข้าไปในร้าน แม้ตอนแรกที่เปิดร้านเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับร้านหลอมพลังจิตแห่งนี้เท่าใดนัก
ทว่ายิ่งศึกษาตำรับไฟหลายสีมากขึ้น เขารู้ว่าวันหน้าหากตนคิดจะฝึกบำเพ็ญตบะ ความต้องการด้านวิญญาณของตนก็ยิ่งต้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปริมาณที่มากจนเกินคาดคิด
อีกทั้งเขายังกลับไปนครผียักษ์ไม่ได้ จึงไม่มีโอกาสไปริบทรัพย์บ้านคนอื่น ส่วนทางฝ่ายของสตรีธุลีแดงก็ยิ่งไม่มีความหวัง หากคิดจะหาวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้น เขาก็คงต้องลงมือปล้นชิงผู้อื่น แต่เรื่องแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ามันเสี่ยงอันตรายมากเกินไป ทั้งยังไม่มั่นคง จึงทำให้เขากลัดกลุ้มเข้าไปใหญ่
หากขาดวิญญาณไป เขาก็ไม่สามารถหลอมไฟ ตบะก็ยากจะไต่ทะยานอย่างรวดเร็วตามไปด้วย และนี่ก็เป็นหนทางเดียวที่เขาจะไปจากแดนทุรกันดาร บวกกับความกดดันที่สตรีธุลีแดงมอบให้ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจไม่น้อย
อีกอย่างเขาตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ยิ่งราชาผียักษ์ก็ไม่มีทางหาวิญญาณมามอบให้เขาอย่างไร้ขอบเขตจำกัด ดังนั้นคิดจะหลอมไฟเพื่อเพิ่มตบะให้สูงก็ได้แต่อาศัยตัวเองมาช่วงชิงวิญญาณพยาบาทเองเท่านั้น
เดิมทีมีร้านนี้อยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นความหวัง รู้สึกว่าตัวเองน่าจะยังประคองตัวต่อไปได้จนถึงช่วงที่ตบะสูงพอให้ไปจากแดนทุรกันดาร
แต่ตอนนี้พอร้านทั้งสองนั้นปรากฏขึ้นมา
ก็เท่ากับตัดทางแผนการของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วเขาก็เป็นกังวลมากว่าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นก็อาจจะมาเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะไม่มีกิจการให้ทำอยู่ในนครจักรพรรดิขุยนี้อีกต่อไป แผนการทั้งหมดของเขาย่อมล้มเหลวตามไปด้วย
“ไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีให้ได้!” หลังกลับเข้ามาในร้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วแน่น ในสมองมีความคิดมากมายหมุนวนเร็วรี่ ในใจก็ปลงอนิจจังว่าตนยังอ่อนแอเกินไป ทุกครั้งที่เจอปัญหาเลยจำเป็นต้องเค้นสมองคิดหาทางแก้ไขทุกครั้ง
วิญญาณป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างกันมองมาทางป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองไปที่กลุ่มคนด้านนอกซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเข้าร้านทั้งสอง เขานิ่งคิดไปครู่ก็พลันเอ่ยขึ้นว่า
“อาจารย์ ข้ามีสองวิธีที่สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้!”