บทที่ 80 พรสวรรค์ของจางต้าพั่ง
มีหินวิเศษที่มากพอ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากครุ่นคิดถึงเรื่องเจ้าเต่าน้อยอีกต่อไป ใจของเขาถูกทำร้ายเสียจนเหวอะหวะ มีเพียงแค่จมจ่อมอยู่กับการหลอมยาในหอหลอมยาเท่านั้น ถึงทำให้เขาค่อยๆ กลับมาดีขึ้น
ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มหลอมยาระดับสองได้จนชำนาญ อัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับที่น่าตะลึง เขาถึงได้เริ่มทดลองหลอมยาวิเศษระดับสาม
จากการที่เขาหลอมยาวิเศษระดับสาม เสียงสนั่นหวั่นไหวในห้องของหอหลอมยามักดังออกมาอยู่บ่อยๆ ถึงขั้นที่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เตาหลอมยานั้นถึงได้ระเบิดลอยตัวขึ้นมา แล้วร่วงดังโครมตกไปอยู่ด้านข้าง
เรื่องเหล่านี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ครั้งหนึ่งถึงขนาดมีควันหนาแน่นระเบิดออกมา ควันนี้แปลกประหลาดนัก แม้แต่ค่ายกลก็ไม่อาจสกัดกั้นเอาไว้ได้ พริบตาเดียวก็ปกคลุมหอหลอมยาไปเกินครึ่ง ทำให้ทุกคนที่หลอมยาอยู่ในที่แห่งนี้ด่ากันเสียงขรมท่ามกลางเสียงไอ พากันวิ่งออกมาข้างนอก
ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจและวิ่งตามออกไปเช่นกัน สุดท้ายทุกคนก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการแห่งความหายนะครั้งนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดคับขับข้องใจ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เริ่มหลอมยาวิเศษระดับสามต่ออย่างระมัดระวัง ไม่นานแม้แต่เขาเองก็มีสีหน้าเหยเกขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองมักจะหลอมยาแปลกประหลาดออกมาได้เสมอ และดูเหมือนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตั้งแต่ตอนที่หลอมยาครั้งแรกสุด คราวนั้นล่อให้มดจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเกรียวมาเยือน แล้วยังยากระสันซ่านนั่นอีก…
เขาแอบรู้สึกว่ายาประหลาดที่ตัวเองหลอมออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหวาดกลัว
“หรือเป็นเพราะว่าข้าไม่ยอมหลอมยาตามสูตรที่แน่นอนของตำรับยา ทุกครั้งที่หลอมยาล้วนคิดเปลี่ยนแปลงไปตามใจตนเอง? หรือเป็นเพราะว่าพรสวรรค์ของข้าแปลกประหลาดไม่ซ้ำใคร แม้แต่สวรรค์ก็ยังอิจฉาข้า ดังนั้นจึงคอยกลั่นแกล้งข้าอยู่เสมอ?” เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปยังยาเม็ดหลากสีหลายสิบเม็ดที่วางอยู่เบื้องหน้า
ยาพวกนี้บางเม็ดยังเป็นทรงกลม แต่บางเม็ดกลับเป็นสี่เหลี่ยม แล้วก็ยังมีบางเม็ดที่เกาะกันไม่เป็นระเบียบราวกับก้อนโคลน แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ยาวิเศษทั่วไป แต่ทุกเม็ดดันมีกลิ่นหอมลอยกำจายออกมา…
เพียงแต่ว่าต่อให้มอบความกล้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสักร้อยส่วน เขาก็ยังไม่กล้ากลืนลงไปเองอยู่ดี คงมีแต่ผีที่รู้ว่ากินยาพวกนี้ลงไปแล้วจะเกิดสรรพคุณไม่คาดคิดอะไรขึ้นมา
“ที่ข้าแสวงหาคือวิถีโอสถสูงสุด เหมือนเมฆขาวบนท้องนภา ล่องลอยไร้ร่องรอย เมินเฉยชื่อเสียงลาภยศ บนเส้นทางของการแสวงหาวิถีโอสถนี้ย่อมต้องเจอกับอุปสรรค ข้าไม่กลัวอุปสรรค ต้องยืนหยัดเดินต่อไป นี่ต่างหากถึงจะเป็นข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แตกต่างไปจากเดิม” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าเผยความตั้งมั่น สีหน้าคล้ายพร้อมพลีชีพเพื่อวิถีนักพรต เก็บยาพวกนั้นลงไปแล้วหลอมยาต่อ
การหลอมคราวนี้ใช้เวลาเกินครึ่งปี จนถึงท้ายที่สุดในหอหลอมยาก็แทบจะมีไม่กี่คนที่สามารถหลอมยาต่อไปได้ สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป แม้แต่เตาหลอมในห้องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก็ยังเกิดรอยปริแตกจากการระเบิดครั้งหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยชดใช้ด้วยหินวิเศษจำนวนหนึ่ง แล้วจึงถูกเชิญออกจากหอหลอมยาอย่างสุภาพ
เขากำลังคิดจะใช้ฐานะศิษย์น้องของเจ้าสำนักมาโต้เถียง แต่กลับพบว่าในแผ่นหยกถ่ายทอดเสียงมีข้อความเสียงจากจางต้าพั่ง บอกว่ารออยู่นอกที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน ถามว่าเขาไปไหน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าจางต้าพั่งมาหาถึงได้ยอมปล่อยมือจากหอหลอมยา เดินไปบนเส้นทางของภูเขาเซียงอวิ๋น เขารู้สึกปลดปลงอยู่ในใจ
“การแสวงหาขีดสุดของวิถีโอสถ ถูกกำหนดมาให้ต้องล้มลุกคลุกคลาน ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนคือเมฆขาวบนท้องฟ้า ไม่มีทางยอมจำนนด้วยเหตุนี้เด็ดขาด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืดอกตรงเชิดหน้าตั้ง เดินไปเดินมาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนนี้เป็นช่วงเที่ยง ปกติช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่คึกคักที่สุดของสำนัก แต่ตอนนี้เขาเซียงอวิ๋นกลับเงียบสงบอย่างมาก เมื่อมองออกไป ลูกศิษย์ที่มีพลังรวมลมปราณขั้นหกขึ้นไปไม่มีให้เห็นสักคน ส่วนใหญ่พลังล้วนต่ำกว่ารวมลมปราณขั้นหก
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาถึงที่พักด้วยความประหลาดใจ เมื่อมองไกลๆ ก็เห็นชายหนุ่มผอมสูงคนหนึ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่นอกที่พักของตัวเองด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก
คนผู้นี้ก็คือจางต้าพั่งที่ผอมลงมาแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบวิ่งเข้าไปหา ทักทายเสียงดัง
“ศิษย์น้องเก้า!” จางต้าพั่งรีบหมุนตัวกลับมาทันที พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะฮ่าๆ สำหรับสถานะของป๋ายเสี่ยวฉุน จางต้าพั่งไม่สนใจ ในสายตาของเขาป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือศิษย์น้องเล็กของตนเสมอ
ยามนี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนพาเข้าไปด้านในที่พัก ทั้งสองคนนั่งอยู่ในลานบ้าน หลังจากต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องสถานการณ์ล่าสุดได้พักหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอ่ยปากด้วยความสงสัย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาหาข้าที่นี่น้อยครั้งมาก วันนี้ทำไมถึงมาได้ล่ะ มีเรื่องอะไรต้องการให้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่านก็บอกมาได้เลย” สำหรับจางต้าพั่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเขาเป็นพี่ชายของตัวเองจริงๆ ภาพแต่ละภาพตอนที่เข้าไปอยู่ฝ่ายครัวไฟในปีนั้น ทุกครั้งที่รำลึกถึงป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
จางต้าพั่งไอแห้งๆ หนึ่งที ในสีหน้ามีความตื่นเต้นและภาคภูมิใจที่ปิดไม่มิดเผยออกมา มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง เขาก็ตบอกของตัวเอง แม้ว่าเปลี่ยนจากเสียงพลั่กๆ จากการตบเนื้อไขมันเมื่อตอนที่อยู่ในฝ่ายครัวไฟกลายมาเป็นเสียงตึงๆ ของการตบกระดูกในวันนี้ แต่พลังอำนาจกลับพุ่งสูงขึ้นมาในวินาทีนั้น
“ศิษย์น้องเก้า ข้าจะบอกความลับยิ่งใหญ่ข้อหนึ่งให้เจ้ารู้!”
พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำว่าความลับก็เบิกตากว้างทันควัน รีบตั้งใจฟัง แอบรู้สึกว่าประโยคนี้ฟังคุ้นหูอยู่ไม่น้อย
“ต่อไปข้าจางต้าพั่งจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักธาราเทพ ไม่มีใครไม่รู้จัก ถึงขั้นที่ว่าต้องมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยมาประจบประแจง ต่อให้เป็นผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานรากไม่แน่ว่าก็จะต้องเกรงใจข้าเหมือนกัน” จางต้าพั่งเอ่ยปากอย่างถือดี
“หา? เรื่องอะไรเหรอ? ท่านก็เป็นเจ้าเต่าน้อยเหรอ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป
“เจ้าเต่าน้อยอะไรกัน ศิษย์น้องเก้า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอาจารย์ของข้าคือท่านผู้นำเขาจื่อติ่ง สวีเหม่ยเซียง?” จางต้าพั่งพูดอย่างมีชีวิตชีวา มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก็เอ่ยปากด้วยเสียงทุ้มหนัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้า เรื่องนี้เขารู้ดี และก็เข้าใจด้วยว่าที่จางต้าพั่งผอมลงก็เพราะอาจารย์ของเขาไม่ชอบคนอ้วน และด้วยเหตุนี้เขายังถึงขั้นเคยเกิดความคิดประหลาดบางอย่างขึ้นมาด้วย
“รู้ไหมว่าอาจารย์ข้าเชี่ยวชาญเรื่องใดมากที่สุด? หลอมพลังจิต! รู้ไหมข้าเล่าเรียนอะไรจากอาจารย์ของข้า? หลอมพลังจิต!”
“ฮ่าๆ ข้าจางต้าพั่งมีพรสวรรค์ในการหลอมพลังจิตอันลึกล้ำ ความแข็งแกร่งของพรสวรรค์ข้อนี้ แม้แต่อาจารย์ข้าเองยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก แถมยังตะลึงพรึงเพริดไปเลยด้วย! วันนี้นางบอกกับข้าเองว่าใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี ข้าก็จะกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งด้านการหลอมพลังจิตของสำนักธาราเทพของเรา!” จางต้าพั่งลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความฮึกเหิม พลังอำนาจระเบิดออกมา ดั่งว่าใต้หล้าแห่งนี้มีเขาผู้เดียวที่ผู้คนเคารพยำเกรง
“หลอมพลังจิต?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา มองเห็นพลังอำนาจไม่ธรรมดาของจางต้าพั่งในยามนี้ก็รีบทำท่าเลื่อมใส ร้องตะโกนอย่างตกตะลึงขึ้นมา
สัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเออออด้วยเช่นนี้ จ้างต้าพั่งก็ยิ่งดีใจเป็นกำลัง ตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ศิษย์น้องเก้า ต่อไปหากคนอื่นมาขอให้ข้าหลอมพลังจิตให้ หากข้าไม่พอใจก็จะไม่หลอมให้เขา หากพอใจก็จะต้องตั้งราคาให้สูงถึงจะได้ แต่เจ้ากับซานพั่ง แล้วก็คนอื่นๆ ของฝ่ายครัวไฟเรา ชีวิตนี้ข้าจะไม่เอาหินวิเศษจากพวกเจ้าแม้แต่ก้อนเดียว พวกเราเป็นพี่น้องกัน ขอแค่พวกเจ้าเตรียมวัตถุดิบมาพร้อม ข้าต้องหลอมให้พวกเจ้าอย่างดีแน่นอน!” จางต้าพั่งจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ในเขาจื่อติ่งก็ถูกกดดันเสียจนระทมทุกข์ไปหมด ตอนนี้พบว่าตนเองมีพรสวรรค์ในการหลอมพลังจิต เขาจึงดีใจอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาทันควัน สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“ศิษย์พี่ช่างองอาจสง่างาม!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเผยท่าทางปลื้มปิติอย่างบ้าคลั่ง ไชโยโห่ร้องขึ้นมา
“มาๆๆ เจ้าเอาอะไรมาให้ข้าก็ได้หนึ่งชิ้น ศิษย์พี่จะหลอมให้เจ้าตอนนี้เลยครั้งหนึ่ง เจ้าเอาอาวุธชิ้นนี้ไปใช้ในสงครามการคัดเลือดในอีกหลายเดือนข้างหน้า จะต้องติดสิบอันดับแรกของชายฝั่งทิศใต้ กลายเป็นตัวแทนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในการแข่งขันระหว่างชายฝั่งทิศใต้และทิศเหนืออย่างแน่นอน!” จางต้าพั่งดีใจ พูดเสียงดัง
“เอ่อ…” ป๋ายเสี่ยวฉันกะพริบตาปริบๆ เห็นจางต้าพั่งฮึกเหิมถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงหยิบเอากระบี่ไม้ทั่วไปของสำนักธาราเทพเล่มหนึ่งออกมา เขามีกระบี่แบบนี้อยู่หลายเล่ม เวลานี้จึงส่งไปให้พร้อมตั้งตารอคอย
จางต้าพั่งรับกระบี่บินมา สูดลมหายใจเข้าลึก ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้งในถุงเก็บของก็มีแร่ธาตุหลายสิบก้อนบินออกมา เมื่อถูกเขาควบคุมก็มาลอยขึ้นพร้อมกับกระบี่บิน
ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดสนิท ผ่านไปครู่หนึ่งตบะตลอดทั้งร่างก็พลันระเบิดออก แม้ว่าตบะของเขาจะเทียบป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ แต่ก็อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นหกแล้ว เวลานี้เส้นผมปลิวสะบัด ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นได้ในทันทีว่ามือซ้ายของจางต้าพั่งปรากฏแสงสีเงินเข้มข้นกระจายออกมา
ขณะที่แสงเปล่งประกาย รอบด้านพลันเกิดลมพัดวูบใหญ่ เหมือนว่าไปเปลี่ยนแปลงคลื่นพลังวิญญาณรอบด้านอย่างเลือนราง และมีพลังวิญญาณเป็นเส้นๆ ไหลทะลักมาจากสี่ทิศด้วยความรวดเร็ว ตรงเข้าหาแร่ธาตุเหล่านั้น คล้ายถูกกลั่นกรองแล้วจึงบินออกมาอีกครั้ง พุ่งเข้ามาที่มือซ้ายของจางต้าพั่ง และแร่ธาตุเหล่านั้นก็ละลายอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายไปเกินครึ่ง
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายระยิบระยับ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนอื่นหลอมพลังจิต แตกต่างไปจากเวลาที่เขาใช้หม้อกระดองเต่าใบนั้นอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับว่าตัวของผู้หลอมพลังจิตได้สื่อสารกับฟ้าดินด้วยตัวเอง นำพามาซึ่งการระเบิดของพลังมหาศาล ซึ่งหลังจากเปลี่ยนผ่านแร่ธาตุเหล่านั้นแล้วจึงอ่อนโยนมากขึ้น
ไม่นานร่างกายของจางต้าพั่งก็สั่นสะท้านขึ้นมาประมาณครึ่งก้านธูป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ลืมตาโพลง แสงสีเงินที่มือซ้ายจ้าบาดตา กวาดผ่านตัวกระบี่ไปหนึ่งที
“เปิดจิต!”
ดั่งว่าความว่างเปล่ารอบด้านก็ยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย พริบตานั้นแสงสีเงินบินออกมาจากมือซ้ายของจางต้าพั่ง กลายเป็นเส้นไหมจำนวนนับไม่ถ้วนมุดลอดเข้าไปในกระบี่บิน พริบตาเดียวกระบี่บินเล่มนี้ก็กลายเป็นสีเงิน
ภาพนี้น่าตะลึงเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือก จิตใจสะท้านไหวขึ้นมาจริงๆ
ผ่านไปเนิ่นนาน จางต้าพั่งหายใจหอบฮัก ยื่นกระบี่บินสีเงินในมือส่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“รับไว้ กระบี่เล่มนี้ยามนี้ได้เปิดพลังจิตแล้ว เจ้าลองเอาพลังวิญญาณในร่างกายหลอมรวมเข้าไปดู จะปรากฏลายเส้นสีเงินที่แปลว่าทำสำเร็จอย่างแน่นอน!” จางต้าพั่งเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก เอ่ยปากเสียงดังด้วยความมั่นใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับกระบี่บินมา จิตใจฮึกเหิม พลังวิญญาณในร่างกระจายพรวดออกมาหลอมรวมเข้าไปในกระบี่บิน แต่วินาทีที่พลังวิญญาณหลอมรวมกับกระบี่นั้นเอง เสียงคึ่กๆ ดังออกมา เส้นสีเงินบนกระบี่บินเล่มนี้มืดสลัวลงโดยพลัน สุดท้ายก็สลายไปหมด และบนกระบี่เล่มนี้ก็ปรากฏเส้นปริร้าว เหมือนว่ารับการหล่อหลอมจากพลังฟ้าดินไม่ไหว ปราณหายไปสิ้น กลายเป็นเศษเหล็กชิ้นหนึ่ง
“อ๋า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง จางต้าพั่งเองก็อึ้งไปเช่นกัน ทั้งสองคนจ้องมองกัน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที กำลังจะเอ่ยปากว่ากระบี่เล่มนี้ของตัวเองคุณภาพไม่ดี จางต้าพั่งก็คว้าเอากระบี่บินกลับไป ดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า หายใจถี่ระรัวสังเกตอย่างละเอียด ครู่ใหญ่ก็กระทืบแรงๆ หนึ่งที
“เมื่อครู่ข้าทำพลาดไป ไม่ได้ควบคุมปริมาณการหลอมรวมของวิญญาณเหล็กให้ดี ทำให้พลังฟ้าดินเข้มข้นมากไปหน่อย ไม่เป็นไร ศิษย์น้องเก้าเจ้าเอากระบี่บินให้ข้าอีกเล่ม ข้าจะหลอมให้เจ้าอีกครั้ง!” จางต้าพั่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแน่วแน่ นัยน์ตามีเส้นเลือดฝอยปรากฏให้เห็น
ป๋ายเสี่ยวฉุนสงสาร ดังนั้นจึงหยิบกระบี่บินอีกเล่มให้ไป จางต้าพั่งสูดลมหายใจเข้าลึก คราวนี้สีหน้าจริงจังถึงขีดสุด ผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อกระบี่บินเล่มที่สองนี้เต็มไปด้วยแสงสีเงินแล้วจางต้าพั่งจึงส่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“ข้าว่า…ศิษย์พี่ใหญ่ลองดูเองก่อนดีไหม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างลังเล
“กฎเหล็กข้อแรกของการหลอมพลังจิตก็คือไม่ว่าจะหลอมพลังจิตให้กับวัตถุชิ้นใดก็ตาม นอกจากเป็นของของอาจารย์พลังจิตเองแล้ว ห้ามลองพลังแทนกันเด็ดขาด! นี่คือกฎเหล็ก ห้ามฝ่าฝืน หากฝ่าฝืนวันหน้าจะนำพาความยุ่งยากนับไม่ถ้วนมาให้” จางต้าพั่งพูดอย่างเคร่งขรึม
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นท่าทางตั้งมั่นของจางต้าพั่งในเวลานี้ก็รีบรับกระบี่บินมาทันที เขาหวังจริงๆ ว่าจะสำเร็จ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายจิตใจจางต้าพั่งไม่น้อย
ขณะที่ลังเล ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเอ่ยปาก
“คือว่า…ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ข้าจะเอาไปลองในห้อง เมื่อครู่ข้าลองคิดดูแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าข้าตื่นเต้นมากเกินไป”
———