บทที่ 808 แน่จริงก็มาอีกครั้งสิ
“มีโอกาสกะผีอะไร!” พอได้ยินคำพูดจากคนรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ด่ากราดด้วยความโมโห จำหน้าพวกพระยาสวรรค์แต่ละคนที่แสดงท่าทางฮึกเหิมไว้ขึ้นใจ ทั้งยังถลึงตาดุดันใส่จ้าวสงหลินอีกหนึ่งที
เขารู้สึกว่าเจ้าจ้าวสงหลินผู้นี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าคำนับตนทุกครั้งที่เจอกันให้ได้!
แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาสนใจจ้าวสงหลินมากนัก
เมื่อหันหน้ากลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จ้องนิ่งไปยังท้องฟ้าตาไม่กะพริบ แล้วก็เห็นเพียงว่าเวลานี้ก้อนเมฆบนท้องฟ้าสลายหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน!
ชั่วขณะที่สายฟ้าเหล่านี้ส่งเสียงดังกัมปนาทกึกก้อง เส้นสายฟ้าราวงูนับหมื่นเริงระบำอย่างพร้อมเพรียงกันก็แหวกนภากาศมาระเบิดตูมอยู่เหนือพระราชวัง
เมื่อมองไกลๆ ท้องฟ้าก็ราวกับกลายมาเป็นบ่อสายฟ้า อีกทั้งบ่อสายฟ้านี้ยังแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปเกินครึ่งของนครจักรพรรดิขุย ความผิดปกติของฟากฟ้าดึงดูดความสนใจจากทุกคนในนครจักรพรรดิขุยได้ทันที เหล่าผู้คนที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี สูดลมหายใจดังเฮือกๆ อย่างต่อเนื่อง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน!!”
“นี่…ทำไมนี่ถึงเหมือน…เหมือนที่เล่าลือกันในตำนาน…”
“ทัณฑ์ไฟวิญญาณชั้นดิน!!!!” อาจารย์หลอมวิญญาณวัยไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่งแผดเสียงร้องแหลมดังที่แฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อไร้ที่สิ้นสุด อีกทั้งด้วยตื่นเต้นนี้ ร่างของเขายังถึงกับสั่นสะท้านราวตะแกรงร่อน!
ไม่นานตลอดทั้งนครจักรพรรดิขุยก็กระหึ่มไปด้วยเสียงฮือฮาที่ดังก้องนภากาศ ผู้ที่ส่งเสียงฮึกเหิมมากที่สุดก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณ ดวงตาของพวกเขาแต่ละเผยความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อน มองทัณฑ์ไฟวิญญาณด้วยความตื่นตะลึงถึงขีดสุด
“คุณพระช่วย นี่คือทัณฑ์ไฟวิญญาณชั้นดินจริงๆ ด้วย!! ทัณฑ์ไฟวิญญาณที่จะปรากฏก็ต่อเมื่อ…มีคนกลายเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินสำเร็จ!!”
“ผ่านเคราะห์นี้ไปได้ ไฟสิบแปดสีก่อตัวสำเร็จ หากหลอมไฟสิบแปดสีหลังจากนี้ก็จะไม่มีทางปรากฏอีก!”
“ใครกัน…นั่นคือปรมาจารย์ท่านไหนที่วันนี้…ได้เลื่อนขั้นเป็นชั้นดิน!!”
“ต้องสำเร็จแน่นอน ต้องสำเร็จแน่นอน…ขอแค่ทำสำเร็จ วันนี้ราชวงศ์ขุยก็จะมีอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน…ท่านที่สี่ปรากฏตัว!”
ครึกโครมกันไปทั้งเมือง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังลั่นจนกลายมาเป็นคลื่นเสียงที่กึกก้องสู่ชั้นฟ้า แล้วก็มีคนส่งข่าวนี้แพร่ออกไปจากนครจักรพรรดิขุย ทำให้คนทั้งแดนทุรกันดารต่างก็ฮือฮากันไปหมด
ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาสองคนที่พอรู้เรื่องนี้ก็พุ่งพรวดออกมาจากที่พักตรงดิ่งไปยังค่ายกลนำส่งทันที ความตื่นเต้นของพวกเขาเหนือล้ำกว่าใคร
“ต้องเป็นปรมาจารย์ป๋ายฮ่าวแน่นอน!!”
“ต้องเป็นเขาแน่ๆ!!”
ไม่เพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำทุกคนที่อยู่ในแดนทุรกันดารต่างก็คลุ้มคลั่งกันหมด พริบตาเดียวคนเหล่านั้นก็ใช้ค่ายกลนำส่งเดินทางมายังนครจักรพรรดิขุยจนค่ายกลหลังนั้นเปล่งแสงวูบวาบไม่หยุด อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำคนแล้วคนเล่าพากันไหลบ่ามาเยือนราวกับผู้ที่เดินทางมาแสวงบุญ
พวกเขาต้องการไปเห็นทัณฑ์ไฟวิญญาณชั้นดินกับตาตัวเอง เพราะนี่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งกับการเลื่อนขั้นของพวกเขา!
ขณะที่เรื่องนี้ครึกโครมไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเคร่งเครียด เขารู้ว่าไฟสิบแปดสีมีทัณฑ์อสนี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทัณฑ์อสนีนี้…จะมีอานุภาพเกรียงไกรสยบขวัญคนได้ขนาดนี้
“หากข้าผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปไม่ได้จริงๆ …แบบนั้นก็จบเห่แน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ใจก็พลันสั่นไหว หายใจหอบรัวอย่างห้ามไม่ได้
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในตำหนักซึ่งพอมองเห็นโอกาสพลิกสถานการณ์ ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายวิบวับ ในใจที่หมดหวังกลับมีความหวังเสี้ยวหนึ่งปรากฏขึ้นมา!
“ขนาดไฟสิบแปดสีข้ายังหลอมมาแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่ากะอีแค่ทัณฑ์ไฟวิญญาณแค่นี้ มันจะมาทำลายความหวังของข้าได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกตากว้าง ก่อนจะหยิบเอายาวาสนาทลายฟ้าออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไปทันทีอย่างไม่ลังเล ตบะของเขาพลันฟื้นคืนในชั่วพริบตา แล้วยืนนิ่งพร้อมรับมืออยู่ตรงนั้น
ในใจเขาเองก็มีความมั่นใจเหมือนกัน ทว่าความมั่นใจนี้ไม่ได้มาจากตัวเขาเอง แต่มาจาก…การที่ตอนนี้ตนอยู่ในตำหนักเทียนซือ!
ทัณฑ์ไฟจากไฟสิบแปดสีมีอานุภาพมหาศาลสะเทือนฟ้าดิน โดยทั่วไปแล้วหากไม่เป็นอย่างบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวที่มีวิชาการสืบทอดซึ่งสามารถถ่วงทัณฑ์ไฟให้ล่าช้าออกไปได้ หาไม่แล้วตอนที่อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำระดับสูงสุดหลอมไฟสิบแปดสีก็ล้วนต้องหาสถานที่ปิดด่านซึ่งสามารถต้านทานทัณฑ์ไฟ หากไม่จัดวางค่ายกลก็ต้องเชิญคนให้มาช่วย
และสำหรับอาจารย์หลอมวิญญาณคนหนึ่งที่สามารถหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้ หากคิดจะเชิญให้ใครไปช่วยก็นับว่าเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก และก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายที่ยินดีรับธุระเพราะหวังจะผูกมิตร
ทว่านับตั้งแต่ที่ราชวงศ์ขุยย้ายมาอยู่แดนทุรกันดาร จนถึงทุกวันนี้อาจารย์หลอมวิญญาณแต่ละรุ่นที่สุดท้ายสามารถเลื่อนขั้นเป็นชั้นดินได้สำเร็จกลับไม่มีใครสักคนที่เตรียมวิธีการต้านทานทัณฑ์ไฟ…อย่างป๋ายเสี่ยวฉุน!
วิธีการของเขาก็คือใช้การป้องกันน่าครั่นคร้ามจากตัวของตำหนักเทียนซือเอง!
และชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพ่งสมาธิมองไป เสียงกัมปนาทก็ยิ่งดังสนั่นหวั่นไหวมากกว่าเดิม ท่ามกลางเสียงที่ดังไม่ขาดสายนี้ บ่อสายฟ้าที่ปกคลุมนครจักรพรรดิขุยไปเกินครึ่งพลันเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าจู่ๆ ขอบเขตของบ่อสายฟ้านี้ก็หดเข้ามาเป็นวงใหญ่
เมื่อมันหดเข้ามาก็สามารถมองเห็นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่เป็นดั่งงูสีเงินยวงซึ่งแลบปลาบมารวมตัวกันอยู่ตรงพื้นที่จุดศูนย์กลาง และสุดท้ายสายฟ้าเหล่านั้นก็กลายมาเป็นสายฟ้าเส้นหนึ่งที่มีขนาดหนาเท่าถังน้ำน่าพรั่นพรึง ท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า สายฟ้าเส้นนั้นก็พลันผ่าเปรี้ยงลงมายังตำหนักเทียนซือ
นี่ก็คือ…ทัณฑ์ไฟอสนีชั้นดิน!
มองไปไกลๆ สายฟ้าที่หนาเท่าถังน้ำเส้นนั้นเหมือนรวบรวมเจตจำนงแห่งความสูงส่งไร้เทียมทานเอาไว้ เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพีมาพร้อมๆ กับการกระแทกเปรี้ยงลงบนตำหนักเทียนซือ
การโจมตีนี้มีอานุภาพมากไพศาลทำให้ตำหนักเทียนซือโยกคลอนจนระเบิดแสงพร่างพราวไร้ที่สิ้นสุด
ห้าแสงสิบสีแผ่กระจายไปรอบด้าน ทั้งยังสามารถต้านทานการระเบิดของอสนีสวรรค์นี้ไว้ได้!!
เสียงอึกทึกยังดังไม่ขาดหาย ทว่าตำหนักเทียนซือกลับไร้ซึ่งความเสียดายใดๆ ส่วนอสนีสวรรค์นี้กลับพังทลาย สลายตัวกลายเป็นแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนที่หมายจะลอดทะลุเข้าสู่ตำหนักเทียนซือ
แต่กลับไม่มีเส้นสีเงินใดที่ทำสำเร็จ สุดท้ายได้เพียงจางหายไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ผินหน้าไปมองต้าเทียนซือที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เทียนซือซึ่งกำลังคลี่ยิ้มน้อยๆ มาให้ตน ส่วนพวกพระยาสวรรค์รอบด้านกลับยืนเซ่อกันไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งจ้าวสงหลินก็ยิ่งอึ้งค้าง สีหน้าราวขี้เถ้ามอด…แม้แต่จะสบถด้วยความไม่พอใจ เขาก็ยังไม่กล้าอ้าปากออกมา
“โง่เง่า!” เฉินฮ่าวซงแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ เหตุผลนี้ไม่จำเป็นต้องพิจารณาก็มองออกว่าต้าเทียนซือย่อมยินดีที่จะให้มีอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่ง อีกทั้งอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินคนนี้ยังปรากฏตัวภายใต้การสนับสนุนของตัวเขาเองด้วย!
เมื่ออยู่ท่ามกลางวิกฤตอันตรายอย่างตอนนี้ พระกรุณาธิคุณเช่นนี้จึงนับว่ายิ่งใหญ่ไพศาลนัก!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าใจได้โดยพลัน นัยน์ตาเผยความซาบซึ้งใจ หันไปกุมมือคารวะต้าเทียนซือ ทว่าในใจกลับไม่มีความตื้นตันเข้มข้นอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว เรื่องของป๋ายฮ่าวทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเติบโตไม่น้อย รู้ดีว่าในใจของต้าเทียนซือ ความมีมูลค่าสำคัญเหนือสิ่งใด!
ขณะที่ทุกคนต่างก็นึกไปว่าทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้คงสิ้นสุดลงแล้ว ทว่าบ่อสายฟ้าบนนภากาศกลับไม่ได้จางหายไป แต่กลับกลิ้งหลุนๆ ซัดตลบ แถมครั้งนี้ยังดุเดือดพลุ่งพล่านมากกว่าเดิม
พริบตาเดียว บ่อสายฟ้าบนนภากาศที่กำลังซัดสาดก็พลันหดตัวเข้าหากันอีกครั้ง ขอบเขตของการหดตัวครั้งนี้กว้างใหญ่ จากแต่เดิมที่ปกคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของนครจักรพรรดิขุย มาตอนนี้กลับหดเล็กลงจนเหลือแค่ขอบเขตที่ปกคลุมพระราชวังเท่านั้น
และการหดตัวที่ทำให้คนหายใจไม่ออกเช่นนี้ อานุภาพของสายฟ้าที่ถูกดูดดึงมาย่อมมากตามไปด้วย ปริมาณของสายฟ้ามีมากเกินกว่าอสนีสวรรค์เส้นแรก เสียงครืนครั่นดังก้องอยู่บนฟากฟ้า มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าสายฟ้าที่เหมือนงูสีเงินจำนวนเหลือคณานับนั้นล้วนมารวมตัวกันอยู่ตำแหน่งใจกลาง ทำให้พื้นที่ตรงนั้นเกิดเป็นวงแหวนสายฟ้าลักษณะครึ่งวงกลม!
กลางวงแหวนสายฟ้านั้นรวบรวมสายฟ้าทั้งหมดเอาไว้ พวกมันผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกลายมาเป็น…อสนีสวรรค์สีดำ!
พลานุภาพสยบขุมหนึ่งที่เหนือกว่าตบะคนฟ้าช่วงต้นพลันระเบิดตูมออกมาจากในอสนีสวรรค์สีดำนี้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานยิ่งรุนแรง พอมาถึงท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นอานุภาพที่เทียบเท่ากับตบะคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ
ภาพนี้ทำให้ทุกคนในนครจักรพรรดิขุยที่ได้เห็นต่างก็สูดลมหายใจเฮือกๆ อย่างอดไม่อยู่ จิตวิญญาณสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
“ทัณฑ์ไฟอสนีชั้นดินนี้ ทำไมถึงไม่เหมือนกับที่บันทึกเอาไว้ล่ะ…”
“สวรรค์ ทัณฑ์สวรรค์ประเภทนี้ พวกอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินคนก่อนๆ ต้านทานมันมาได้อย่างไร!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มอึ้งงันบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นึกไปว่าเพราะตำหนักเทียนซือสามารถแบกรับไว้ได้คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่กระนั้นความระวังตัวของเขากลับไม่ได้ลดน้อยลง พอเห็นอสนีสวรรค์สีดำบนท้องฟ้าที่ระเบิดเสียงกัมปนาทอย่างต่อเนื่องแล้วแลบปลาบลงมานั้น เขาก็โคจรตบะทั้งร่าง รวบรวมสมาธิพร้อมรับมือ
อสนีสวรรค์สีดำผ่าเปรี้ยงลงมาบนตำหนักเทียนซือ แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่มันมาเยือน แสงเจิดจ้าของตำหนักเทียนซือก็พร่างพรายออกมาอีกครั้ง
กลายเป็นม่านแสงห้าแสงสิบสี ไม่ใช่แค่การป้องกันธรรมดา ม่านแสงนั่นยังถึงกับระเบิดพลังขึ้นไปต้านรับอสนีสวรรค์นั้นด้วยตัวเอง
พริบตานั้นสองฝ่ายก็ปะทะเข้าด้วยกัน เสียงเกริกก้องสะเทือนจนแก้วหูแทบดับดังสนั่นไปทั้งนครจักรพรรดิขุย!
ม่านแสงตำหนักเทียนซือกระเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดการบิดเบือนน้อยๆ ทั้งยังยุบยวบลงมาเกินครึ่ง ส่วนอสนีสวรรค์ที่กระทบกับม่านแสงก็คล้ายต้องแบกรับการพลังสะท้อนกลับน่าครั่นคร้ามจึงพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ไม่สามารถลอดผ่านม่านแสงมาได้ เพียงแค่กลายมาเป็นสายฟ้าโค้งงอจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไหลไปตามม่านแสง แผ่กระจายไปแปดทิศ ทำให้พระราชวังครึ่งหนึ่งกลายมาเป็นบ่อสายฟ้า…
ส่วนบ่อสายฟ้าบนนภากาศที่ปกคลุมแค่พื้นที่ของวังหลวง ยามนี้ก็เกิดลางที่จะสลายหายไป พอเห็นว่าเป็นเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อารมณ์ห้าวเหิมขึ้นมาทันใด รู้สึกว่าโอกาสดีๆ เช่นนี้ตนต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อแสดงท่วงทำนองแห่งความองอาจของตนสักหน่อย ดังนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทระนง ยกนิ้วชี้ไปยังท้องฟ้าแล้วคำรามดังลั่น
“มาสิ แน่จริงเจ้าก็มาอีกครั้งสิ!”