บทที่ 815 พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปอีกหลายเดือน นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกินครึ่งปีแล้ว เวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่จมจ่อมกับการหลอมไฟอยู่กับลูกศิษย์ของตัวเองก็เหมือนจะลืมไปแล้วว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
ทุกๆ ช่วงกลางวันป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องปรึกษาเรื่องการหลอมไฟสิบเก้าสีกับป๋ายฮ่าวทุกวัน และพอถึงยามค่ำคืน อาจารย์และลูกศิษย์สองคนก็จะต้องพากันไปที่ริมแม่น้ำแม่น้ำอเวจีด้วยความคึกคัก พอไปนั่งอยู่ข้างๆ คนเฝ้าสุสานคนหนึ่งก็เริ่มร้อง อีกคนหนึ่งก็เป็นลูกคู่รับโดยพูดถึงปัญหาที่พวกเขาเจอในตอนกลางวันออกมา
หากคนเฝ้าสุสานช่วยไขความกระจ่างให้ทันทีก็ดีไป แต่หากไม่ใช่ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนก็จะพูดปัญหานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อหน้าคนเฝ้าสุสาน จนถึงท้ายที่สุดเหมือนว่าคนเฝ้าสุสานจะเริ่มรำคาญ จึงต้องเอ่ยชี้แนะคำสองคำ
นี่ทำให้พรสวรรค์ด้านการหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวต่างก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และความมั่นใจในการหลอมไฟสิบเก้าสีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะป๋ายฮ่าวที่สร้างตำรับไฟสิบเก้าสีออกมาได้ทันที
และครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีส่วนร่วมด้วยทุกขั้นตอน ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า…ชั่วขณะที่ตำรับนี้ปรากฏออกมาก็คือช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถหลอมไฟสิบเก้าสีได้!
ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากที่ตนหลอมไฟสิบแปดสีได้ จะสามารถหลอมไฟสิบเก้าสีได้ในเวลาสั้นๆ ไล่เลี่ยกันเช่นนี้ เพราะในความเป็นจริงแล้วต่อให้ป๋ายฮ่าวจะมีความมั่นใจ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะก้าวเดินมาสู่ขั้นนี้ได้
เพราะอย่างไรซะไฟสิบเก้าสีก็หาได้ยากยิ่งกว่าไฟสิบแปดสี และเป็นเปลวเพลิงที่น่าตะลึงยิ่งกว่า หากเป็นงานประมูลใหญ่ๆ ในแดนทุรกันดาร บางทีอาจได้เห็นไฟสิบแปดสีบ้าง แต่ไฟสิบเก้าสีนั้น…เกรงว่าร้อยปีก็ยากที่จะได้พบพานสักครั้ง!
ต่อให้ปรากฏจริงๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากการหลอมของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินบางท่าน ซึ่งได้ถูกคนเก็บรักษาไว้มานานหลายปีกว่าจะเอาออกมา จึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
เพราะอย่างไรซะก่อนหน้านี้ อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินรุ่นนี้ของตลอดทั้งแดนทุรกันดารก็มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น และสามคนนี้ สองคนยังคงหยุดอยู่ที่การหลอมไฟสิบแปดสี มีเพียงคนเดียวที่…เนื่องจากฝ่าทะลุขั้นเมื่อหลายปีก่อนจึงหลอมไฟสิบเก้าสีออกมาได้!
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงพอจะจินตนาการได้ว่าไฟสิบเก้าสีจะหายากและล้ำค่าขนาดไหน!
แล้วก็พอจะจินตนาการได้ว่าหากเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟสิบเก้าสีออกมาได้แพร่ไปทั่วทั้งแดนทุรกันดารจะสร้างความครึกโครมสะท้านสะเทือนฟ้าดินมากเท่าไหร่ อีกทั้งนี่ยังไม่ด้อยไปกว่าการที่เขากลายเป็นชั้นดินเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งก็มีแต่จะทำให้ใจของคนมากมายสั่นสะเทือนด้วยความครั่นคร้าม
เพราะอย่างไรซะก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ในบรรดาอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินแต่ละรุ่นก็ไม่เคยมีใครเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนที่สามารถฝ่าทะลุขั้นติดต่อกันได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้
เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่มีเวลาให้ลำพองใจ ตอนนี้กายและใจทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่การหลอมไฟสิบเก้าสี พูดว่าลืมกินลืมนอนก็ยังไม่เกินไปนัก
และพวกโจวอีซิงกับอู่เต้าก็เคยชินกับการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องไปนั่งพูดคนเดียวที่ริมแม่น้ำอเวจีแล้ว บางครั้งพวกเขาก็ไปแอบฟัง เพียงแต่เรื่องเกี่ยวกับการหลอมไฟสิบเก้าสีนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะฟังไม่เข้าใจ ต่อให้โจวอีซิงจะเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณก็ยังรู้สึกงุนงง
ส่วนการดำรงอยู่ของป๋ายฮ่าวก็เนื่องจากมีพลังของหน้ากากช่วยอำพราง อู่เต้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก และเวลาเกินครึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทำความเข้าใจกับการหลอมไฟ ข่าวลือเป็นชุดๆ รวมไปถึงเรื่องในอดีตที่เกี่ยวกับเขาในนครจักรพรรดิขุยก็ค่อยๆ จางหายไปจากบทสนทนาของผู้คนตามวันเวลา
แต่ว่าหากพูดถึงอาจารย์หลอมวิญญาณ พูดถึงพระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์เมื่อไหร่ บางครั้งก็ยังมีคนพูดชื่อของป๋ายฮ่าวออกมา เห็นได้ชัดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้สั่งสมชื่อเสียงและบารมีไว้ในนครจักรพรรดิขุยอย่างลึกล้ำ
ขณะเดียวกันเมื่อการปะทะถูกชะลอไปเกินครึ่งปี บางคนในนครจักรพรรดิขุยก็เริ่มเกิดความคิดชั่วร้าย ความเกลียดแค้นที่พวกเขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้ฝังลึกลงถึงกระดูก ไม่ใช่เรื่องที่เวลาจะสามารถคลี่คลายให้หายไปได้ ยิ่งการผลักดันโองการประทานคุณแด่ประชาซึ่งอยู่ภายใต้การสนับสนุนจากต้าเทียนซือที่ยังคงดำเนินไปทั่วแดนทุรกันดารเกินครึ่งปีมานี้ ซึ่งถึงแม้จะยังช้าไปบ้าง ทว่าทุกก้าวย่างกลับเดินได้มั่นคงอย่างมาก หากดูจากสภาพการณ์ในตอนนี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรื่องใหญ่ที่เขย่าคลอนไปทั้งแดนทุรกันดารเกิดขึ้น หาไม่แล้ว…เกรงว่าเวลาผ่านไปอีกไม่กี่ปี มันจะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ของราชวงศ์ขุยไปอย่างสิ้นเชิง!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สำหรับราชวงศ์ขุยแล้วถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ยังไม่มีใครบอกได้แน่ชัด แต่ดูจากภายนอกแล้ว แม้ว่าตระกูลของชนสูงศักดิ์จะถูกสลายกำลังและทรัพย์สิน
ทว่าบุตรอนุภรรยาส่วนใหญ่รวมไปถึงประชาชนทั่วไปต่างก็กระตือรือร้นแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงความแข็งแกร่ง…นี่ย่อมทำให้พลังการต่อสู้ของตลอดทั้งแดนทุรกันดารเพิ่มสูงขึ้นอย่างมิต้องสงสัย
ด้วยสาเหตุหลากหลายประการก็ได้ทำให้คนบางส่วนเช่นลูกหลานสายตรงที่เข้าตาจนคิดจะเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ที่น่าแปลกก็คือ…หน่วยกล้าตายที่คนเหล่านั้นแอบส่งตัวไปหมายให้แฝงตัวเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีอย่างลับๆ กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งหมด!
การหายตัวไปของพวกเขา พวกอู่เต้าไม่รับรู้ด้วยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามีคนมาเยือน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจวอีซิง แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าช่วงเวลาที่เขามาอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี คนนอกที่มาเยือนพร้อมกับเจตนาร้ายล้วนหายตัวไปหมดแล้ว
นี่จึงทำให้พวกชนสูงศักดิ์ที่มีแผนร้ายพากันตกอกตกใจ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก
การหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งไม่มีคนรบกวนเข้าไปใหญ่ และก็เป็นเช่นนี้ เมื่อผ่านไปอีกหลายเดือน กลางดึกคืนนี้ ข้างแม่น้ำอเวจี ดวงตาของป๋ายฮ่าวเป็นประกายฮึกเหิมแรงกล้า ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาตื่นเต้นจนร่างสั่นเทิ้ม
“สำเร็จแล้ว!! อาจารย์ พวกเราทำสำเร็จแล้ว!!”
“ตำรับการหลอมไฟสิบเก้าสีถูกพวกเราสร้างขึ้นมาได้แล้ว!!”
“นี่คือตำรับที่เป็นของอาจารย์คนเดียวเท่านั้น ต่อให้คนนอกได้ตำรับนี้ไปก็ไม่สามารถหลอมไฟสิบเก้าสีออกมาได้ ทั้งโลกใบนี้ คนที่สามารถหลอมไฟสิบเก้าสีได้ด้วยตำรับนี้จะมีเพียงอาจารย์คนเดียวเท่านั้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างยิ่งยวด เขารู้สึกว่าเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา สำหรับเขาแล้วนับเป็นการแปรสภาพในด้านพรสวรรค์การหลอมไฟครั้งหนึ่งอย่างแท้จริง และการชี้นำของคนเฝ้าสุสานก็ล้วนสร้างการผลักดันที่สูงสุดให้กับเรื่องทุกอย่างนี้
“ขอบพระคุณท่านปู่คนเฝ้าสุสานอย่างยิ่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปคารวะคนเฝ้าสุสาน ป๋ายฮ่าวที่ตื่นเต้นก็คำนับคนเฝ้าสุสานตามอาจารย์ของตัวเอง
คนเฝ้าสุสานสีหน้าไร้อารมณ์ ยังคงนั่งตกปลาอยู่อย่างเดิม
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวคุ้นชินกับสีหน้าเช่นนี้ของเขาเสียแล้ว ยามนี้อาจารย์และศิษย์สองคนจึงพูดคุยกันด้วยความคึกคัก หลังจากแน่ใจทุกรายละเอียดในการหลอมไฟสิบเก้าสีแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบสงบสติอารมณ์ให้มั่นคงโดยเร็ว ครั้นจึงเริ่มหลอมไฟสิบเก้าสีอยู่ข้างคนเฝ้าสุสาน…อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก!!
ไฟสิบเก้าสีไม่มีทัณฑ์ไฟวิญญาณ!
นี่คือสิ่งที่คนเฝ้าสุสานบอกกับป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อมั่นในคำพูดของคนเฝ้าสุสานอย่างไร้ข้อกังขา อีกทั้งเมื่อเขาครุ่นคิดดูแล้ว ต่อให้มีทัณฑ์ไฟวิญญาณจริงๆ แต่เมื่อมีคนเฝ้าสุสานอยู่ข้างๆ เขายังจะต้องกลัวอะไร…
ความมั่นใจนี้แผ่ลามมาถึงการหลอมไฟสิบเก้าสี ทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายระยิบระยับ พอมือทั้งคู่ทำมุทราก็มีไฟสิบห้าสีจำนวนมากปรากฏออกมาทันที
ไฟสิบห้าสีเหล่านี้เขาได้หลอมขึ้นมาใหม่ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่ได้ทำการปรึกษากับป๋ายฮ่าว ส่วนวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการหลอมไฟ…
หลังจากที่คราวนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินโดยที่คนรับรู้กันทั่วหล้า
แม้ว่าจะเสียตำแหน่งผู้ตรวจการไป ทำให้ไม่สามารถยึดทรัพย์ตระกูลต่างๆ ได้อีก ทว่าอาจารย์หลอมวิญญาณที่มาเยี่ยมเยือนเขากลับมากมายไม่ขาดสาย
ตอนที่อาจารย์หลอมวิญญาณพวกนั้นมาเยี่ยมก็มักจะเตรียมของขวัญชิ้นโตมาด้วยเสมอ อย่างพวกซือหม่าเทา ซุนอี้ฝานก็ยิ่งเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือ เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนออกมาจากนครจักรพรรดิขุยจึงมีผลเก็บเกี่ยวที่มากพอไม่ต่างจากตอนยึดทรัพย์ตระกูล
บวกกับตอนที่ใช้เรือสวรรค์บินมา เวลาผ่านตระกูลใดๆ ก็ตาม ป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องหยุดพักในทุกตระกูล และตลอดทางมานี้…ก็มีอาจารย์หลอมวิญญาณไม่น้อยที่มาเยี่ยมเยือน
จนกระทั่งมาถึงพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ผลเก็บเกี่ยวเก็บที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับก็มากจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังจำไม่ได้ว่ามีแค่ไหน
ผลเก็บเกี่ยวเหล่านี้ก็คือต้นทุนที่ช่วยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนนำมาใช้หลอมไฟสิบเก้าสีตอนนี้ เขารวบรวมสมาธิให้มั่นคง แล้วจึงเริ่มจากการหลอมไฟสิบห้าสีมาเป็นสิบหกสี…
ท่ามกลางขั้นตอนนี้ได้มีการปูรากฐานเอาไว้สำหรับการหลอมไฟสิบเก้าสีด้วย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างออกไป จนกระทั่งไฟสิบหกสีจำนวนมากถูกหลอมเป็นไฟสิบเจ็ดสี การเปลี่ยนแปลงนี้จึงต่างจากเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ แค่มือทั้งสองของป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายสะบัดหนึ่งที ไฟสิบเจ็ดสีสิบกองก็ถูกหยิบออกมา ก่อนจะถูกเขากดลงไปอย่างผ่อนคลาย
เสียงตูมตามดังกึกก้อง ไฟสิบเจ็ดสีเหล่านั้นพลันเข้ามารวมกันและกลายเป็นมหาสมุทรเพลิงที่กว้างใหญ่ไพศาล การหดย่อจึงเกิดขึ้นตามมา ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถย่อทะเลเพลิงนั้นให้ถึงห้าจั้งได้อย่างผ่อนคลาย ชั่วขณะที่อยู่ในขอบเขตห้าจั้งแล้วมีการเปลี่ยนแปลงของสีเกิดขึ้น
ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวคาดการณ์ไว้ ในสีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ แทบจะแปดส่วนที่…ล้วนเป็นสีที่สิบแปดซึ่งเพิ่มขึ้นมา!
ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเพ่งมองอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่กวาดตาหนึ่งครั้ง อำนาจจิตก็กระแทกเข้าไปได้โดยตรง ต่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้จะเร็วแค่ไหนก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย ชั่วขณะนั้นทะเลเพลิงสิบแปดสีก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เขายกมือขวาขึ้นบีบหนึ่งครั้ง ฟ้าดินก็ส่งเสียงอึกทึกกึกก้อง
ทะเลเพลิงทั้งหมดล้วนหายไปในกำมือของเขา เมื่อเขาแบมือออก ไฟสิบแปดสีกองหนึ่งที่เปลี่ยนมาเป็นชัดเจนอย่างถึงที่สุดก็เผยออกมา
ความผ่อนคลายเช่นนี้ ความราบรื่นเช่นนี้ ความมาดมั่นเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่าด้วยความลำพองใจ นี่ทำให้ความมั่นใจในการหลอมไฟสิบเก้าสีของเขาเพิ่มมากขึ้น