บทที่ 817 ป๋ายเสี่ยวฉุน?!
การหลอมไฟสิบเก้าสีครั้งนี้ไม่มีใครรับรู้ หลังจากหลอมเสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นพลังการอำพรางของหน้ากากตัวเอง เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นการช่วยเหลือจากคนเฝ้าสุสาน
ขณะเดียวกัน หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟสิบเก้าสีออกมาได้ คนเฝ้าสุสานก็หายตัวไป ไม่ได้ปรากฏตัวยามที่แม่น้ำอเวจีปรากฏขึ้นอีก
ราวกับว่าตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีมานี้ เขาอยู่เพื่อคอยชี้นำป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวเท่านั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟสิบเก้าสีสำเร็จแล้วก็เหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ ถึงได้จากไป
เพียงแต่ว่าคืนก่อนหน้าที่จะหายตัวไป เขาไม่ได้สงวนคำพูดอย่างที่เคยเป็น แต่กลับให้คำแนะนำในด้านการหลอมไฟอีกหลายข้อ
ดังนั้นพอเขาจากไป แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนกับป๋ายฮ่าวจะรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันนัก ทว่าพอศึกษาตามข้อแนะนำที่คนเฝ้าสุสานทิ้งไว้อย่างละเอียด คนทั้งสองก็เริ่มมีแนวทางในการหลอมไฟยี่สิบสี
“อาจารย์ การชี้นำจากท่านปู่คนเฝ้าสุสานทำให้ศิษย์ได้รับแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวง ไฟยี่สิบสีนั้นต้องเป็นชั้นดินขั้นสูงสุดถึงจะหลอมออกมาได้ แม้ว่าจะยากลำบากยิ่งกว่าเดิม แต่ศิษย์กลับมีความมั่นใจมากพอว่าจะสร้างตำรับการหลอมไฟเพื่ออาจารย์โดยเฉพาะได้!”
“ช่วงเวลาหลังจากนี้ ศิษย์จะปิดด่านแล้ว อาจารย์ ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะขอรับ” ป๋ายฮ่าวประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน มองดูเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตบไหล่ของลูกศิษย์ตัวเองแล้วพยักหน้ารับ จากนั้นป๋ายฮ่าวจึงกลายร่างเป็นแสงวิญญาณเส้นหนึ่งที่หายเข้าไปในสถูปวิญญาณ
เวลาหลายเดือนผ่านพ้นไปอีกครั้ง คนเฝ้าสุสานไม่กลับมาอีก ป๋ายฮ่าวเองก็ปิดด่าน หลายเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เนื่องจากวัตถุดิบในการหลอมไฟไม่พอจึงไม่ได้ทดลองหลอมต่อ ทว่าการอนุมานในสมองของเขากลับไม่เคยยุติลง
“ที่ก่อนหน้านี้ทำสำเร็จในรวดเดียวก็เพราะว่ามียาวาสนาทลายฟ้า อีกทั้งทุกขั้นตอนล้วนผ่านมาได้อย่างราบรื่นเป็นพิเศษ…หากคิดจะหลอมเป็นครั้งที่สอง เกรงว่าคงยากที่จะราบรื่นได้แบบนั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำถุงเก็บของ ตอนนี้ทรัพย์สินของเขาเหลือน้อยแสนน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขามีไฟหลายสีนับตั้งแต่ไฟสิบสามสีมาถึงไฟสิบเก้าสีอยู่อีกมาก
บางสีก็มีแค่หนึ่งสองชิ้น บางสีมีเจ็ดแปดชิ้น ไฟหลายสีพวกนี้หากนำไปขายที่งานประมูลครั้งหนึ่งย่อมต้องสร้างความครึกโครมให้กับตลอดทั้งแดนทุรกันดารแน่นอน เพราะอย่างไรซะผลงานของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินก็เป็นที่แย่งชิงของผู้คนอยู่แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าหากไม่มีหนทางอื่นจริงๆ ก็คงต้องเอาไฟพวกนี้ออกไปขาย
ส่วนโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ลืมที่จะชี้แนะอีกฝ่าย และในที่สุดช่วงเวลาหลายเดือนมานี้ ภายใต้การช่วยเหลือจากป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ว่างๆ โจวอีซิงก็หลอมไฟสิบห้าสีที่เป็นของตัวเองได้สำเร็จ!!
ชั่วขณะที่ไฟสิบห้าสีปรากฏขึ้นก็หมายความว่าโจวอีซิงได้กลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำแล้ว นี่ได้สร้างความตื่นเต้นฮึกเหิมให้กับโจวอีซิงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในตระกูลของเขามีเพียงบุรพาจารย์เท่านั้นที่เป็นขั้นสีดำ ทว่าตอนนี้เขาก็เลื่อนสู่ขั้นสีดำแล้ว ก่อนหน้าที่ไม่ได้เจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่เคยกล้าจินตนาการมาก่อนว่าตัวเองจะทำได้
ทว่าตอนนี้เวลาผ่านไปแค่ไม่นานเท่าไหร่ เขากลับเดินมาถึงจุดนี้ โจวอีซิงเข้าใจดีว่าทุกอย่างนี้…ล้วนเป็นเพราะสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนประทานให้ เป็นอีกครั้งที่เขาปลงอนิจจัง รู้สึกว่าการเลือกของตัวเองในปีนั้น ช่างชาญฉลาดเหลือประมาณ!
ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ยังมีซ่งเชวียอีกคน หนึ่งปีมานี้ ร่างกายของเขาไม่เพียงแต่ฟื้นคืนกลับมาได้เกินครึ่ง อีกทั้งเมื่อได้รับการสนับสนุนทางยาวิญญาณที่มากพอ ตบะของเขาที่เคยฝ่าทะลุเพราะถูกตระกูลเฉินบีบบังคับก็เนื่องจากได้ดูดซับยาวิญญาณจึงพัฒนาก้าวหน้าไปอีกเยอะมาก แม้ว่าจะยังเป็นก่อกำเนิดช่วงต้น ไม่ได้เลื่อนขั้น แต่รากฐานพลังของเขากลับฟื้นคืนมาแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน
แม้ว่าชีวิตนี้ความเป็นไปได้ที่เขาจะกลายเป็นคนฟ้ามีไม่มาก แต่เมื่อรากฐานนี้ได้ฟื้นคืนกลับมาก็เหมือนว่าจะมอบความหวังให้เขาอีกครั้ง ทำให้ซ่งเชวียยิ่งซาบซึ้งใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจอีกครั้งว่าเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ตนจะกอดขาของอีกฝ่ายเอาไว้ให้แน่น
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปอีกหลายเดือน
ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีแห่งนี้ได้หนึ่งปีกว่าแล้ว มาถึงท้ายที่สุดตัวเขาเองก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายบ้างแล้ว ครุ่นคิดว่าตัวเองมาหลบภัยนานพอสมควรแล้ว ควรจะส่งข้อความเสียงไปถามต้าเทียนซือดีไหมว่าตัวเองจะกลับไปนครจักรพรรดิขุยได้หรือไม่
ต่อให้กลับไปที่นั่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็วางแผนว่าจะกลับนครผียักษ์แล้ว
แต่ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความคิดเช่นนี้ ในแดนทุรกันดารกลับมีเรื่องหนึ่ง…ที่ทำให้คนบางส่วนคาดไม่ถึง ทว่าคนส่วนมากกลับพอจะคาดเดาได้เกิดขึ้น!!
ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือคนคนหนึ่ง คนผู้นี้มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก ครั้งแรกที่ปรากฏตัวคือทางฝั่งทิศเหนือของแดนทุรกันดาร
เขาสวมอาภรณ์สีขาว เส้นผมสีดำยาวไสว ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เพียงแต่กลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับคนที่เย่อหยิ่งอย่างมาก ขณะเดียวกันเขาก็ยังมีไอความเย็นไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออกมาจากในร่างอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับลมและเมฆ ทำให้ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย
ตบะทั้งร่างของเขาก็แปลกประหลาดยิ่งกว่า มองดูเหมือนก่อกำเนิด แต่ก็คล้ายจะไม่ใช่!
หลังจากที่เขาปรากฏตัวก็ฆ่าคนไปทั่ว ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามวันเขาได้สังหารชนเผ่าขนาดกลางของแดนทุรกันดารไปเจ็ดเผ่า เผ่าขนาดใหญ่หนึ่งเผ่า ทั้งยังทำลายตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณไปอีกหนึ่งตระกูล
คนที่เขาสังหารไป มากเกินหลายหมื่นคนแล้ว!!
การเข่นฆ่าเช่นนี้เหี้ยมโหดอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันเขายังทำให้ศพของผู้ตายกลายมาเป็นซากแห้ง ราวกับว่าพลังชีวิตทั้งหมดล้วนถูกเขาดูดเอาไป อีกทั้งแม้แต่วิญญาณของพวกเขาก็ยังหายไปเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เรื่องนี้ครึกโครมไปทั่วทั้งทางเหนือของแดนทุรกันดารทันที และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือจู่ๆ วันที่สี่คนผู้นี้ก็หายตัวไป แล้วก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงมาปรากฏตัวอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแดนทุรกันดาร ทั้งยังเปิดฉากสังหารอย่างไร้ปราณีในพื้นที่แถบนั้นอีกครั้ง
เวลาผ่านไปหลายวัน เมื่อนำจำนวนของคนที่เขาสังหารมารวมกันก็มากเกินหนึ่งแสนคน นี่ทำให้ราชสำนักขุยบังเกิดความโกรธแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่านี่คือการท้าทายอย่างไร้ความละอายใจ!!
และที่ทำให้แดนทุรกันดารสั่นสะเทือนกันได้มากที่สุดก็คือหน้าตาของคนผู้นี้กลับเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในประกาศจับ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
ดังนั้นใครก็ตามที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ล้วนเข้าใจกันทั้งหมดว่า คนผู้นี้…ก็คือผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งบนกระดานการประลองจักรพรรดิหมิง คนที่หลอมทารกก่อกำเนิดของตัวเองมาข่มหัวและเหยียบศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทุกคนของแดนทุรกันดารให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองอย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
“ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวแล้ว!!”
“คนผู้นี้หดหัวอยู่ในกระดองมานานหลายปี ในที่สุดก็ยอมปรากฏตัวแล้ว!!”
“สมควรตายนัก เขาสังหารคนนับแสนอย่างโหดร้าย เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!!”
“ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งซะ!!”
ข่าวนี้ประหนึ่งลมพายุที่พัดทำลายไปทั่วทั้งแดนทุรกันดารในช่วงเวลาสั้นๆ ทำเอาคนในนครจักรพรรดิขุยรวมไปถึงนครของสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้
เพียงแต่ว่าแม้คนผู้นี้จะฆ่าคนไปมาก ทว่าในสายตาของสี่ราชาสวรรค์และชนชั้นสูงจำนวนมากกลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องระดมกำลังพลให้วุ่นวาย แม้ว่าอีกฝ่ายจะสร้างเรื่องไม่ใช่เล็กๆ แต่ด้วยตบะที่มีจำกัด จึงทำให้บุคคลที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ยากจะแก้ไข
“ในเมื่อปรากฏตัวแล้วก็สังหารทิ้งซะให้สิ้นเรื่อง!”
“หากป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ต้องไปตามหาก็คงลำบากไม่น้อย แต่ตอนนี้เขากลับกล้าปรากฏตัวอย่างกำเริบเสิบสาน เขาคิดจริงๆ หรือว่าแดนทุรกันดารของเราจะจัดการนักพรตเขตก่อกำเนิดตัวเล็กๆ อย่างเขาคนเดียวไม่ได้!”
คำพูดแบบนี้ดังออกมาจากในที่พักของชนชั้นสูงแทบทุกแห่ง ส่วนสตรีธุลีแดงที่พอได้ยินเรื่องนี้ก็เหมือนถูกกระตุ้นให้ฮึกเหิมไปทั้งร่าง นางรีบตรงดิ่งไปขอโองการจากต้าเทียนซือให้อนุญาตนางยกทัพไปสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้!
ต้าเทียนซือกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องโองการประทานคุณแด่ประชา และเขาก็รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างสตรีธุลีแดงกับป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี แต่พอได้ยินเรื่องนี้ ตอนแรกเขายังลังเลไปพักหนึ่งเหมือนรู้สึกแปลกใจ ทว่าพอครุ่นคิดอย่างละเอียดก็อนุญาตให้สตรีธุลีแดงยกทัพไปได้
ดังนั้นสตรีธุลีแดงจึงลงมือทันที นางไม่ได้ไปแค่คนเดียว เพราะอย่างไรซะนางก็เคยประมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน รู้ดีว่าความคิดของอีกฝ่ายเจ้าเล่ห์กลับกลอก เขาซ่อนตัวมาได้นานขนาดนี้ แต่จู่ๆ กลับปรากฏตัวในเวลาอย่างนี้ แสดงว่าเขาต้องมีความมั่นใจมากพอแน่นอน
ดังนั้นนางจึงระดมพลคนในกองทัพผียักษ์เกือบครึ่งหนึ่งให้ออกเดินทางไปสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเกรียงไกรด้วยกัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ครั้งนี้ข้าจะต้องเอาชีวิตของเจ้ามาให้ได้!” สตรีธุลีแดงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพาคนออกไปจากนครจักรพรรดิขุย
ส่วนโจวอีซิงที่อยู่ห่างไปไกลในพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีก็ได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน แม้เขาจะติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งปีกว่าแล้ว ทว่ากลับยังคงติดต่อกับลูกน้องของเขาที่อยู่ข้างนอกตลอดเวลา ทำให้ข่าวคราวข้างนอกถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเรื่องใหญ่ๆ ที่เกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ตอนแรกที่รู้เรื่องเขาเองก็ตกใจสะดุ้งโหยงไปเหมือนกัน ในใจเต้นกระหน่ำอยู่หลายที แม้จะยังไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดและยังไม่ทันย่อยข้อมูลให้ชัดเจน ทว่าหลังจากปรับลมหายใจให้มั่นคงแล้วเขาก็รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรปล่อยให้ล่าช้าหรือถ่วงเวลาเอาไว้ ดังนั้นจึงพุ่งออกจากห้องของตัวเองตรงไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วรายงานเรื่องนี้ให้เขาทราบ
“ป๋ายเสี่ยวฉุน?!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ทั้งยังคาดไม่ถึง เขามองอึ้งๆ ไปที่โจวอีซิง
โจวอีซิงเองก็ตกใจเหมือนกัน เขารู้ดีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปรากฏตัวในข่าวนี้ต้องเป็นตัวปลอมแน่นอน…เพราะอย่างไรซะตัวจริงก็ยืนอยู่เบื้องหน้าตัวเองนี่แล้ว จะออกไปสังหารคนเป็นแสนอย่างข่าวลือนั่นได้อย่างไร
“ใช่ขอรับ…หลังจากที่คนผู้นี้ปรากฏตัว จนกระทั่งวันนี้ก็ได้สังหารคนไปเกินหนึ่งแสนคนแล้ว ตอนนี้โจว…โจวจื่อโม่เองก็ได้พากองทัพผียักษ์เกือบครึ่งหนึ่งเดินทางไปสังหารเขา…” โจวอีซิงเอ่ยเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองรู้มาให้อีกฝ่ายฟังต่อ
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฟังก็ยิ่งผวาอยู่ในใจ มาถึงท้ายที่สุดเขาก็ถึงกับหอบหายใจดังเฮือก รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป
“ใครกันที่ปลอมตัวเป็นข้า?!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติมากๆ เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนตัวปลอมผู้นั้นหาความโกรธแค้นมาให้กับตนชัดๆ พอคิดว่าอีกฝ่ายใช้ชื่อของตนไปสังหารคนมากเกินแสนคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โมโหขึ้นมาทันที
“นี่เท่ากับขุดหลุมฝังข้า เอาขี้สาดมาที่หัวข้าชัดๆ!!”
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูให้รู้ว่าไอ้หมอนี่เป็นใครกันแน่!” โทสะป๋ายเสี่ยวฉุนลุกโชน ถลึงตากว้าง ตัดสินใจได้ในบัดดล