Skip to content

A Will Eternal 82

บทที่ 82 ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งทิศใต้

แต่หนึ่งพันปีมานี้ชายฝั่งทิศใต้กลับถูกชายฝั่งทิศเหนือข่มเอาไว้ตลอด ในศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกทุกครั้ง เกินครึ่งของสิบอันดับแรกล้วนเป็นศิษย์จากชายฝั่งทิศเหนือ ทำให้ชายฝั่งทิศใต้เงยหน้าไม่ขึ้น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงอันดับที่หนึ่ง ที่ตลอดหนึ่งพันปีมานี้ล้วนถูกชายฝั่งทิศเหนือคว้าเอาไปครอง

สาเหตุในนี้ก็เป็นเพราะชายฝั่งทิศเหนือมีสี่ยอดเขา ชายฝั่งทิศใต้มีเพียงสามยอดเขาเท่านั้น แต่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน สามเขาชายฝั่งทิศใต้นั้นแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นด้านการหลอมพลังจิต หรือว่าด้านการหลอมยาล้วนเป็นเสาหลักของสำนัก ไม่มีใครกล้าแส่เข้ามาหาเรื่อง และเขาชิงเฟิงที่ฝึกในเรื่องของกระบี่ก็ยิ่งถูกเรียกว่าเป็นยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านกำลังรบของสำนักธาราเทพ

แต่ตอนนี้เนื่องจากเหตุผลบางอย่างทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ชายฝั่งทิศเหนือมีอำนาจยิ่งใหญ่ หลังจากทุกครั้งที่ได้ชัยชนะล้วนได้รับทรัพยากรปริมาณมหาศาลอย่างลำเอียง ทำให้กำลังรบแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ บวกกับวิชาบำเพ็ญเพียรของชายฝั่งทิศเหนือที่แตกต่างไปจากชายฝั่งทิศใต้อย่างสิ้นเชิง จึงทำให้ตระกูลบำเพ็ญเพียรและสำนักภายนอกมากมายล้วนมองว่าในสำนักธาราเทพ ชายฝั่งทิศเหนือแข็งแกร่งจนกลายเป็นผู้นำไปแล้ว

สำนักธาราเทพ ชายฝั่งทิศใต้ควบคุมวัตถุ ชายฝั่งทิศเหนือควบคุมสัตว์!

อย่างวิชาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ร่ำเรียนตอนเข้าสำนักก็คือวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ส่วนสิ่งที่ชายฝั่งทิศเหนือจะได้ร่ำเรียนคือวิชาทงเทียนควบคุมช้าง!

ดังนั้นหอหมื่นโอสถของเขาเซียงอวิ๋นถึงไม่ได้มีเพียงพืชหญ้าห้าบท แต่ยังมีสัตว์วิเศษห้าบทด้วย!

เนื่องจากตลอดหนึ่งพันปีมานี้ ชายฝั่งทิศใต้พ่ายแพ้ติดต่อกันในศึกระหว่างสองชายฝั่ง โดยเฉพาะครั้งหนึ่งเมื่อสามสิบปีก่อน ถึงขนาดที่ว่าสิบอันดับแรกมีคนของชายฝั่งทิศใต้เพียงคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้ผู้นำและผู้อาวุโสของสามเขาแห่งชายฝั่งทิศใต้พากันโกรธแค้นเจ็บใจ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะออกไปตามหาผู้มีพรสวรรค์มาด้วยตัวเอง ซ่างกวานเทียนโย่วถึงปรากฏตัวขึ้นมา

ซ่างกวานเทียนโย่ว หลู่เทียนเหล่ย และโจวซินฉีคือไม้ตายที่ชายฝั่งทิศใต้เตรียมเอาไว้ในครั้งนี้ สามคนนี้ล้วนถูกผู้นำของแต่ละยอดเขารับเข้าเป็นศิษย์ ทุ่มเทปลูกฝังอบรม ตอนนี้มีตบะในขั้นรวมลมปราณที่แปด อีกอย่างในด้านกำลังการสู้รบก็เอาชนะฝ่ายในมาได้แล้วหลายคน

โดยเฉพาะซ่างกวานเทียนโย่วที่ยิ่งน่าตกตะลึง เชี่ยวชาญวิชาความว่างเปล่า ถูกขนานนามให้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของฝ่ายนอกชายฝั่งทิศใต้

ส่วนหลู่เทียนเหล่ยที่เชี่ยวชาญวิถีสายฟ้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน วิชาสายฟ้าเป็นที่น่าตื่นตะลึง แม้แต่อาจารย์อย่างสวีเหม่ยเซียงก็ยังชื่นชมไม่หยุด แน่ใจอย่างยิ่งว่าคราวนี้หลู่เทียนเหล่ยต้องติดสิบอันดับแรกของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหนือใต้อย่างแน่นอน

และยังมีโจวซินฉี วันปกตินางจะเผยให้เห็นถึงความรู้ลึกซึ้งในวิถีโอสถ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาคมของนางมีหลี่ชิงโหวเป็นผู้สั่งสอนด้วยตัวเอง จึงแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน

หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนรู้เรื่องราวเหล่านี้จากสวีเป่าไฉ ในใจก็ให้ไม่พอใจ รู้สึกว่าชายฝั่งทิศเหนือรังแกกันเกินไป

‘รอข้าอยู่ในขั้นสร้างฐานรากเมื่อใด จะต้องไปทำลายบารมีของพวกศิษย์ฝ่ายนอกชายฝั่งทิศเหนือให้เรียบ!’ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอย่างลำพองใจ ส่วนสงครามคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติ และศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่จะมีขึ้นในภายหลังนั้น เขาไม่มีความสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

เรื่องที่ต้องรบราฆ่าฟันกันแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับสถานะของตัวเอง เขาเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนัก แค่ลำดับศักดิ์ก็แตกต่างกันแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรไปแย่งชิงกับคนรุ่นเด็กพวกนั้น

‘หากแข่งไม่ชนะขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ นี่ไม่เท่ากับทำให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักต้องเสียหน้าหรอกเหรอ ช่างเถอะ ข้าไม่ไปดีกว่า’ ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกว่าเพื่อศิษย์พี่เจ้าสำนัก เพื่อสำนักแล้ว ตนเองต้องเสียสละมากถึงเพียงนี้ ควรจะไปจุดธูปไหวอาจารย์ ระบายทุกข์เสียหน่อยแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไว้อย่างงดงาม แต่กลับไม่ได้ทำจริงจัง ตลอดเวลาสองเดือนต่อมาเขาเอาแต่ไปหาจางต้าพั่ง ให้จางต้าพั่งหลอมพลังจิต ทุกครั้งจะต้องเอาหม้อกระดองเต่าของตัวเองออกมาหลอมอีกครั้งลับหลังจางต้าพั่ง พอทำเสร็จก็รีบเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่งให้จางต้าพั่งเห็นทันที

แรกเริ่มจางต้าพั่งก็แปลกใจมาก แต่ไม่นานเขากลับตะลึงระคนดีใจ และค่อยๆ ความภาคภูมิใจขึ้น ถึงขั้นเกิดเป็นความเคยชิน ตัวเขาเองก็แน่ใจมากแล้วว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิตอย่างแท้จริง

ถึงขั้นที่ว่าภายใต้ความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงของเขาเช่นนี้ วิชาการหลอมพลังจิตของเขาได้กลายมาเป็นพลังจิตที่นับวันก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผันผ่าน อีกหนึ่งเดือนผ่านไป สามวันก่อนที่จะมีการต่อสู้คัดเลือกผู้มีคุณสมบัติ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับการแจ้งข่าวจากสำนัก ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่มีพลังรวมลมปราณขั้นแปด จำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ ห้ามบอกปัด

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองแผ่นหยกหนึ่งที หาวอีกหนึ่งครั้ง หลอมยาต่อไปโดยไม่สนใจใยดี

จนกระทั่งเช้าตรู่ของสามวันต่อมา เสียงระฆังของชายฝั่งทิศใต้ดังสะท้อน เขาถึงได้เดินเอ้อระเหยอยู่ในประตูภูเขา มองเห็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนที่เดินรุดหน้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาจึงทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า เดินตามกลุ่มคนไป

ไม่นานนักก็มาถึงในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังภูเขาทั้งสามลูกของชายฝั่งทิศใต้ ขอบเขตด้านในกว้างขวางอย่างยิ่ง มีหยกขาวปูพื้นเป็นลานขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง รอบด้านล้อมรอบไปด้วยเสาซึ่งมีรูปปั้นมังกรผานหลงพันรอบ ดูน่าเกรงขามสะเทือนฟ้าดิน

ระหว่างเสาทุกๆ สองต้นยังมีรูปปั้นตั้งวางอยู่ รูปปั้นเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์ร้าย แต่ละตัวมีชีวิตชีวาเหมือนจริง แผ่ไอดุร้ายไปแปดทิศ ทำให้ตลอดลานกว้างของหุบเขาแห่งนี้ตกอยู่ในไอเย็นเยียบ

บนหน้าผารอบด้านมีแท่นสูงนูนออกมาอยู่หนึ่งแห่ง เวลานี้บนแท่นสูงมีที่นั่งหลายสิบที่ ไม่เพียงแต่ผู้นำของสามเขาอย่างหลี่ชิงโหวและสวีเหม่ยเซียงที่นั่งอยู่บนนั้น แม้แต่เจ้าสำนักธาราเทพอย่างเจิ้งหย่วนตงก็มาด้วย

การคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติของสองชายฝั่งเหนือใต้ไม่ได้จัดขึ้นในเวลาเดียวกัน ชายฝั่งทิศใต้จัดก่อน จากนั้นค่อยเป็นชายฝั่งทิศเหนือ ดังนั้นในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักธาราเทพ เขาไม่สามารถลำเอียงต่อฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้ เวลานี้มาดูการต่อสู้ที่ชายฝั่งทิศใต้ก่อน ภายหลังก็ต้องไปที่ชายฝั่งทิศเหนือเช่นกัน

พวกหลี่ชิงโหวสามคนอยู่ข้างกายเจิ้งหย่วนตง ต่างก็กำลังอมยิ้มน้อยๆ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ

ด้านหลังพวกเขายังมีผู้อาวุโสของทั้งสามเขา ผู้เฒ่าโจวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ละคนถ้าไม่ได้หลับตาทำสมาธิก็พูดคุยกันเสียงเบา และมีบางคนที่มองไปยังลูกศิษย์เบื้องล่างที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน สีหน้าเกียจคร้าน พอมาถึงลานกว้างก็ยืนอยู่ด้านข้าง มองไปรอบด้านอย่างอยากรู้อยากเห็นเนื่องจากไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะรูปปั้นพวกนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจ ดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ โดยละเอียด จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด

“สัตว์ร้ายพวกนี้เหมือนมีชีวิตจริงๆ เลย น่าสนใจ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นแม้กระทั่งเส้นขนบนรูปปั้นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งกำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลม ทำให้เขารู้สึกพิศวงอย่างมาก

และตอนนี้เอง ทันใดนั้นในกลุ่มคนก็มีเสียงร้องตกตะลึงดังลอยมา

“ศิษย์พี่หญิงโจวมาแล้ว!”

“ตบะของศิษย์พี่หญิงโจวอยู่ในขั้นรวมลมปราณที่แปดนานแล้ว สิบอันดับแรกคราวนี้ย่อมมีนางอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ว่าด้วยสถานะของนาง ย่อมติดสามอันดับแรกอย่างมั่นคง!”

เห็นแค่เพียงว่ามีแพรต่วนสีฟ้าเส้นหนึ่งกรีดผ่านกลางอากาศมาจากไกลๆ พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ และกลายร่างเป็นโจวซินฉี นางกำมือประสานไปทางแท่นสูงก่อนแล้วค่อยเดินไปด้านข้างหลับตาทำสมาธิ มองดูแล้วเหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจกลับมีความตื่นเต้นอยู่เช่นเดียวกัน นางบำเพ็ญตบะมาหลายปี ศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครั้งนี้จะต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้น

บนแท่นสูง หลี่ชิงโหวอมยิ้มน้อยๆ มองมายังโจวซินฉี นัยน์ตาเปล่งประกายชื่นชม

“ชิงโหว โจวซินฉีผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความรู้ด้านพืชหญ้าที่ไม่ธรรมดา ความสามารถด้านวิชาคาถาก็น่าตะลึงเช่นเดียวกัน คาดว่าคราวนี้ต้องสร้างชื่อเสียงให้กับชายฝั่งทิศใต้ของพวกเจ้าอย่างแน่นอน” เจิ้งหย่วนตงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ท่านเจ้าสำนักชมเกินไปแล้ว ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ยังต้องฝึกฝนอีกมาก แต่จิตใจของนางนั้นหาได้ยากจากคนวัยเดียวกันอย่างแท้จริง เป็นไม้ที่เหมาะนำมาสร้างได้” หลี่ชิงโหวถ่อมตน

ขณะที่คนรอบลานกว้างกำลังพากันมองไปยังโจวซินฉีด้วยความอิจฉาอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองโจวซินฉีหนึ่งครั้ง กระแอมไอแห้งๆ หนึ่งที วางท่าคล้ายคลึงหลี่ชิงโหว เอามือไพล่หลัง นัยน์ตาเผยแววชื่นชม

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโจวซินฉียังไม่ทันจบลง ทันใดนั้นในกลุ่มคนก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไปกลางอากาศ เห็นแค่เพียงว่าขณะที่มีเสียงฟ้าร้องคำรามกลับมีสายฟ้าเป็นรูปงูสีเงินไหลเวียนผ่านไป ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีเขียว สีหน้าโอหังถือดีผู้หนึ่งกำลังเหยียบอยู่บนสายฟ้า และเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา

เบื้องหลังของเขามีสายฟ้าจำนวนมากไหลเวียน เสียงฟ้าร้องดังกัมปนาท พลังแข็งแกร่งล้ำหน้าโจวซินฉี ตอนที่เหยียบย่างเข้ามาในลานกว้าง ถึงขั้นที่ว่าในระยะสิบจั้งรอบกายเขาเกิดเป็นบ่อสายฟ้า แสงสายฟ้าจำนวนมหาศาลแผ่กระจายออกมาโดยรอบ

และบนร่างของเขาก็มีสายฟ้าเป็นเส้นโค้งวนรอบอยู่เช่นกัน

“นั่นมันหลู่เทียนเหล่ยจากเขาจื่อติ่ง! ศิษย์พี่หลู่มีสายเลือดสายฟ้าที่หาได้ยากยิ่ง พอเข้ามาในสำนักก็เอาแต่ปิดด่านบำเพ็ญตบะ วันนี้ได้เห็นตัวจริงก็ช่างไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้!”

“หลู่เทียนเหล่ยผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาฝึกวิชาอะไรกันแน่ถึงได้ควบคุมสายฟ้าได้ถึงระดับนี้!” ขณะที่ผู้คนรอบด้านพากันตกตะลึงพรึงเพริด หลู่เทียนเหล่ยประสานมือคารวะไปทางแท่นสูงด้วยสีหน้าลำพองตน หมุนตัวเดินไปอยู่อีกฝั่ง สายตาของเขาในเวลานี้เห็นแค่โจวซินฉีเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่แข่งของตนได้ ส่วนลูกศิษย์คนอื่นที่เหลือ เขาล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา

บนแท่นสูง สวีเหม่ยเซียงยิ้มน้อยๆ ดวงตาทั้งคู่เผยความพึงพอใจ

“ท่านเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ของข้าผู้นี้ฝึกวิชาควบคุมสายฟ้า ท่านว่าเขาฝึกได้เป็นเช่นไรบ้าง?”

“มีความสามารถควบคุมสายฟ้าได้ถึงสองส่วนด้วยพลังรวมลมปราณขั้นแปด มีความรู้ลึกซึ้งเช่นนี้ เด็กผู้นี้ถือเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของขั้นต่ำกว่าสร้างฐานรากได้แล้ว” เจิ้งหย่วนตงแสดงสีหน้าประทับใจออกมาเล็กน้อย มองหลู่เทียนเหล่ยอยู่หลายครั้ง

และในเวลานี้เอง ผู้นำของเขาชิงเฟิง ผู้เฒ่าที่ผอมแห้ง แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความเฉียบขาดแหลมคมผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองไปไกล มุมปากเผยรอยยิ้ม

เจิ้งหย่วนตงชะงักสีหน้า รีบเงยหน้าขึ้นทันควัน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่รอบด้านก็ล้วนจ้องมองไปไกล

แสงกระบี่เส้นหนึ่ง…ก่อให้ชั้นเมฆเหลือคณานับระหว่างฟ้าดินคำรามเสียงดังครืนครัน พลังนี้แข็งแกร่งเกินไป สามารถทำให้กลุ่มเมฆโหมสัดซาดได้ สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าด้านในนั้นมีกระบี่โบราณสีเขียวเล่มหนึ่งกลายร่างเป็นรุ้งสีเขียว พริบตาเดียวก็ทะยานผ่าสิ่งกีดขวางทั้งหมดดั่งลอดผ่านความว่างเปล่า ตรงดิ่งมายังสถานที่แห่งนี้

กระบี่เล่มนี้เก่าแก่และเรียบง่าย ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ แฝงไว้ด้วยความขลัง ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

บนกระบี่บินมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์ของศิษย์ฝ่ายนอก เส้นผมสีนิลปลิวไสว ท่วงท่าสง่างามอย่างถึงที่สุด เวลานี้กำลังเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง พลังอำนาจน่าตกตะลึง รอบกายมีแสงสีทองอ่อนจางหนึ่งชั้น โดยเฉพาะเบื้องหลังของเขา รุ้งสีเขียวได้กลายร่างเป็นดอกบัวสีเขียวหลายดอก ก่อเกิดเป็นภาพมหัศจรรย์

และห่างไปอีกหน่อยยังมีสัตว์ที่ตัวเป็นปลาหัวเป็นมังกรขนาดประมาณสามจั้งตัวหนึ่งแหวกว่ายไปรอบด้าน ราวกับว่าเปลี่ยนกลางอากาศมาเป็นมหาสมุทร ว่ายผ่านที่ใดก็จะมีฝนตกพร่างพรมลงมา

เขายังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ก็มีลมฝนพัดผ่านเหนือลานกว้าง ทำให้ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้น พอเห็นภาพนี้แล้วก็พากันสูดลมหายใจเฮือก

“ศิษย์พี่ใหญ่ซ่างกวาน!”

“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของชายฝั่งทิศใต้ ซ่างกวานเทียนโย่ว!”

“ว่ากันว่าเขามีร่างเป็นกระบี่วิเศษ เป็นร่างของปรมาจารย์ด้านการฝึกกระบี่กลับชาติมาเกิด ด้วยเหตุผลบางประการ สวรรค์รู้สึกผิดจึงประทานความโชคดีเหลือคณานับให้แก่เขา ตอนสามขวบเดินๆ อยู่ก็เก็บกระบี่โบราณเล่มหนึ่งได้ เจ็ดขวบมีลูกสัตว์ชื่ออวิ๋นตัวหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้ายอมรับเขาเป็นนาย ตอนอายุสิบสามได้แสงทองคุ้มกันกาย ดังนั้นเลยชื่อว่าเทียนโย่ว!”

โจวซินฉีลืมตาขึ้น ขณะที่จ้องมองไปบนท้องฟ้า นัยน์ตาเผยความเคร่งขรึม

หลู่เทียนเหล่ยที่อยู่ห่างออกไปก็เงยหน้าขึ้นพรวด พริบตานั้นนัยน์ตามีประกายสายฟ้าวาบผ่าน สายฟ้าทรงโค้งจำนวนมากตลอดร่างไหลเวียน พลังอำนาจเพิ่มสูง สีหน้าเผยแววท้าทาย

“ซ่างกวานเทียนโย่วคารวะท่านเจ้าสำนัก ท่านอาจารย์ ท่านผู้นำทั้งสอง และท่านผู้อาวุโสทุกท่าน” รุ้งสีเขียวเข้ามาใกล้ ซ่างกวานเทียนโย่วกำมือประสานคารวะไปทางแท่นสูง แล้วจึงค่อยๆ ลอยลงมา อมยิ้มพยักหน้าให้กับลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้าน

ดวงตาของเขาอบอุ่น หลังจากพยักหน้าให้กับทุกคนแล้วก็ได้รับการคารวะจากคนนับไม่ถ้วนทันที ยังมีลูกศิษย์หญิงจำนวนไม่น้อยที่พอหันมามองซ่างกวานเทียนโย่วก็เผยแววเขินอาย

“ดี ดี ดี!” บนแท่นสูง นัยน์ตาเจิ้งหย่วนตงเจ้าสำนักเผยแววประหลาดใจ หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“อยู่ในช่วงรวมลมปราณขั้นแปดก็รู้ซึ้งถึงขั้นแปลงไอกระบี่เป็นดอกบัวแล้ว ซ่างกวานเทียนโย่วผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์กลับชาติมาเกิด หรือว่ามีกายเป็นกระบี่วิเศษ ก่อนถึงขั้นสร้างฐานรากก็ทำได้ถึงขั้นนี้ หาได้ยากยิ่ง!”

“ชายฝั่งทิศใต้ของพวกเจ้าครั้งนี้ทำให้ข้าอึ้งตะลึงไปเลย!” เจิ้งหย่วนตงหันไปมองผู้นำของเขาชิงเฟิง หัวเราะฮ่าๆ

พวกหลี่ชิงโหวสามคนเผยรอยยิ้ม ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน นัยว่าต้องการลบล้างความอัปยศจากชายฝั่งทิศเหนือให้ได้

ขณะที่เจิ้งหย่วนตงกำลังจะเอ่ยปากพูดต่อ พลันก็มองเห็นว่าบนลานกว้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังยืนอยู่ด้านข้างรูปปั้นรูปหนึ่ง เอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง วางท่าเป็นผู้อาวุโส

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่…ดูวางท่าเข้าสิ” เจิ้งหย่วนตงหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!