Skip to content

A Will Eternal 843

บทที่ 843 ผมโลหิตของเทียนจุน

ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่อึ้งค้าง แม้แต่ป๋ายฮ่าวที่ถูกคนเฝ้าสุสานคว้าตัวออกมาก็ยังตะลึงงันไปเช่นกัน เขาที่อยู่ในสถูปวิญญาณอ้าปากกว้างตาค้างมองคนเฝ้าสุสาน ในสมองมีแต่เสียงดังอึงอล

นั่นเพราะเหตุการณ์กลับตาลปัตรเร็วเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กันดุเดือด วิญญาณป๋ายฮ่าวไม่กล้าโผล่ออกมา จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำอเวจี

เขาที่อยู่ในสถูปวิญญาณถึงได้จับตามองโลกภายนอกอย่างระมัดระวัง แล้วก็ได้ยินคำพูดของคนเฝ้าสุสานเมื่อครู่นี้ด้วย นั่นจึงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นแทนอาจารย์ที่จะได้กลายมาเป็นจักพรรดิหมิง

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่านาทีถัดมา ตนจะถูกคนเฝ้าสุสานคว้าตัวไว้ ทั้งยังบอกว่า…คนที่จะได้เป็นผู้สืบทอดกลับกลายมาเป็นตนแทน

“ผู้อาวุโส ท่าน…ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ข้า…” ป๋ายฮ่าวใจหายวาบ กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สบอารมณ์หรือไม่ก็เข้าใจผิดจึงรีบเอ่ยอย่างร้อนรน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกันเบิกตากว้าง ไม่มีอะไรให้เขาไม่พอใจ และเวลานี้ในสมองของเขายังมีความคิดมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด

“ลูกศิษย์ของข้าจะได้กลายมาเป็นจักรพรรดิหมิงคนต่อไป?”

“สวรรค์ นี่คือเรื่องจริงหรือนี่…”

“หากลูกศิษย์ของข้าคือจักรพรรดิหมิงคนต่อไป ตลอดทั้งแดนทุรกันดารแห่งนี้ ใครยังจะกล้ามาแหยมกับข้าอีก!!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแต่ความคิดเหล่านี้ลอยขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม ยิ่งคิดถึงภาพที่ว่าต่อไปหากใครกล้ามาแหยมกับตน ตนแค่ยกมือทีเดียว ลูกศิษย์ของตนก็สามารถกำราบคนผู้นั้นได้อย่างอยู่หมัด เขาก็ยิ่งคึกคักลำพองใจ รู้สึกเพียงว่านาทีนี้ใต้หล้าตนไร้ศัตรูอีกต่อไปแล้ว…

“ราชาเก้านรกภูมิ ต้าเทียนซือ เฉินฮ่าวซง ใครจะกล้ามามีเรื่องกับข้าอีก!!” ท่ามกลางความตื่นเต้นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนตบขาตัวเองฉาดใหญ่อย่างลืมตัว ทั้งยังเงยหน้าหัวเราะร่าสะใจ อารมณ์ของเขาพุ่งสูงถึงขีดสุด

“ประเสริฐยิ่ง ท่านปู่ ท่านเลือกคนได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลูกศิษย์ของข้าคนนี้เหมาะสมจะเป็นจักรพรรดิหมิงตั้งแต่เกิดแล้ว ตลอดทั้งแดนทุรกันดารไม่มีใครที่เหมาะสมยิ่งไปกว่าเขา” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความลิงโลดก็เห็นว่าป๋ายฮ่าวทำท่าร้อนใจอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงโบกมือตัดบทอย่างเฉียบขาด วางมาดเป็นอาจารย์ทันที

“เรื่องนี้ ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา ข้าเป็นคนตอบรับแทนป๋ายฮ่าว ตกลงตามนี้แหละ!”

สายตาของคนเฝ้าสุสานฉายแววลึกล้ำ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะหันไปมองป๋ายฮ่าว ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดเดาความคิดของเขาได้

อันที่จริง…แรกเริ่มเดิมที คนที่เขาเลือกให้เป็นผู้สืบทอดของตัวเองก็ไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้ว ต่อให้เป็นป๋ายฮ่าวเองก็ยังเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกของเขาเท่านั้น!

อย่างโจวอีซิง อย่างวิญญาณของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจตระกูลเฉินในปีนั้น และยังมีคนอีกมากมาย…ก็ล้วนเป็นตัวเลือกของคนเฝ้าสุสานทั้งสิ้น หรือแม้แต่พวกที่มีชื่ออยู่บนกระดานจักรพรรดิหมิงก็นับเป็นตัวเลือกของเขาทั้งหมด เพียงแต่ว่า…จะเลือกผู้สืบทอดที่แท้จริงมาจากคนมากมายเหล่านั้นได้อย่างไร ผู้ตัดสินใจไม่ใช่คนเฝ้าสุสาน แต่เป็น…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

เพราะว่าในสายตาของคนเฝ้าสุสาน การดำรงอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนสำคัญยิ่งกว่าผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิง ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นจักรพรรดิหมิงแน่นอน เพราะว่าในความคาดหวังของคนเฝ้าสุสาน ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องมีภารหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้น

ดังนั้นปีนั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวในป่าของแดนทุรกันดารเป็นครั้งแรกถึงได้พบเจอกับป๋ายฮ่าวอย่างประจวบเหมาะพอดี ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปจากป่าแห่งนั้น เงาร่างของคนเฝ้าสุสานก็เคยเผยกายมาก่อน เวลานั้นความลึกล้ำในดวงตาของเขาไม่ผิดเพี้ยนไปจากตอนนี้แม้แต่น้อย

ดังนั้นตอนที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เจอวิญญาณของป๋ายฮ่าว…

เป้าหมายของคนเฝ้าสุสานก็คือต้องการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกับป๋ายฮ่าวมีโอกาสได้ทำความรู้จักสนิทสนมกัน และเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังก็ล้วนเกิดจากการผลักดันอย่างลับๆ ของคนเฝ้าสุสานทั้งสิ้น ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยสงสัยมาก่อน แต่เพราะเบาะแสมีน้อยเกินไป หาคำตอบไม่ได้ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก

เพียงแต่คนเฝ้าสุสานเองก็ยังคาดไม่ถึงว่าเมื่อผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกัน ความรักความผูกพันธ์ของอาจารย์กับศิษย์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าวจะลึกซึ้งมากถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรซะสิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็มีเพียงแค่มอบโอกาสหนึ่งให้กับป๋ายฮ่าวเท่านั้น หากป๋ายฮ่าวได้รับการยอมรับจากป๋ายเสี่ยวฉุน ถ้าเช่นนั้น…ป๋ายฮ่าวก็สามารถเลื่อนขั้นจากตัวเลือก กลายมาเป็นผู้สืบทอดตัวจริง!

และหากป๋ายฮ่าวทำไม่ได้ในข้อนี้ ถ้าเช่นนั้นคนเฝ้าสุสานก็จะเปลี่ยนคนอื่นมาแทนที่อย่างไม่มีลังเล เขาจะเอาตัวเลือกคนอื่นมา และผลักดันให้คนเหล่านั้นมีโอกาสได้สนิทสนมกับป๋ายเสี่ยวฉุน จนกว่าจะเจอคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยอมรับ และคนคนนั้นก็จะกลายมาเป็นผู้สืบทอดของตน

เพราะตามความคิดของเขา การยอมรับของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงจะเป็นเงื่อนไขเดียวสำหรับคนที่จะได้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิหมิง!

เพียงแต่ว่าเรื่องเหล่านี้เขาไม่เคยบอกให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง ยามนี้ความลึกล้ำในดวงตายังคงอยู่ดุจเดิม หลังจากที่กวาดตามองร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกับป๋ายฮ่าวแล้ว

สุดท้ายสายตาของคนเฝ้าสุสานก็จ้องนิ่งอยู่ที่ป๋ายฮ่าว ก่อนจะเปล่งเสียงแก่ชราที่ราวกับผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานออกมาเนิบช้า

“ป๋ายฮ่าว เจ้ายินดีเป็นผู้สืบทอดของข้าผู้อาวุโสหรือไม่?”

“อาจารย์…” ป๋ายฮ่าวรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เรื่องราวที่ดำเนินมาถึงจุดนี้ทำให้เขารับมือไม่ทัน เวลานี้จึงรีบหันไปมองอาจารย์ของตน

“รีบรับปากสิ ลูกศิษย์คนดี นี่คือโชควาสนาของเจ้านะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวว่าลูกศิษย์ของตัวเองจะสติเลอะเลือนในช่วงเวลาสำคัญจึงรีบพูด ในสายตาของเขานี่คือเรื่องดีอย่างใหญ่หลวงสำหรับป๋ายฮ่าว

ป๋ายฮ่าวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองอาจารย์ของตัวเองด้วยสายตาซับซ้อน อันที่จริงแล้ว ในสายตาของเขา ผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิงอะไรนั่นไม่สำคัญสำหรับเขาแม้แต่น้อย ต่อให้จะสามารถเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว แต่นั่นก็ยังเทียบกับความสุขยามที่ได้อยู่เคียงข้างอาจารย์ของตัวเองไม่ได้

สำหรับเขาแล้ว อาจารย์คือญาติเพียงคนเดียวของเขา แล้วก็เป็นเพียงคนเดียวที่เขายอมรับ ระดับความสำคัญของอีกฝ่ายเหนือเกินกว่าทุกสิ่งอย่าง

แต่เขาเองก็เข้าใจดีว่าอาจารย์ล่วงเกินคนในแดนทุรกันดารไว้มากมายยิ่งนัก และหากตนได้กลายเป็นจักรพรรดิหมิงรุ่นต่อไป คนทั้งแดนทุรกันดารก็จะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องอาจารย์ของตนอีกแล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายฮ่าวก็กัดฟันกรอด ครั้นจึงหันไปมองคนเฝ้าสุสานแล้วเอ่ยขึ้นกะทันหัน

“ผู้อาวุโส ข้าน้อยเป็นผู้สืบทอดให้กับท่านได้ แต่ท่าน…ไม่ใช่อาจารย์ของข้า ข้าจะมีอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น!!” น้ำเสียงของป๋ายฮ่าวเด็ดเดี่ยว สายตาก็เฉียบขาด เขาเลือกยอมเป็นจักรพรรดิหมิงคนต่อไปก็เพื่อปกป้องอาจารย์ของตน แต่เขาจะไม่ยอมเปลี่ยนอาจารย์เด็ดขาด!

ประโยคนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นสะท้าน เขามองลูกศิษย์ของตัวเองด้วยสายตาที่อ่อนโยนยิ่งกว่าเก่า เขาเข้าใจนิสัยของลูกศิษย์คนนี้เป็นอย่างดี แล้วก็รับรู้ได้ถึงความรักอย่างอาจารย์และศิษย์ที่ป๋ายฮ่าวมีต่อตน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้หัวใจเขาอบอุ่น

คนเฝ้าสุสานสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าในใจกลับคลี่ยิ้ม อันที่จริงต่อให้เขาจะรู้จักป๋ายฮ่าวดีแค่ไหน แต่ก็ยังคงไม่วางใจอย่างเต็มที่ เพราะตำแหน่งจักรพรรดิหมิงคนต่อไปนั้นสำคัญอย่างมาก ดังนั้นต่อให้มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ยังหยั่งเชิงป๋ายฮ่าวอยู่ตลอดเวลา

ประโยคของเขาเมื่อครู่นี้ก็คือการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง และคำตอบรวมไปถึงสีหน้าที่ไม่มีความเสแสร้งของป๋ายฮ่าวก็ทำให้คนเฝ้าสุสานพอใจในตัวป๋ายฮ่าวยิ่งกว่าเดิม

“ได้!” คนเฝ้าสุสานพยักหน้ารับ ป๋ายฮ่าวผ่อนลมหายใจ ในใจลึกๆ ยังมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่คนเฝ้าสุสานกลับไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา อีกฝ่ายสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง ก่อนที่แสงสีแดงเส้นหนึ่งจะพุ่งจากชายแขนเสื้อของเขาเข้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน หลังจากรับไว้โดยอัตโนมัติ ก็เห็นว่าในมือของเขามี…เส้นผมสีเลือดเส้นหนึ่ง!!

พอเส้นผมนี้ปรากฏออกมา ฟ้าดินก็พลันสนั่นหวั่นไหวคล้ายมีเสียงคำรามที่ไม่มีใครได้ยินดังมาจากความว่างเปล่า ชักนำให้นภากาศเปลี่ยนสี พร้อมกับน้ำวนลูกใหญ่ยักษ์ที่พัดหมุนวนอยู่รอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุน!

ขณะที่เสียงตูมตามดังกึกก้อง

เส้นผมนี้ก็ทำท่าจะดิ้นรนให้หลุดจากมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบคว้าไว้ตามสัญชาตญาณ เป็นเหตุให้พลังชีวิตขุมนั้นยิ่งแผ่ไพศาลและแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเหมือนต้องการจะสลัดให้พ้นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วลอยเข้าไปในความว่างเปล่า

ดวงตาของคนเฝ้าสุสานเป็นประกายวาบ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที เสียงคำรามที่แฝงไว้ด้วยความไม่ยอมแพ้ก็พลันหายวับไป นภากาศก็กลับคืนสู่ความสงบ ตราผนึกขุมหนึ่งที่มองไม่เห็นนาบประทับลงไปบนเส้นผมเส้นนั้น ทำให้ผมเส้นนั้นที่ต่อให้จะมีพลังแห่งชีวิตมากมหาศาลแค่ไหนก็ยังมิอาจหนีได้พ้น ทำได้เพียงแต่ยินยอมให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจับไว้กลางฝ่ามือแต่โดยดี!

เมื่อเขาจับเอาไว้ พลังชีวิตเข้มข้นที่ผมเส้นนั้นแผ่ออกมาก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ลมหายใจของเขาหอบรัว จำได้ในทันทีว่าผมเส้นนี้…ก็คือผมโลหิตที่ตกระหน้าผากของเทียนจุนก่อนหน้านี้!!

“พลังชีวิตของผมเส้นนี้สามารถทำให้กระดูกคงกระพันของเจ้า…ทะยานไปสู่จุดสูงสุด นับเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งที่ข้าผู้อาวุโสมอบให้เจ้า!” คนเฝ้าสุสานเอ่ยเนิบช้า ก่อนจะพาป๋ายฮ่าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นแม่น้ำอเวจีที่กว้างใหญ่ไหลซัดครืนครั่นก็ปรากฏขึ้นมา คนเฝ้าสุสานก้าวเข้าไปในแม่น้ำอเวจี ร่างของเขาไหลไปตามกระแสน้ำ พริบตาเดียวก็จากไปไกลและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

จนกระทั่งคนเฝ้าสุสานและป๋ายฮ่าวจากไปแล้ว แม่น้ำอเวจีจึงหายไป เผยให้เห็นเป็นเพียงร่องแม่น้ำที่แห้งขอดของพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี และทันใดนั้นรอบด้านก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง…

เหลือเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวที่ในมือถือเส้นผมโลหิต ยืนเหม่อมองทิศทางที่ลูกศิษย์ของตนจากไปไกลอยู่ตรงริมชายฝั่ง

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ได้สนใจกับการกลายเป็นจักรพรรดิหมิง แต่ก็หวังว่าลูกศิษย์ของตนจะได้เป็น ทว่าตอนนี้จู่ๆ ลูกศิษย์ต้องมาจากตนไป ในใจของเขาก็อดที่จะอาลัยอาวรณ์และหดหู่ไม่ได้

“ลูกนกอินทรีเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องมีวันที่บินไปจากอ้อมอกของพ่อแม่ บินไปยังท้องฟ้าที่กว้างไกลกว่าเดิม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หลังจากปลอบใจตัวเองอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าตอนนี้สามารถพูดได้ว่าตนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงแล้ว

“แดนทุรกันดารในตอนนี้ ข้าก็น่าจะเป็นบุคคลที่อยู่สูงส่งเกินผู้ใดแล้วกระมัง…

คู่บำเพ็ญตนเป็นคนฟ้า พ่อตาเป็นครึ่งเทพ ลูกศิษย์เป็นจักรพรรดิหมิง!

เวลาต้าเทียนซือเห็นข้าก็ยังต้องทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจก็เต้นกระหน่ำ อดตื่นเต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!