บทที่ 844 กระดูกคงกระพันระเบิดพลัง
ท่ามกลางความรู้สึกปลื้มปิติยินดีแทนลูกศิษย์และความตื่นเต้นในตัวตนของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้ามองเส้นผมที่อยู่กลางฝ่ามือ หัวใจก็ให้เต้นตึกตักรัวเร็วอยู่หลายที
“เส้นผมของเทียนจุนเชียวนา…ข้าจำได้ว่าผมเส้นนี้เป็นผมสีแดงเส้นเดียวท่ามกลางผมทั้งหมดของเขา…สามารถจินตนาการได้ว่า นี่ต้องเป็นของดีล้ำค่าแน่นอน แล้วก็ต้องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทียนจุนด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ให้ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขารีบหันไปมองรอบด้านโดยอัตโนมัติ
เดิมทีพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีมีนักพรตเฝ้าประจำการ แต่ว่าวันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน เห็นได้ชัดว่าหากนี่ไม่ใช่ฝีมือของคนเฝ้าสุสานก็ต้องเป็นเพราะการต่อสู้ที่ดุเดือดก่อนหน้านี้น่าตกใจเกินไป ขนาดกำแพงเมืองยังพังถล่มลงมา นั่นจึงเป็นเหตุให้แดนทุรกันดารเริ่มทำการจัดวางและโยกย้ายกองกำลัง หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนแน่ใจแล้วว่าข้างกายไม่มีใคร คิดไม่ตกอยู่ในใจพักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็กัดฟันกรอด
“แม่งเอ๊ย ข้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก นี่คือของที่ท่านปู่คนเฝ้าสุสานมอบให้ข้า นับแต่นี้ไปมันก็เป็นของข้าแล้ว”
“อีกอย่าง ตามคำบอกของท่านปู่คนเฝ้าสุสาน ดูดซับผมเส้นนี้ กระดูกคงกระพันของข้าจะสามารถไต่ไปถึงจุดสูงสุด โชควาสนาเช่นนี้…ต่อให้ผมเส้นนี้เป็นของเง็กเซียนฮ่องเต้ ข้าก็ต้องดูดซับพลังของมันมาให้ได้!” หลังจากผ่านประสบการณ์การขัดเกลาในแดนทุรกันดารมาแล้ว ความกล้าหาญชาญชัยของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดูจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้เขาจึงกัดฟัน รีบไปหาพื้นที่เหมาะๆ แห่งหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ก่อนจะขุดเป็นถ้ำแล้วทำการปิดด่านฝึกตนทันที!
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝึกตน ในความว่างเปล่าของแดนทุรกันดารมีห้วงมิติแห่งหนึ่งที่มีแม่น้ำใหญ่สีดำหนึ่งสายไหลผ่าน นั่นก็คือแม่น้ำอเวจี
ฟ้าดินรอบด้านมืดสลัวเหมือนไม่มีแสงสว่างมากเท่าไหร่นัก เพียงแค่มองเห็นได้รำไรว่าแม่น้ำอเวจีกลิ้งซัดหลุนๆ อยู่ในความว่างเปล่า ปลายทางของแม่น้ำอเวจีแห่งนี้คือพระราชวังขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง
พระราชวังหลังนั้นเป็นสีดำสนิทไปทั้งหลัง มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางว่างเปล่า รอบด้านโอบล้อมด้วยแม่น้ำอเวจี บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอึมครึมทะมึนทึบ ขณะเดียวกันก็มีพลังไร้เทียมทานขุมหนึ่งที่วนเวียนอยู่โดยรอบพร้อมๆ กับที่มีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกผลักจากในแม่น้ำอเวจีเข้ามายังที่แห่งนี้อยู่ตลอดเวลา วิญญาณพวกนั้นจะล่องลอยโอบล้อมแม่น้ำอเวจีก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นถึงได้สลายหายไปท่ามกลางความว่างเปล่าราวกับว่าถูกส่งให้ไปเกิดใหม่
นี่ก็คือ พระราชวังจักรพรรดิหมิง!
ควบคุมวัฏจักรสังสาร เป็นนายแห่งความเป็นความตาย!
ในตำหนักใหญ่กลางพระราชวังจักรพรรดิหมิงยังคงมืดทะมึนเช่นเดียวกัน สองฝั่งด้านข้างมีรูปปั้นตั้งเรียงรายอยู่เป็นแถว รูปปั้นพวกนี้หน้าตาดุร้ายน่ากลัว มองดูเหมือนยมบาลที่มาจากนรก และตรงตำแหน่งสูดสุดได้จัดวางเก้าอี้กระดูกดำขนาดใหญ่ยักษ์ไว้ตัวหนึ่ง!
เวลานี้เงาร่างของคนเฝ้าสุสานเดินออกมาก้าวหนึ่ง พอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น บนร่างของเขาก็แผ่ปราณแห่งความเผด็จการปานประหนึ่งมหาราชาผู้สูงศักดิ์ ดุจดั่งองค์ทวยเทพ เหนือศีรษะเขามีมงกุฎปรากฏขึ้น ชุดคลุมสีดำบนร่างก็มีเงาร่างของมังกรทมิฬลอยขึ้นมาเช่นกัน!
เขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นร่างของป๋ายฮ่าวก็เผยกายอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิหมิง
เพิ่งจะปรากฏตัว ป๋ายฮ่าวยังปรับตัวไม่ทันเล็กน้อย พอหันไปมองรอบๆ เขาก็สะท้านสะเทือนไปกับปราณอึมครึมและกลิ่นอายแห่งความตายที่เข้มข้นของที่แห่งนี้ทันที พอหันไปเห็นคนเฝ้าสุสานที่นั่งสีหน้าไร้อารมณ์อยู่บนเก้าอี้ใหญ่ ป๋ายฮ่าวก็รีบก้มหน้า กุมมือคารวะ
“ป๋ายฮ่าว!” ดวงตาของคนเฝ้าสุสานโชนแสงคมกริบ แสงนี้น่าครั่นคร้ามเหมือนแฝงเร้นไว้ด้วยพลานุภาพสยบจากฟ้าดิน ทำให้ฟ้าร้องครืนๆ แล้วผ่าเปรี้ยงลงมาจนพระราชวังหมิงสั่นคลอน แม่น้ำอเวจีที่อยู่ข้างนอกก็ยิ่งไหลเชี่ยวกรากรุนแรง
คนเฝ้าสุสานในเวลานี้แตกต่างไปจากเวลาที่อยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าเขาในเวลานี้ต่างหากถึงจะเป็นจักรพรรดิหมิงผู้มากบารมีอย่างแท้จริง!
ป๋ายฮ่าวเองก็มองออกถึงจุดนี้ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึมในบัดดล
“ป๋ายฮ่าว เจ้าจงฟังให้ดี!” คนเฝ้าสุสานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงเร้นไว้ด้วยพลังประหลาดขุมหนึ่งซึ่งพลังนั้นได้ลอดทะลวงร่างวิญญาณของป๋ายฮ่าวและตรงดิ่งมายังจุดลึกในจิตวิญญาณของเขา ตีแผ่ทุกคลื่นอารมณ์ ทุกความคิดของป๋ายฮ่าวให้เห็นอย่างเด่นชัด และทำให้คนมองสามารถวิเคราะห์ได้ว่าคำตอบของเขาเป็นจริงหรือเท็จ
“ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาจารย์ของเจ้า และหลังจากนี้ไปเขาก็ยังคงเป็นอาจารย์ของเจ้า!” ทำทุกอย่างนี้เสร็จ เสียงของคนเฝ้าสุสานที่เต็มไปด้วยอำนาจสยบขวัญก็ดังก้องขึ้นมาในตำหนักใหญ่ของพระราชวังหมิงอีกครั้ง
“แม้ว่าข้าผู้เป็นจักรพรรดิจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้า ทำให้เจ้ามาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา ทว่าการที่เขารับเจ้าเป็นศิษย์ไม่ได้อยู่ในแผนการของข้าผู้เป็นจักรพรรดิ แต่เพราะชะตาชีวิตของพวกเจ้าเป็นเช่นนี้!”
“และที่เจ้าได้กลายมาเป็นผู้สืบทอดของข้าผู้อาวุโส ก็หาใช่ข้าผู้อาวุโสยอมรับในตัวเจ้าไม่ แต่เป็นเพราะ…การยอมรับของป๋ายเสี่ยวฉุนอาจารย์ของเจ้า!”
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่า หน้าที่ของเจ้าไม่ใช่เฝ้าพิทักษ์แม่น้ำอเวจี ไม่ใช่ปกปักษ์วัฏจักรสังสาร แต่เป็น…ช่วยอาจารย์ของเจ้าดูแลแม่น้ำอเวจี คุ้มครองอาจารย์ของเจ้า ชีวิตนี้ห้ามทรยศเขา หาไม่แล้ว แม่น้ำอเวจีจะแว้งกลับมาโจมตีให้เจ้าตายดับทั้งกายสลายทั้งจิตวิญญาณ!” เสียงของคนเฝ้าสุสานดั่งอสนีบาตที่ยิ่งพูดก็ยิ่งดัง มาถึงท้ายที่สุดก็ระเบิดสนั่นหวั่นไหวเขย่าคลอนฟ้าดินจนแม่น้ำอเวจีเหมือนจะพังทลาย ด้านนอกก็ยิ่งมีเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง
เงาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ตัวสั่นสะท้าน พากันก้มลงกราบกรานมาทางพระราชวังหมิง
ส่วนร่างวิญญาณของป๋ายฮ่าวก็สั่นเทิ้ม แต่เขากลับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มหนักอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด
“ในชีวิตของป๋ายฮ่าวจะไม่มีคำว่าทรยศเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เขาพูดอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งยังเป็นความซื่อสัตย์ที่ออกมาจากใจจริง ในโลกของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาจารย์ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา ทั้งยังเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา!
และคนเฝ้าสุสานก็สัมผัสได้ว่าคำพูดของเขาออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สอดคล้องกับความคิดของเขาทั้งหมด ไร้ซึ่งการเสแสร้ง แต่เป็นความสัตย์จริงที่พูดอย่างตรงไปตรงมา!
ดวงตาของคนเฝ้าสุสานค่อยๆ เผยแววชื่นชม
นี่คือการทดสอบครั้งสุดท้ายที่เขามีต่อป๋ายฮ่าว นั่นเพราะจักรพรรดิหมิงรุ่นต่อไปสำคัญยิ่งนัก เขาจำเป็นต้องแน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น และวิญญาณของป๋ายฮ่าวก็ทำให้เขาเข้าใจว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกคนไม่ผิด!
“อีกหนึ่งเดือนให้หลัง เจ้าจะกลายเป็น…จักรพรรดิหมิง!” คนเฝ้าสุสานเอ่ยเนิบช้า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้มายังป๋ายฮ่าว ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม การสืบทอดของเขา วิชาอภินิหารที่เป็นของเขาล้วนไหลบ่าเข้าหาป๋ายฮ่าวทั้งหมด!
และบัดนี้ทั้งในและนอกพระราชวังหมิงก็มีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา อักขระพวกนี้เปล่งแสงวิบวับอย่างรวดเร็ว พวกมันล้อมวนกันลายมาเป็นน้ำวนอักขระคล้ายพายุบ้าคลั่งที่โคจรดังครืนครั่น แม่น้ำอเวจีก็ยิ่งซัดถาโถม การสืบทอด…เริ่มขึ้นแล้ว!
ขณะเดียวกันกับที่จักรพรรดิหมิงคนเก่าถ่ายทอดการสืบทอดให้กับจักรพรรดิหมิงคนใหม่ แดนทุรกันดาร ในถ้ำแห่งหนึ่งของพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มดำเนินการดูดซับพลังจากเส้นผมโลหิตของเทียนจุนเช่นกัน
บทมิวางวายแบ่งออกเป็น หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เลือด!
นับตั้งแต่แรกเริ่มที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกตน เขาก็ฝึกบทมิวางวายของวิชาอมตะมิวางวายมาโดยตลอด ตอนนี้ฝึกมาถึงขั้นกระดูกกำลังอันเป็นขั้นที่สี่ของบทมิวางวาย หลังจากกระดูกกำลัง ยังมีกระดูกฟ้า และท้ายสุดคือกระดูกคงกระพัน!
ซึ่งกุญแจสำคัญในการฝึกบทมิวางวายก็คือพลังชีวิต ขอแค่มีพลังชีวิตที่เข้มข้นก็จะสามารถทำให้ผู้ฝึกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว!
ก่อนหน้านี้การฝึกตนของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนอาศัยร่มราตรีนิรันดร์มาดูดเอาพลังชีวิตของเหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในแดนทุรกันดาร ทำให้ขั้นที่สี่ของบทมิวางวายเขาสามารถเลื่อนจากกระดูกหลอมมาสู่กระดูกกำลังได้ ทว่าตอนนี้…เมื่อเส้นผมโลหิตคุ้มกันชีวิตที่แฝงเร้นไว้ด้วยพลังชีวิตซึ่งเทียนจุนชุบหลอมอย่างยากลำบากมานานหลายปีถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดซับไป ก็ทำให้ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงที่ดังเกินฟ้าผ่าดังกัมปนาทออกมา
ภายใต้เสียงกัมปนาทนี้ ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ลมหายใจหอบหนัก กระดูกทั่วร่างของเขาส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ติดต่อกันเป็นทอดๆ ประหนึ่งได้เปลี่ยนร่างมาเกิดใหม่ ทำให้ขั้นที่สี่บทมิวางวายของเขาระเบิดกำลังอย่างรุนแรง
ฝ่าทะลุจากขอบเขตกระดูกกำลัง ทะยานไปถึงขั้นกระดูกฟ้าทันที!
และบัดนี้ร่างของเขาก็คล้ายกลายมาเป็นหลุมดำหลุมหนึ่งที่ดูดซับเอาพลังชีวิตมาจากผมโลหิตกลางฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง พลังชีวิตนี้ถูกดึงเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจำนวนมาก เมื่อบทมิวางวายโคจร พลังทั้งหมดก็ไหลบ่าเข้าไปตามกระดูกทั่วร่างเขาอย่างพร้อมเพรียง ครั้นจึงทำการหล่อหลอมกระดูกทั้งหมดให้เกิดการแปรสภาพ!
ตูมๆๆๆ!
เสียงนี้ดังเกินฟ้าคำรณ แม้คนนอกจะไม่ได้ยิน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับได้ยินอย่างชัดเจน แล้วก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าเมื่อดูดดึงพลังชีวิตนี้ไป ขอบเขตกระดูกฟ้าของตนก็ได้ไต่ทะยานขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
กระดูกฟ้าขั้นที่สาม ขั้นที่ห้า ขั้นที่หก…จนกระทั่งถึงขั้นที่เก้า!!
พลังระเบิดออกอีกครั้ง!
ฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกครั้ง!
จากกระดูกฟ้าเลื่อนมาสู่กระดูกคงกระพันขั้นที่หนึ่ง และบัดนี้ผมโลหิตของเทียนจุนก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดพลังไปเพียงส่วนน้อยเท่านั้น พลังส่วนมากที่เหลืออยู่ล้วนนำไปใช้ผลักดันการไต่ทะยานของกระดูกคงกระพันอย่างเต็มกำลัง!
เพราะอย่างไรซะขอบเขตกระดูกคงกระพันอันเป็นขั้นสุดท้ายนี้ก็จำเป็นต้องใช้พลังชีวิตมากเกินกว่าสามขั้นแรกรวมกันหลายเท่า และหากถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่…นั่นก็หมายความว่าเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนจะไต่ไปถึงระดับที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นกัน!
เรือนกายนั้นจะแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับพลังของคนฟ้า หนัง เนื้อ กระดูกตลอดร่างล้วน…แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้าชั้นดี ยากที่จะทำลายให้แหลกสลายได้!!
สามารถพูดได้ว่ารอจนป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกเลือดคงกระพันสำเร็จเมื่อไหร่ บวกกับพลังการฟื้นคืนที่น่าตะลึงของเลือดคงกระพันด้วยแล้ว
ถ้าเช่นนั้นเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะแข็งแกร่งจนอาจไม่ตายดับได้อย่างแท้จริง และนั่นก็คือ…ขอบเขตที่บรรพบุรุษโลหิตซึ่งฝังร่างอยู่นอกสำนักสยบธารบรรลุไปถึง!
ซึ่งนั่นหมายความว่า…เขาได้ฝึกบทมิวางวายสำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว!
และตอนนี้เส้นผมโลหิตของเทียนจุนก็ทำให้การพัฒนาของป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวกระโดดไปอีกขั้นใหญ่ ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง กระดูกคงกระพันขั้นที่หนึ่งของเขาได้พุ่งสู่ขั้นที่สี่ และยังไม่หยุดยั้ง!!
ขั้นที่ห้า ขั้นที่หก ขั้นที่เจ็ด…