บทที่ 85 เขาได้…ที่หนึ่ง?
ขณะที่โจวซินฉีกำลังตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้นเอง เบื้องหลังนางมีเสียงลมดังลอยมาอีกครั้ง ผู้เฒ่าโจวก้าวยาวๆ เดินมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตอนที่เดินผ่านร่างของโจวซินฉียังมีแก่ใจพยักหน้าให้นางด้วย
ขณะที่ปากเปล่งเสียงดุดันโหดร้าย แต่สีหน้ากลับอมยิ้ม
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าเปลี่ยนความคิดอีกครั้งแล้ว หากจับเจ้าได้เมื่อไหร่จะปล่อยให้เจ้าอดอาหารก่อนหนึ่งเดือน แล้วค่อยขังเจ้าไว้กับนกฟ่งเหนี่ยวหนึ่งฝูง แล้วก็สัตว์ร้ายอีกฝูงใหญ่!”
โจวซินฉีอึ้งไปเล็กน้อย เวลาเดียวกันนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้าก็ดังลอยมา
“ท่านอาหลี่ช่วยด้วย ศิษย์พี่เจ้าสำนักที่รักช่วยด้วย อาจารย์ช่วยด้วย ข้าไม่อยากทนหิว ไม่อยากถูกขังอยู่กับนกฟ่งเหนี่ยวและพวกสัตว์ร้าย ฮือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น เวลานี้ความกลัวของเขาพุ่งทะยานถึงขีดสุด ในสมองเต็มไปด้วยภาพที่จินตนาการตามคำพูดของผู้เฒ่าโจว ยิ่งคิดก็ยิ่งสั่นสะท้าน ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม เสียงตูมดังหนึ่งทีก็พุ่งพรวดออกไป พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นแม้แต่เงา
เบื้องหน้าของเขา หลู่เทียนเหล่ยแปลงร่างเป็นสายฟ้าหนึ่งเส้นห้อทะยานรุดหน้า ตลอดทางมานี้ตอนเริ่มต้นเขาผ่านมาได้สบายมาก แต่ค่อยๆ ลำบากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ที่เต็มไปด้วยมีดวายุ มีดวายุเหล่านี้แหลมคมอย่างยิ่ง แค่ความเร็วเขาเพิ่มขึ้นมามันก็จะกลายเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดมีดวายุเหล่านั้นให้เข้ามาหาทันที
เขาเห็นกับตาตัวเองว่าหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่ตัวเองโยนออกไป เพราะความเร็วมีมากเกินไป พริบตาเดียวจึงถูกมีดวายุเหล่านั้นพุ่งเข้าทิ่มแทงจนแตกกระจาย ทำเอาเขาที่มองดูอยู่ถึงกับหน้าถอดสี ยามนี้จึงจำต้องลดความเร็วลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใช้เวลาเนิ่นนานถึงได้หาจุดสมดุลเจอ รุดหน้าไปด้วยความเร็วคงที่
เบื้องหน้าของเขามองไม่เห็นเงาร่างของซ่างกวานเทียนโย่วแล้ว ด้วยความสามารถอันเลิศล้ำของซ่างกวานเทียนโย่ว ตอนที่ผ่านเขตของหลู่เทียนเหล่ยเขตนี้ เขาได้แปลงเป็นความว่างเปล่าลอดทะลุผ่านไป ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากมีดวายุเล่มใดๆ ทำให้หลู่เทียนเหล่ยที่เดิมทีความสามารถไม่ห่างจากซ่างกวานเทียนโย่วเท่าไหร่นักเคียดแค้นอยู่ในใจ
“ก็แค่มีวิชาความว่างเปล่าเท่านั้นมิใช่รึ เก่งกาจอะไรนักหนากัน รอให้ข้าผ่านที่นี่ไปได้ก่อนเถอะ อันดับหนึ่ง…ต้องเป็นของข้าแน่!” หลู่เทียนเหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึก เวลานี้โจวซินฉีไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกแล้ว เขาคิดว่าผู้เดียวที่สามารถช่วงชิงอันดับหนึ่งกับเขาได้ก็คือซ่างกวานเทียนโย่ว
แต่ขณะที่เขากลั้นลมหายใจค่อยๆ เดินอยู่ในเขตที่เต็มไปด้วยมีดวายุ เตรียมที่จะพุ่งถลาบินขึ้นฟ้าอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นเบื้องหลังของเขาพลันมีลมกรรโชกบ้าคลั่งคำรามเข้ามา
เสียงลมนี้ดังเกินไป ทำให้มีดวายุเหล่านั้นที่ลอยอยู่รอบด้านพากันสั่นไหว หลู่เทียนเหล่ยที่มองดูอยู่หัวใจบีบรัด ตามมาติดๆ ด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
“ฮ่าๆ ต้องเป็นโจวซินฉีที่ตามมาทันอย่างแน่นอน นังผู้หญิงโง่ ยิ่งนางเข้ามาในนี้เร็วมากเท่าไหร่ มีดวายุก็ยิ่งถูกดึงดูดไปมากเท่านั้น และข้าก็จะคว้าโอกาสนี้ฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว!” หลู่เทียนเหล่ยรีบหันกลับไป มองเห็นว่าด้านหลังมีเงาร่างผอมแห้งร่างหนึ่งพุ่งเข้าเร็วราวอสนีบาต พริบตาเดียวก็ถลาเข้ามาในเขตมีดวายุแห่งนี้ถึงสามส่วน ห่างจากหลู่เทียนเหล่ยไม่ถึงพันจั้ง
เพราะเร็วเกินไป ทำให้มีดวายุรอบด้านคำรามเข้าหาเงาร่างนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน มีดวายุมีมากเกินไป ในรัศมีหลายพันจั้ง มีดวายุจำนวนเหลือจะนับล้วนกรีดผ่าอากาศพุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ประเดี๋ยวเดียวก็รวมตัวกลายเป็นพายุหมุน
“ไม่ใช่โจวซินฉี? ความเร็วนี่มันเร็วเกินไปแล้ว แต่ก็โง่เง่าพอกัน เข้ามารนหาที่ตาย!” หลู่เทียนเหล่ยสำลักลมหายใจก่อน สะท้านสะเทือนไปกับความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่จากนั้นก็แอบดีใจอยู่กับตัวเอง
“บำเพ็ญตบะต้องใช้สมอง!” หลู่เทียนเหล่ยหัวเราะเสียงดัง มองเห็นว่ามีดวายุส่วนใหญ่ถูกดึงดูดไปหมดแล้ว สายฟ้าในร่างของเขาแผ่กระจาย ระเบิดปะทุออกมาอย่างรวดเร็ว ห้อทะยานไปยังทางออกเบื้องหน้า
แต่วินาทีที่เขาเพิ่มความเร็วนั้นเอง เบื้องหลังของเขามีเสียงตูมดังสนั่น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา ร่างของเขาไม่ได้หยุดชะงักเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงตูมดังหนึ่งทีก็พุ่งกระแทกเข้ามา
จำนวนมีดวายุรอบด้านมีเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ละเล่มล้วนกระแทกเข้าไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เมื่อแสงสีเงินบนร่างเขากะพริบวาบหนึ่งที มีดวายุที่มองดูแล้วน่าพรั่นพรึงในสายตาหลู่เทียนเหล่ยเหล่านี้ พอกระแทกโดนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับแตกสลายโดยพลัน
หลังจากที่มีดวายุนับไม่ถ้วนพังทลายลงแล้วก็รวมตัวกันขึ้นมาใหม่อีกครั้งทันที ขณะที่เสียงกัมปนาทดังไปรอบด้าน เสียงฟุ่บดังขึ้นหนึ่งครั้ง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนบินฉิวผ่านกายหลู่เทียนเหล่ยไปตรงๆ
และมีดวายุที่รวมตัวกันขึ้นมาใหม่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นก็คล้ายไม่ยอมแพ้ ไล่ล่าเข้าหาอย่างรวดเร็ว
หลู่เทียนเหล่ยอึ้งไปเล็กน้อย ลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้า รู้สึกแค่ว่าหนังหัวชาหนึบ เสียงตูมตามดังอื้ออึงอยู่ในหัว
“เป็นไปไม่ได้!!” ขณะที่เขาร้องเสียงหลงอย่างตะลึงพรึงเพริดนั้นเอง ก็ได้เห็นกับตาว่ามีดวายุจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้น…ตามเขาไม่ทัน พริบตาเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งถลาออกไปจากเขตมีดวายุนี้ได้
มีดวายุไม่อาจไล่ตามได้ต่อ ขณะที่คำรามโกรธแค้นอยู่ตรงริมเขตก็เหมือนจะสังเกตเห็นหลู่เทียนเหล่ย…
“ไม่…ไม่!!” ใจหลู่เทียนเหล่ยร่วงหล่นดังโครม รีบหยุดความเร็วของตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้ร่างที่กลายเป็นสายฟ้าของเขาจะหยุดลงทันที ก็ยังมิวายทำให้มีดวายุที่เจ็บใจกับป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่านั้นกระโจนเข้าหาในชั่วพริบตา
ไม่นานเสียงร้องคร่ำครวญก็ดังลอยมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งอยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงโหยหวนนี้แว่วๆ เขาแปลกใจมาก แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้หันกลับไปมองแล้ว เสียงคำรามอย่างแค้นเคืองของผู้เฒ่าโจวคล้ายว่าจะตามมาติดๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้ามุ่ย กัดฟันด้วยความเศร้าโศก พุ่งออกไปข้างหน้าเสียงดังตูมตามอีกครั้ง
ในเขตมีดวายุ ยังดีที่ผู้เฒ่าโจวผ่านทางมา จึงช่วยหลู่เทียนเหล่ยที่ถูกมีดวายุเหลือคณานับโอบล้อม อาภรณ์ทั่วร่างขาดรุ่งริ่ง สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุดเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นล่ะก็ เกรงว่าเขาอาจจำต้องสละสิทธิ์ในการประลองครั้งนี้ไปแล้ว
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” หลู่เทียนเหล่ยดวงตาแดงก่ำ เวลานี้เขาเองก็มองออกแล้วว่าเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน คำรามออกมาอย่างเคียดแค้นเจ็บปวด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่ามีคนเกลียดตัวเองเข้ากระดูกอีกคนโดยไม่ตั้งใจแล้ว ยามนี้ความเร็วของเร็วราวกับบิน ห้อทะยานผ่านเขตที่ไร้ผู้คนไปเขตแล้วเขตเล่า จนกระทั่งเวลาประมาณครึ่งก้านธูป เขาเริ่มมองเห็นปลายทางที่อยู่ข้างหน้าได้ไกลๆ แล้ว
“ในที่สุดก็จะได้ออกไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ไม่ได้สังเกตว่าตรงจุดที่อยู่ใกล้กับปลายทาง เวลานี้มีร่างหนึ่งกำลังก้าวเดินไปทีละก้าวอย่างยากลำบาก
ซ่างกวานเทียนโย่วลมหายใจถี่กระชั้น สำหรับเขาแล้วตลอดทางมานี้ล้วนสบายๆ อย่างมาก มีเพียงเขตสุดท้ายที่ใกล้กับปลายทางเขตเดียวที่เขารู้สึกถึงความยากลำบาก
‘ที่นี่มีพลังวิเศษกดทับหนักหนายิ่งนัก!’ นัยน์ตาเขาเปล่งประกายดุกร้าว สถานที่แห่งนี้พลังวิญญาณถูกสกัดกั้นเอาไว้ และยิ่งมีแรงกดทับที่รุนแรงปกคลุม ราวกับว่าบนร่างแบกภูเขาหนึ่งลูกเอาไว้ ที่ยิ่งน่าตกใจก็คือทุกครั้งที่เขาเดินออกไปหนึ่งก้าว คล้ายว่าภูเขาบนร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นมาทีละลูก เห็นๆ อยู่ว่าระยะห่างแค่ร้อยก้าวเท่านั้น แต่ความยากลำบากเช่นนี้ทำให้กายของเขาสั่นไปหมด แทบจะถึงขีดจำกัด
โดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้ปลายทางแรงกดทับก็ยิ่งมีมาก ภูเขาที่แบกก็ยิ่งเยอะ เวลานี้ระยะห่างของเขากับทางออกดูเหมือนว่าจะเหลือแค่สิบเอ็ดก้าวเท่านั้น แต่เขาเข้าใจดีว่าความยากลำบากของสิบเอ็ดก้าวนี้ ย่อมมีมากกว่าที่เคยผ่านมาแน่นอน
ซ่างกวานเทียนโย่วสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยว
‘อันดับหนึ่งของศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติ เดิมก็ควรเป็นของข้า เป้าหมายของข้าก็คือศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งเหนือใต้ ใช้ฐานะอันดับหนึ่งของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหยียบย่างเข้าฝ่ายใน และอีกหลายปีข้างหน้าก็เหยียบย่างเข้าไปในลำดับผู้สืบทอดของสำนักธาราเทพ!’ ซ่างกวานเทียนโย่วกัดฟัน ขณะกำลังจะก้าวเดินไปข้างหน้าพลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หันหลังกลับไปมองก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในทันที
‘เป็นเขา…’ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน ผู้คนในชายฝั่งทิศใต้แทบไม่มีใครไม่รู้จักเขา ต่อให้ไม่เคยเจอมาก่อน ก็ได้ไปเข้าร่วมพิธีศพ เห็นรูปภาพของเขามาแล้ว ซ่างกวานเทียนโย่วตกใจเล็กน้อย เดิมเขานึกว่าเบื้องหลังตัวเองน่าจะเป็นหลู่เทียนเหล่ยถึงจะถูก
‘ดูท่าข้าจะประเมินหลู่เทียนเหล่ยสูงเกินไป ก็เป็นแค่ของไร้ค่าไม่ต่างกัน’ ซ่างกวานเทียนโย่วดึงสายตากลับมา เขาก็แค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น เลือกที่จะมองเมินป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจของเขา เขากับป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนระดับเดียวกัน เวลานี้หลังจากก้าวเดินไปข้างหน้าได้หนึ่งก้าวแล้ว ตลอดร่างของซ่างกวานเทียนโย่วสั่นสะท้าน กัดฟันกรอด กระดูกทั่วร่างส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ
แทบจะเวลาเดียวกันกับที่ซ่างกวานเทียนโย่วเดินก้าวออกไปนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ห้อตะบึงมาถึง ก้าวแรกเขาไม่รู้สึกถึงอะไร ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่…
เขาเดินติดต่อกันเร็วๆ มาได้ถึงห้าสิบก้าวร่างกายถึงค่อยชะงัก เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างแปลกใจ
“อะไรกัน รู้สึกเหมือนร่างกายหนักเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย”
และก็เวลานี้เอง ร่างกายซ่างกวานเทียนโย่วสะท้านเยือก ในที่สุดก้าวนี้ก็สัมผัสโดนพื้น ยืนอย่างมั่นคงอยู่บนก้าวที่เก้าสิบ ตลอดทั้งร่างแทบจะเสื่อมทรุดหมดเรี่ยวแรง หอบหายใจฮักๆ สีหน้ากลับมีความพึงพอใจ ครั้นหันกลับไปมองข้างหลังก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินเข้ามาถึงก้าวที่ห้าสิบได้ทันที
ดวงตาเขาแข็งค้าง
‘เขา…เขาเดินเร็วขนาดนี้ได้ยังไง!’ นัยน์ตาซ่างกวานเทียนโย่วเผยความตกตะลึง แต่เขาก็กัดฟันทันใด
‘น่าจะเป็นวิชาฝึกหลอมร่างกาย ดังนั้นตอนเริ่มต้นจึงเดินได้เร็วหน่อย แต่ยิ่งมาถึงท้ายๆ ก็ยิ่งลำบาก เขา…’ ความคิดในใจซ่างกวานเทียนโย่วยังไม่ทันสิ้นสุด ร่างก็พลันสั่นเยือก มองเซ่อไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งกำลังวิ่งห้อมาทางตนเอง
‘วิ่ง…เขา…เขากำลังวิ่ง?’ ซ่างกวานเทียนโย่วเบิกตากว้าง มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังวิ่งบึ่งอย่างรวดเร็วด้วยความอึ้งงัน ไม่นานก็วิ่งมาถึงด้านหน้าของเขา
“ไง ทำไมเจ้าถึงได้เดินช้าขนาดนี้ล่ะ?” ขณะที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองเบื้องหลัง ไม่เห็นว่าผู้เฒ่าโจวไล่ตามมา ดังนั้นในใจจึงผ่อนคลายลง เอ่ยปากถามด้วยความแปลกใจ
“เจ้า…ไม่รู้สึกเหรอว่าบนร่างมีภูเขาอยู่หลายลูก?” ซ่างกวานเทียนโย่วหนังตากระตุก เซ่อไปเล็กน้อย ถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ภูเขาหลายลูก? เอ๊ะ ก็เหมือนจะมีนะ แต่ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งเล็กน้อย แถมยังกระโดดขึ้นลงอีกสองสามที เห็นซ่างกวานเทียนโย่วเบิกตาเสียกว้าง สูดลมหายใจเฮือก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกระโดดต่อ พลันมองเห็นร่างของผู้เฒ่าโจวที่ไล่ตามมาไกลๆ เขาเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาอีกครั้ง ร่างกายพุ่งพรวดออกไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็กระโดดข้ามระยะห่างสิบก้าว ถลาออกไปจากสะพานโบราณแห่งนี้ได้โดยตรง…วินาทีที่พุ่งออกไปนั้น อยู่ๆ ความเร็วของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นทันตา แวบเดียวก็วิ่งหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
แทบจะทันทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งหายไปนั้นเอง ผู้เฒ่าโจวที่ตามมาเบื้องหลังชะงักฝีเท้ากึก เขาเองก็อึ้งตะลึงไปเช่นกัน ยิ้มเจื่อนๆ ไม่หยุด
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่เขา…ได้ที่หนึ่งเชียวเรอะ?”
บนแท่นสูงเวลาเดียวกันนี้ พวกเจิ้งหย่วนตงและหลี่ชิงโหวเองก็พากันลุกขึ้นยืน แต่ละคนสีหน้าแปลกประหลาด พวกผู้อาวุโสที่อยู่รอบด้านก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแซงหน้าโจวซินฉีและหลู่เทียนเหล่ยไป พวกเขาจะพอเตรียมใจกันไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่พอได้เห็นจะๆ ตาเช่นนี้ก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ โดยเฉพาะด่านสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนดันผ่านไปได้อย่างง่ายดายเพียงนั้น
“เขา…ได้ที่หนึ่ง?” หลี่ชิงโหวพึมพำ
ที่ตามมาติดๆ คือลูกศิษย์ที่เฝ้ามองอยู่บนที่สูงเหล่านั้นก็มองเห็นภาพนี้ด้วยเช่นกัน เสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันควัน กึกก้องไปทั่วในหุบเขา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…เขาแซงหน้าโจวซินฉี หลู่เทียนเหล่ย ซ่างกวานเทียนโย่ว เขาได้ที่หนึ่ง!”
“สวรรค์ เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ดันได้ที่หนึ่ง!”
“ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ที่หนึ่งก็เพราะผู้เฒ่าโจวเป็นส่วนสำคัญ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น หากถูกไล่ฆ่าแบบนั้น เกรงว่าก็คงเอาพลังมาใช้หนีสุดชีวิตนั่นแหละ!”
ซ่างกวานเทียนโย่วหน้าเผือดสีลงไป ในสมองมีเสียงดังตูมหนึ่งครั้ง เบื้องหน้ามืดดำ ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่
เขามองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน มองอีกฝ่ายอยู่เบื้องหน้าตัวเอง เดินผ่านสะพานหินแห่งนี้ ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ สั่นไหวอย่างรุนแรง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ซ่างกวานเทียนโย่วดวงตาแดงฉาน ความภาคภูมิใจของเขา ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ในเวลานี้รู้สึกแค่เพียงว่าทั้งหมดถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่ำไปเสียสิ้น โดยเฉพาะยามคิดถึงตอนเมื่อครู่ที่อีกฝ่ายยังถามตัวเองว่าทำไมถึงได้เดินช้าขนาดนี้
เลือดลมตลอดร่างของซ่างกวานเทียนโย่วไหลทะลักขึ้นสมอง ไอกระบี่นอกร่างระเบิดออก ดวงตาแดงก่ำ รีบเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ระยะห่างสิบก้าว เมื่อเขาเดินผ่านมาครบทุกก้าวก็กระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าซ่างกวานเทียนโย่วไม่เคยแพ้ ครั้งนี้…ข้าไม่ยอม ในศึกษ์ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าในลูกศิษย์ฝ่ายนอก ไม่มีใครสามารถ…เอาชนะข้าได้!!” เขากัดฟัน จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ความปรารถนาในการต่อสู้ที่เผยออกมาทางแววตายิ่งดุเดือด
———