Skip to content

A Will Eternal 854

บทที่ 854 นั่นคือ…เสินซ่วนจื่อ?

เวลาล่วงผ่าน…

ควันสีแดงผืนนี้ดำรงอยู่หลายชั่วยามถึงได้ค่อยๆ จางหายไป คนแรกที่เดินออกมาคือสตรีธุลีแดง

ใบหน้าของนางแดงก่ำ ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดมุ่น นางเดินออกมาด้วยท่าทางเหมือนไม่ค่อยสบายตัวนัก นัยน์ตาก็ยิ่งฉายแววซับซ้อน หันกลับไปมองหมอกควันด้านหลังที่กำลังเบาบางแล้วกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที แต่เหมือนว่าการทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งความเจ็บปวดจากบางส่วนของร่างกาย นางร้องซี้ดเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะพกพาเอาความโกรธที่พานมาเป็นความอับอายกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินหายไปตรงขอบฟ้า

จนกระทั่งนางจากไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป หมอกควันนี้ถึงได้หายไปเกลี้ยง เผยให้เห็นสภาพด้านในที่…พื้นดินพังเละเทะไม่เหลือชิ้นดี

ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น ดวงตาที่ไร้แววมองไปบนท้องฟ้า หนังหน้ากระตุกไม่หยุด

“ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เอื้อมมือไปเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่รอบด้านขึ้นมาสวมใส่แล้วลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเศร้าอาลัย

“นางต้องตั้งใจแน่นอน! หรือว่าเป็นเพราะข้ามีเสน่ห์ล่อลวงใจคนเกินไป ถึงได้ปลุกให้ความเป็นสัตว์ป่าหื่นกระหายในตัวนางให้กำเริบจนถึงขั้นจงใจใช้ยากระสันซ่านมาปลุกปล้ำขืนใจข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็ยิ่งเจ็บแค้นเศร้าโศก แต่ขณะเดียวกันก็ให้ลำพองใจนิดๆ ยิ่งในสมองมีภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ผุดขึ้นมา หัวใจเขาก็เต้นรัวเร็วขึ้นอีกหลายส่วนอย่างห้ามไม่ได้

“ช่างเถอะๆ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นคำอธิบายให้กับโจวจื่อโม่แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด เดินไปเก็บของทั้งหมดที่กระจัดกระจายอยู่ในผืนป่ารอบด้านมาไว้ในถุงเก็บของอีกครั้ง เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ แล้วเสร็จจึงเดินออกไปจากผืนป่าแห่งนั้น

“ยากระสันซ่านนี่ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก…” เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าปีนั้นตนไม่ควรสร้างยากระสันซ่านนี่ขึ้นมา ในอดีตเขาล้วนเอายานี้ไปใช้กับคนอื่น ตอนนี้ดันมาโดนเข้ากับตัวเอง ย้อนนึกถึงความน่ากลัวเมื่อครู่นี้ ย้อนนึกถึงการดิ้นรนขัดขืนด้วยปณิธานอันแข็งแกร่ง เขาก็ให้รู้สึกนับถือโจวอีซิงอย่างยิ่งยวด

“อีซิงร้ายกาจจริงๆ ปีนั้นข้าป้อนให้เขากินไปตั้งหลายเม็ด ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวนั้น กลับยังอดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมาจากในผืนป่าด้วยความปลงอนิจจัง

ไม่นานก็เจอตัวซ่งเชวีย ซ่งเชวียไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้เทือกเขาแห่งนั้น เขายังคงรออยู่ที่เดิม ยามนี้พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมา ยิ่งเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนใบหน้าแดงปลั่ง แต่มีท่าทางเหมือนคนเหนื่อยใจ เขาก็ให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

แต่ซ่งเชวียก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรให้มากความ

เดาเอาว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสตรีธุลีแดงแน่นอน ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะสถานการณ์อะไร ขอแค่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าเช่นนี้ได้ นี่ก็คือเรื่องดีเทียมฟ้าแล้ว

และป๋ายเสี่ยวฉุนกับซ่งเชวียก็บินข้ามผ่านเทือกเขาแห่งนั้นไปทั้งอย่างนี้ พวกเขามุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามแห่งชีวิต และเริ่มขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ตลอดครึ่งเดือนมานี้เนื่องจากพื้นที่ที่พวกเขาเดินทางผ่านรกร้างและห่างไกลความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกวิญญาณที่พวกเขาพบเห็นมาตลอดทางจึงมีไม่มากนัก ต่อให้มี แต่พอเห็นคลื่นตบะบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวีย คนเหล่านั้นก็จะรีบหลบเลี่ยงไปทันที

ส่วนพวกชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ ที่อยู่บนพื้นดินก็มีไม่น้อยที่พอเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวียบินผ่านไปบนท้องฟ้าแล้วต่างก็พากันคุกเข่าคำนับ

ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ชายแดนของแดนทุรกันดาร ชนเผ่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้ก็ยิ่งคงความดั้งเดิมเก่าแก่มากขึ้นเรื่อยๆ แถมซ่งเชวียยังได้เห็นหลายชนเผ่าที่ยังคงระบบผู้หญิงเป็นใหญ่ เหล่าสตรีที่อยู่ในชนเผ่าเหล่านั้นเรือนกายสูงใหญ่น่าเกรงขาม สีหน้าท่าทางก็ดุดัน ทั้งยังมีหลายคนที่ร่างกายใหญ่มหึมาจนน่ากลัว

ซ่งเชวียเพิ่งเคยเห็นความอนารยะและเก่าแก่ดั้งเดิมแบบนี้เป็นครั้งแรกจึงเหลือบมองอยู่หลายที ส่วนชนพื้นเมืองในเผ่าเหล่านี้ที่พอสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวียก็จะแสดงความเคารพเลื่อมใสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำราวกับว่ามองเห็นทวยเทพ

นอกจากนี้ซ่งเชวียยังค้นพบอยู่หลายครั้งว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ บางครั้งในดวงตาก็ฉายแววย้อนทวนความทรงจำ ในใจเขาแปลกใจอยู่มาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับป๋ายเสี่ยวฉุนกันแน่ ทั้งๆ ที่คนทั้งสองประมือกันจนขยับห่างไปเรื่อยๆ แต่ตอนที่กลับออกมากลับมีแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงคนเดียว

“หรือว่าเขาสังหารสตรีธุลีแดงไปแล้ว?” ซ่งเชวียคิดมาถึงตรงนี้ก็ผงะตกใจ แต่กลับไม่กล้าปากมาก ได้แต่ตัดสินใจอยู่กับตัวเองว่าหากเห็นท่าไม่ดีเมื่อไหร่จะเผ่นหนีไปทันที

และก็เป็นเช่นนี้ ขณะที่ซ่งเชวียคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาและป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีสีหน้าปั้นยากนั้น พวกเขาสองคนที่ทะยานตัวอยู่บนท้องฟ้าก็ขยับเข้าไปใกล้เขตต้องห้ามแห่งชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งห่างจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตด้วยระยะทางอีกประมาณสามวันห้าวัน ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชะงักฝีเท้า สีหน้าที่เดิมทีเลื่อนลอยเคว้งคว้างเปลี่ยนมาเป็นประหลาดใจ มองไปยังทิศไกลก็เห็นว่ากลางเขตเทือกเขาที่อยู่ด้านล่างมีชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่

นี่คือชนเผ่าขนาดเล็กที่ใช้ระบบผู้หญิงเป็นใหญ่ ในชนเผ่าแห่งนี้มีผู้หญิงเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นด้านการต่อสู้หรือด้านการใช้ชีวิตก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ผู้ชายที่อยู่ในชนเผ่าคือฝ่ายที่ตกเป็นรอง คล้ายว่าเอามาใช้ประโยชน์เพียงเพื่อการสืบพันธ์เท่านั้น

และในชนเผ่าเล็กๆ แห่งนี้ก็มีชนพื้นเมืองอยู่ไม่มาก แค่เกือบหนึ่งร้อยคนเท่านั้น เก้าส่วนในนั้นล้วนเป็นผู้หญิง มีชนพื้นเมืองเพศชายเพียงแค่แปดเก้าคนเท่านั้น แม้ว่าแต่ละคนจะผอมมาก ทว่าโครงร่างของพวกเขากลับใหญ่โต เพียงแต่ว่าแต่ละคนดูไร้เรี่ยวแรง นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ในชนเผ่าอย่างเกียจคร้าน บ้างก็หันมาพูดคุยกันเป็นระยะ

ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลมีกองฟางอยู่กองหนึ่ง ด้านบนกองฟางก็มีผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ใช่ชนพื้นเมือง เหมือนจะเป็นผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาสวมกระโปรงที่ถักทอมาจากฟางข้าว ร่างกายก็ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก สกปรกมอมแมม สภาพโกโรโกโสชวนสังเวชอย่างถึงที่สุด เวลานี้เขานอนอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่ไร้แววเหม่อมองท้องฟ้า ท่าทางหมดอาลัยตายอยากราวกับหมดสิ้นซึ่งความหวังในการใช้ชีวิต

ตอนที่สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดมองไกลๆ ไปยังร่างชายผู้นี้ เขาก็อึ้งค้างไปครู่

“เชวียเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตรงนั้นมีปราณที่คุ้นเคยอยู่” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างตะลึงระคนแปลกใจ ซ่งเชวียที่ได้ยินประโยคนี้ก็ตะลึงไปเช่นกัน เขาหยุดยืนอยู่กลางอากาศ พอกวาดพลังจิตมองไปก็ต้องเบิกตากว้างทันที

“เสินซ่วนจื่อ!!”

ซ่งเชวียอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก สีหน้าเหลือเชื่อ ต้องรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้ขอให้ป๋ายฮ่าวช่วยตามหานักพรตที่ปีนั้นอาจถูกนำส่งมายังแดนทุรกันดาร เพียงแต่ว่าในแดนทุรกันดารมีชนเผ่ากระจายตัวกันอยู่มากเกินไป

แม้ป๋ายฮ่าวจะเป็นจักรพรรดิหมิง แต่อย่างไรซะเขาก็เพิ่งสืบทอดตำแหน่ง ยังไม่สามารถควบคุมพลังของแม่น้ำอเวจีได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด ดังนั้นการตามหานี้จึงมิอาจทำได้สำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ

“เป็นเสินซ่วนจื่อจริงๆ ด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด สะบัดร่างตรงดิ่งเข้าหาชนเผ่าแห่งนั้นทันที ซ่งเชวียเองก็รีบตามหลังไปติดๆ ไม่นานคนทั้งสองก็มาหยุดอยู่กลางอากาศเหนือชนเผ่าแห่งนี้

การปรากฏตัวของพวกเขาสร้างความแตกตื่นให้กับคนในชนเผ่าได้ทันที

คนเหล่านั้นพากันเดินออกมาคุกเข่าหมอบกราบลงกับพื้นดิน และยังมีชนพื้นเมืองเพศหญิงอีกไม่น้อยที่เรือนกายสูงใหญ่ หน้าตาน่าเกลียดซึ่งพากันวิ่งออกมาแล้วหันไปกราบไหว้ป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวียที่อยู่บนท้องฟ้าราวนมัสการเทพเจ้า

ชนเผ่านี้น่าสนใจอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกทันทีว่าผู้นำของชนเผ่านี้คือผู้หญิงคนหนึ่ง ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของนางเทียบเคียงได้กับรวมโอสถ

ส่วนเสินซ่วนจื่อที่เดิมทีดวงตาทั้งคู่เหม่อลอย พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนกับซ่งเชวียก็อึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด ร่างของเขาสั่นเทิ้มน้อยๆ ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างคล้ายรู้สึกเหมือนตัวเองตาฝาด ภาพเหตุการณ์นี้น่าเหลือเชื่อจนเขานึกว่าตัวเองกำลังฝันกลางวันจึงขยี้ตาแรงๆ รอจนแน่ใจแล้วว่าที่ตัวเองเห็นคือป๋ายเสี่ยวฉุนกับซ่งเชวียจริงๆ เสินซ่วนจื่อก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืน

“ซ่งเชวีย!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” เสียงของเสิ่นซ่วนจื่อสั่นเครือ ตื่นเต้นจนมิอาจระงับอารมณ์เอาไว้ได้ น้ำตาของเขาร่วงเผลาะๆ เป็นสาย ก่อนจะคำรามเสียงดังลั่นด้วยน้ำเสียงแหบโหย

“ช่วยข้า! ช่วยข้าด้วย!!”

เสียงคำรามของเขาทำเอาพวกชนพื้นเมืองที่อยู่รอบด้านอึ้งงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ดีใจอย่างมาก พลันยกมือขวาขึ้นคว้าจับผ่านอากาศ ร่างของเสินซ่วนจื่อจึงลอยขึ้นมาบนฟ้า ชนพื้นเมืองทุกคนในชนเผ่าที่เห็นภาพนี้ต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม ทั้งยังมากด้วยความเคารพกริ่งเกรง ไม่มีใครกล้าห้ามปรามการลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาเสียที!! ข้า…ข้าใกล้จะบ้าเต็มทีแล้ว สวรรค์ นี่คือเรื่องจริงหรือ ข้าทำนายให้ตัวเอง รู้ว่าต้องมีคนมาช่วยข้าแน่นอน…ข้ารอพวกเจ้ามาหลายสิบปีแล้วนะ ข้านึกว่าจะไม่มีชีวิตอยู่จนได้เจอกับพวกเจ้าเสียแล้ว…” เสินซ่วนจื่อตื่นเต้นจนน้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม ร่างสั่นเทิ้มรุนแรง ถ้อยคำที่ใช้ก็วกไปวนมา เมื่อมองใกล้ๆ จึงเห็นว่าร่างของเสินซ่วนจื่อผอมจนน่ากลัว กระดูกซี่โครงเห็นเด่นชัด สภาพชวนเวทนาอย่างถึงที่สุด

เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นและเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งของเสินซ่วนจื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับตื่นตะลึงไปกับความน่าสังเวชของอีกฝ่าย ซ่งเชวียที่อยู่ข้างกันยามนี้ก็มีสีหน้ามืดคล้ำ เขาและเสินซ่วนจื่อต่างก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิต

พอเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้เขาก็พลันก้มลงมองชนเผ่าที่อยู่เบื้องล่าง กำลังจะลงมือแต่กลับถูกเสินซ่วนจื่อห้ามไว้ก่อน

“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ…ในนี้ มีหลายคนที่เป็นสายเลือดของข้า”

เสินซ่วนจื่ออยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ปีนั้นหลังจากที่เขาถูกนำส่งมายังแดนทุรกันดาร เพราะบาดเจ็บหนัก ตบะจึงลดดิ่งลงเหลือแค่รวมลมปราณ พอถูกเผ่าผู้หญิงเป็นใหญ่แห่งนี้จับตัวไปก็ถูกผู้นำของเผ่ากักขัง ทำให้ตบะมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้ เนื่องจากเป็นนักพรตจึงได้รับความสำคัญจากชนเผ่าแห่งนี้อย่างมาก พวกนางจึงจับเขามาเป็นทาสที่ใช้แพร่พันธุ์…

หลายปีมานี้เขาถูกใช้งานสืบพันธุ์อย่างหนัก ร่างทั้งร่างเหมือนถูกควักจนกลวงโบ๋ ทำให้เขาสิ้นหวังเต็มทีแล้ว ยิ่งชนพื้นเมืองเพศหญิงพวกนี้ทั้งป่าเถื่อน หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ทั้งยังชอบความรุนแรง แถมพวกชนพื้นเมืองผู้ชายก็ยังริษยาในตัวเขา ทำให้เสินซ่วนจื่อใกล้จะแหลกสลายเต็มที หากไม่เป็นเพราะเขาทำนายได้ว่าวันหน้าต้องมีคนมาช่วยแน่นอน เขาก็ยังถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

จนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดเขาก็ได้พบป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวีย อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองมีความเป็นอยู่ดีกว่าตนมากมายหลายเท่านัก นี่จึงยิ่งทำให้เสินซ่วนจื่อน้ำตาไหลทะลักทลายหนักกว่าเดิม

พอได้ยินคำพูดของเสินซ่วนจื่อ ซ่งเชวียก็อ้าปากค้าง หันมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเบิกตากว้าง พลันรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับเสินซ่วนจื่อแล้ว เรื่องของตัวเองเป็นเรื่องเล็กน้อยจนเทียบไม่ติดฝุ่นไปเลย หากนับกันตามจำนวนที่ถูกปลุกปล้ำขืนใจแล้ว เสินซ่วนจื่อต่างหากที่ถึงจะเรียกได้ว่าใต้หล้าไร้เทียมทาน…

“หึ หึ ข้าเข้าใจเจ้า!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด มองเสินซ่วนจื่ออย่างเห็นใจ ทั้งยังยกมือตบไหล่ที่ผอมแห้งของอีกฝ่าย

จบภาค 5

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!