บทที่ 860 มีผี!
ชั้นที่สองของเรือผีที่เงียบสงัดราวกับตกอยู่ในความตาย เวลานี้เมื่อเก้าอี้ดันโยกด้วยตัวเองอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นความรู้สึกอึมครึมวังเวงก็พลันระเบิดครืนครั่นอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนราวอสนีบาต
เขาสะดุ้งโหยงขึ้นมาทั้งร่าง เกือบจะกรีดร้องออกมา ดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งเบิกกว้าง เก้าอี้โยกตัวนั้นพิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว!
เห็นๆ กันอยู่ว่าบนเก้าอี้ไม่มีคน แต่กลับดันเหมือนมีคนนั่งอยู่บนนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ เขาถึงได้รู้สึกเหมือนเห็นหญิงชราใบหน้าขาวซีดคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มชวนขนหัวลุกมาให้ นางมองมาที่ตนพลางโยกเก้าอี้ที่นั่งไปด้วย
“มีผี!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวีดร้องเสียงแหลม
พลันยกมือขวาขึ้นคว้าจับซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อผ่านอากาศ พอคว้าร่างคนทั้งสองมาได้เขาก็ถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาตกใจจนหัวใจเต้นกระหน่ำแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอกแล้ว
ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววเลื่อนลอย ร่างก็แข็งทื่อ หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าจับร่างพวกเขาผ่านอากาศ คนทั้งสองก็ไม่ได้ดิ้นรนต่อต้าน ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพาพวกเขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวถอยหลังหมายจะหนีออกไปจากที่นี่นั้นเอง เก้าอี้ตัวนั้นกลับโยกรุนแรงมากขึ้นราวกับว่ามีคนผลักอย่างไรอย่างนั้น
และที่น่าตกใจที่สุดก็คือโครงกระดูกสองโครงที่ผสานรวมกันได้ครึ่งหนึ่ง เวลานี้ร่างของพวกมันสั่นสะท้านน้อยๆ ก่อนที่บนร่างของพวกมันจะมีแสงสีทองและแสงแวววาวเจิดจ้าส่องออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนโอดครวญอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเก้าอี้นั่นยิ่งโยกแรงมากขึ้นทุกขณะ เขาก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ถอยหลังไปด้วยความเร็วสูงสุด
พริบตาเดียวก็พาซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อมาปรากฏตัวอยู่ตรงบันไดที่ทอดยาวขึ้นสู่ชั้นบน หลังจากโยนพวกเขาไว้ในถุงเก็บของเรียบร้อย ตัวเองก็กระโดดผลุงขึ้นไปตามบันไดหมายหนีไปจากที่นี่โดยไม่มีความลังเล
ความเร็วนั้นมีมากจนเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มาถึงปลายสุดด้านบนของบันได โผล่พรวดเข้าไปยังชั้นที่หนึ่งของเรือผี ทว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าเข้าไป เบื้องหน้าเขาก็พลันพร่าลาย ยังไม่ทันหายใจได้คล่องคอ กวาดสายตาไปหนึ่งครั้ง เขาก็สะดุ้งโหยงราวแมวที่ถูกเหยียบหาง ดวงตาเหลือกถลน ในสมองมีเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว หอบหายใจเข้าปากติดๆ กัน
สายตาเขายังคงมองเห็นเก้าอี้โยกและโครงกระดูกทั้งสอง ที่นี่ยังคงเป็น…ชั้นที่สอง!!
และตอนนี้เก้าอี้นั่นก็โยกเร็วมากกว่าเดิม ทั้งยังพอจะได้ยินเสียงคำรามแปลกแปร่งดังออกมาจากบนเก้าอี้ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด
“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก เขาพุ่งตัวขึ้นไปบนบันไดอีกครั้ง คราวนี้ความเร็วมากกว่าเดิม ทั้งยังระเบิดตบะไปตลอดทาง พลังกล้ามเนื้อก็ถูกโคจร เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างถลาขึ้นไปบนบันไดเป็นครั้งที่สอง ทว่าพอตาพร่าลาย สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับยังคงเป็นโครงกระดูกและเก้าอี้โยกดังเดิม!
ยังคงเป็นชั้นที่สอง!!
ชั้นที่สองนี้เป็นราวกับวงเวียนวงหนึ่งที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับมาที่เดิม และครั้งนี้หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว เก้าอี้ตัวนั้นไม่เพียงแต่โยกไหวรุนแรงถึงขีดสุด อีกทั้งภายใต้การโยกครั้งนี้ยังทำให้เก้าอี้เคลื่อนมาข้างหน้าราวกับจะตามมาโจมตี
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนจิตวิญญาณแทบจะแหลกสลาย เขาคำรามดังลั่น ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นเวทคาถาก็กลายมาเป็นลมพายุที่ระเบิดออกจากมือของเขาแล้วตรงดิ่งเข้าไปหาเก้าอี้โยก
ทว่าท่ามกลางเสียงกัมปนาทกึกก้อง หลังจากที่ลมพายุปะทะเข้ากับเก้าอี้โยก ลมพายุกลับพัดผ่านเก้าอี้โยกไป ไม่สามารถสร้างรอยเสียหายใดๆ ให้กับเก้าอี้โยกได้แม้แต่นิดเดียว นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ ด้วยวิกฤตคับขัน ไม่มีเวลามากพอให้เขาขบคิด เขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าหากไม่รีบออกไปจากที่นี่ หากขยับเข้าไปใกล้เก้าอี้โยกตัวนั้น ตนจะต้องตกอยู่ในทางตันที่มิอาจหวนย้อนกลับ!
“สู้ตาย!!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหนัก ระเบิดความเร็วขึ้นอีกครั้ง ร่างทั้งร่างกลายเป็นภาพติดตา พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ตรงปลายทางของบันไดด้านบน ครั้งนี้เขาไม่ได้เหยียบลงไปทันที แต่ยกมือขวาขึ้นกำเป็นหมัด และแทบจะชั่วขณะเดียวกับที่เขากำมือเป็นหมัดนั้น น้ำวนสีดำลูกหนึ่งก็พลันปรากฏอยู่เหนือหมัดของเขา!
วินาทีที่น้ำวนปรากฏ ความว่างเปล่ารอบด้านพากันบิดเบือน ต่อให้เป็นเรือผี ต่อให้เป็นเขตต้องห้ามแห่งชีวิตแห่งนี้ก็ยังคงมีพลังฟ้าดินแผ่กระจายออกมา ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายใต้แรงดึงดูดจากน้ำวนสีดำ ตบะ เลือดลม และจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนจะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วถูกน้ำวนนั่นดูดไปหมด!
ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเขาก็มีเงาร่างสูงใหญ่ที่สวมมงกุฎจักรพรรดิ สวมอาภรณ์จักรพรรดิเงาหนึ่งเผยตัว ปราณแห่งความเผด็จการขุมหนึ่งระเบิดครืนครั่นอย่างน่ากริ่งเกรง
นี่ก็คือ…หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ!
ที่ถึงขั้นร่ายใช้วิชานี้ก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนถูกบีบจนร้อนใจ แล้วก็เป็นเพราะกระดูกคงกระพันของเขาฝึกได้เสร็จสมบูรณ์ การร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญในเวลานี้จึงระเบิดพลังที่ไม่ใช่แค่สองเท่าอย่างในอดีตอีกต่อไป แต่เป็น…ขีดสุดของมัน ห้าเท่า!!
พลังกล้ามเนื้อห้าเท่า ระดับความน่ากลัวของพลังการต่อสู้เช่นนี้ ต่อให้เป็นคนฟ้าช่วงกลางมาเห็นเข้าก็ยังสำลักลมหายใจ ต้องรู้ว่าพลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็เทียบเคียงกับคนฟ้าได้อยู่แล้ว และพอมารวมพลังทบทวีเป็นห้าเท่า กลายมาเป็นหมัดหนึ่ง ระดับความน่าตะลึงของการระเบิดพลังครั้งนี้จึงมากพอจะทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้!
“จงเปิดให้ข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น มือขวากำเป็นหมัดต่อยโครมลงไปยังปลายทางของบันได!
ขณะเดียวกันกับที่เขาต่อยหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญออกมา เงาร่างที่สวมชุดคลุมจักรพรรดิและมงกุฎจักรพรรดิซึ่งเต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งความเผด็จการก็ยกมือขวาขึ้นเช่นกัน หมัดของเงาร่างนั้นเหมือนผสานรวมเป็นหมัดเดียวกันกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วต่อยออกไปพร้อมกัน!
ตูมๆๆ!
เสียงดังกัมปนาทเกริกก้องไปสี่ทิศ หมัดนี้ทำให้เกิดลมพายุบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปานประหนึ่งมีมังกรทมิฬดุร้ายตัวหนึ่งที่กำลังร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมันพุ่งออกไป เมื่อหมัดนั้นร่วงลง เบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ปลายสุดของบันไดก็เหมือนกระจกบานหนึ่งที่ส่งเสียงเปรี๊ยะๆๆ ดังลั่น และพริบตาเดียวก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ!
วินาทีที่มันแตกออก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้าวพรวดออกไป คราวนี้เขาไม่ได้ตาลาย แต่สามารถถลาพรวดออกไปจากชั้นที่สองได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวาง!
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!
เมื่อเห็นว่าตัวเองออกมาจากชั้นที่สองได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระบายลมหายใจออกมา
“ที่นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน ไม่ควรจะมาที่นี่เลย ไม่ควรจะเดินผ่านเขตต้องห้ามแห่งชีวิตแห่งเลยจริงๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนให้รู้สึกเสียใจ เขารู้สึกว่าคนเฝ้าสุสานขุดหลุมเล่นงานตน หากรู้แต่แรกว่าในเขตต้องห้ามแห่งชีวิตมีเรือผีเช่นนี้อยู่ ต่อให้ตายเขาก็ไม่ยอมมาที่นี่เด็ดขาด!
ทว่าตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เห็นได้ชัดว่าซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อต่างก็ถูกควบคุมสติสัมปชัญญะ หากไม่เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนโยนพวกเขาสองคนไปเก็บไว้ในถุงเก็บของ เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงยังอยู่ในชั้นที่สอง
“จะทำอย่างไรดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าบูดบึ้ง หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญที่ต่อยออกมาแทบจะดึงเอาพลังกล้ามเนื้อทั้งหมดของเขาไป แต่อย่างไรซะเขาก็ฝึกจนถึงกระดูกคงกระพันขั้นสมบูรณ์แบบ ตอนนี้แม้จะหอบหายใจไม่หยุด แม้จะรู้สึกถึงความอ่อนระโหย แต่กลับไม่ได้ถึงขั้นที่มิอาจยืนหยัดได้ไหว เพียงแต่ว่าขณะที่เขาเพิ่งจะระบายลมหายใจแล้วครุ่นคิดด้วยความกลัดกลุ้ม วินาทีถัดมา เมื่อสายตาของเขามองสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่ ร่างของเขากลับต้องแข็งค้างอีกครั้ง
ดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้างมากกว่าเดิม ในสมองมีสายฟ้าฟาดผ่า ความรู้สึกหวาดกลัวพรั่นพรึงทวีคูณจากก่อนหน้านี้อีกหลายเท่าตัว!
ที่นี่ไม่ใช่ชั้นสองก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ชั้นที่หนึ่งเหมือนกัน!
หรือหากจะพูดอย่างชัดเจนก็คือ ที่นี่ไม่นับว่าเป็นชั้นหนึ่งด้วยซ้ำ แต่เป็นห้องลับห้องหนึ่ง เป็นห้องของ…หญิงสาว!!
ในห้องนี้มีเตียงที่ผุพังอยู่หลังหนึ่ง บนเตียงเกรอะเต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งยังมองเห็นหยากไย่ที่ติดอยู่บางจุด และข้างเตียงก็มีโต๊ะแต่งหน้าอยู่ตัวหนึ่ง!
โต๊ะแต่งหน้าตัวนี้เก่าแก่อย่างมาก เต็มไปด้วยฝุ่นเช่นกัน ทั้งยังมีรอยแตกร้าวไม่น้อย แถมมุมหนึ่งยังเป็นรอยแตกบิ่น เมื่อมองไปอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าบนโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้มีคราบเลือดดำคล้ำซึ่งไม่รู้ว่าแห้งกรังมานานกี่ปีแล้ว!
เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งคือกระจกบานหนึ่งที่ตั้งวางอยู่ บนกระจกบานนี้มีรอยแตกร้าวตัดสลับกัน มองแล้วพิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันกระจกบานนี้…ก็คือวัตถุชิ้นเดียวในห้องที่ไม่มีฝุ่นเกาะ!
ห้องของหญิงสาวห้องนี้มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะแต่งหน้าหนึ่งตัวและกระจกหนึ่งบาน มีเพียงเครื่องเรือนที่เรียบง่ายเท่านี้ ทว่ากลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้มรุนแรงสุดขีด ในสมองก็ยิ่งเหมือนมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าเปรี้ยงลงมาพร้อมกัน ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจติดๆ กัน
เพราะเมื่อครู่นี้ที่มองไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง จู่ๆ ข้างหูของเขาก็มีเสียงเพลงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน…นับตั้งแต่ที่เขาเหยียบลงมาบนเรือ!!
นั่นคือเพลงที่บรรยายถึงเรื่องราวที่เด็กคนหนึ่งกินแขนของมารดาตัวเอง!!
เพลงนี้เสียงดังฟังชัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่ามีคนมานั่งร้องอยู่ในห้องนี้ นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวาจนแทบบ้า
“ใครกัน เจ้าไม่ต้องออกมานะ ลูกศิษย์ของข้าเป็นถึงจักรพรรดิหมิงเชียวนะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ ขณะที่คำรามก็ถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว หมายจะหาทางออก เขาตระหนักได้แล้วว่าแม้ตนจะหนีออกมาจากชั้นที่สองได้ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมดันมาโผล่อยู่ใน…พื้นที่จุดศูนย์กลางของเรือลำนี้เสียได้!!
อีกทั้งเขาไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรมากมายก็สามารถอาศัยเสียงเพลงที่ดังเข้าหูมาตามหาต้นกำเนิดของเสียงเพลงที่อยู่ในห้องนี้จนเจอ!
เสียงเพลงนี้ดังมาจากบนโต๊ะเครื่องแป้งที่ว่างเปล่าตัวนั้น!