บทที่ 863 เอาคืนกลับไป
ขณะที่สำนักสยบธารกำลังถูกสามสำนักใหญ่ของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกตอนกลางล้อมโจมตีอยู่นั้น ในเขตต้องห้ามแห่งชีวิต ป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อสามคนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักสยบธารแม้แต่น้อย
ทว่าความน่ากลัวของเรือผีลำนั้นกลับทำให้คนทั้งสามเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วราวนกที่ตกใจกลัวคันธนู
ระยะเดินทางหนึ่งวัน พวกเขาได้เดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว หากยังบินไปด้วยความเร็วเช่นนี้อีกหนึ่งถึงสองชั่วยามก็จะพ้นไปจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตได้ อีกทั้งทะเลกระดูกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็เบาบางลงไปเยอะมาก ทั้งยังเผยให้เห็นพื้นดินสีดำด้านในที่ถูกปูทับไปด้วยกระดูกแล้วบางส่วน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ในใจก็ให้ฮึกเหิม ใจอยากจะแล่นออกไปจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตนี่เสียเดี๋ยวนี้ ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพราะภาพที่ตัวเองสติเลอะเลือนก่อนหน้านี้ได้สร้างความหวาดกลัวถึงขีดสุดให้กับพวกเขา
ทว่าขณะที่คนทั้งสามกำลังห้อตะบึงไปข้างหน้า ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหน้าเปลี่ยนสี และเวลานี้เอง เสียงเพลงที่หายไปนาน…กลับดังแว่ววังเวงมาจากไอหมอก ดังมาจากทะเลกระดูกด้านหลังพวกเขาอีกครั้ง!
ภาพเหตุการณ์นี้พิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำให้คนทั้งสามขนลุกขนชัน ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อก็ยิ่งหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ
“สมควรตายนัก ทำไมเรือผีลำนั้นถึงมาอีกแล้ว!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ พอแผดเสียงคำรามดังลั่นก็ระเบิดความเร็วจนถึงขีดสุด คว้าจับซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อหมายเผ่นหนีไปโดยเร็ว
ทว่าเรือผีลำนั้นก็ไม่ได้ไล่ตามมาในทันที เพียงแค่ปรากฏตัวแวบหนึ่งแล้วหายตัวไปในระยะทางที่ห่างจากพวกเขาประมาณพันจั้ง แต่สำหรับพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนแล้ว นี่ยิ่งเป็นการสร้างแรงกดดันหนักอึ้งให้กับหัวใจของพวกเขา!
พวกเขารู้ดีว่าก่อนหน้านั้นเรือลำนี้เคยปรากฏตัวมาแล้วสี่ครั้ง ครั้งแรกหายไปในระยะพันจั้ง ส่วนครั้งที่สี่นั้นได้ย้ายร่างพวกเขาขึ้นไปบนเรือ และตอนนี้เมื่อมันปรากฏตัวก็ได้อยู่ห่างไปพันจั้งพอดี พวกเขาไม่คิดไม่ได้ว่าอีกหนึ่งถึงสองชั่วยามข้างหน้า เรือผีนั่นจะยังปรากฏตัวอีกหรือไม่
ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนไร้อารมณ์ที่จะพูดคุยกัน แต่ละคนสีหน้าหนักอึ้ง ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทุ่มกำลังทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไป ทว่าผ่านไปได้แค่หนึ่งก้านธูป จู่ๆ เสียงเพลงกลับดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมครั้งนี้ถึงได้กลับมาเร็วนัก!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเกือบจะสะดุ้งโหยง หัวใจของเขาแกว่งไกวอย่างรุนแรง ห่างออกไปห้าร้อยจั้งด้านหลังพวกเขา เรือลำนั้นพลันปรากฏกายแล้วหายวับไปอีกครั้ง
เมื่อมองเห็นเรือผีลำนี้อีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นชัดเจนแล้วว่าเรือลำใหญ่มหึมานี้ไม่มีทางมีแค่สองชั้นเท่านั้น ดูจากท่าทางแล้ว เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องมีประมาณห้าชั้น แต่หากพวกเขาถูกย้ายขึ้นไปบนเรืออีกครั้ง ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีป้ายคำสั่งของคนเฝ้าสุสานอยู่ในมือ เขาก็ยังไม่มีความมั่นใจอยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อเลย เวลานี้พวกเขาใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว ทั้งร้อนรนทั้งลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
“ผิดปกติ นี่ต้องมีปัญหาแน่ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจถี่รัว ไม่ทันมีเวลาให้ครุ่นคิดอย่างละเอียด พอหมุนตัวได้ก็โกยแนบทันที แต่กระนั้นในใจกลับหดเกร็ง เรือผีลำนั้นน่ากลัวเกินไป อีกทั้งการที่อีกฝ่ายไล่ตามมาโจมตีเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาบังเกิดความกดดันหนักอึ้งอย่างที่ยากจะบรรยาย
ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อก็ยิ่งอาการหนักเข้าไปใหญ่ เพียงแต่ว่า…เรือผีลำนั้นกลับเหมือนตามติดเป็นเงา เพราะเพียงแค่ครึ่งก้านธูปต่อมา มันก็ปรากฏตัวเป็นครั้งที่สาม และการปรากฏตัวครั้งนี้ก็อยู่ห่างจากพวกเขาแค่หนึ่งร้อยจั้งเท่านั้น!!
โครงกระดูกนับหมื่นดึงลากเรือผีให้ตรงดิ่งเข้ามาหาพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน พลังอำนาจที่พวกมันแผ่ออกมาทั้งอึมครึมทั้งวังเวง อีกทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะหายไปอย่างก่อนหน้านี้อีกด้วย ราวกับว่าพวกมันกำลังจะพุ่งเข้ามาชนพวกเขาโดยไม่สนใจสิ่งใด อีกทั้งธงสามผืนบนเสากระโดงเรือก็ยังโบกสะบัดด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีลม ยิ่งใบหน้าผีร้ายตรงกลางสุดก็ยิ่งแสยะยิ้ม ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของมัน สิ่งที่เห็นมีเพียงความชั่วร้ายน่าสยดสยอง
มองเรือลำนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้บังเกิดความสิ้นหวัง หลังจากกวาดตามองธงทั้งสามผืน สายตาของเขาก็ไปตกอยู่บนประตูใหญ่ของลำเรือโดยอัตโนมัติ การมองครั้งนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างทันที เขาสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว ในสมองพลันมีความคิดอย่างหนึ่งลอยขึ้นมา เขาไม่มีเวลามามัวคิดมาก พอเห็นวิกฤตคับขัน เขาก็พลันคว้าร่างเสินซ่วนจื่อมาใกล้แล้วตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย
“เสินซ่วนจื่อ รีบเอากระจกแปดเหลี่ยมบนเรือที่เจ้าเก็บไปก่อนหน้านี้ออกมาคืนเร็วเข้า!!”
หลังจากได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งเชวียที่นึกเรื่องที่เสินซ่วนจื่อเก็บกระจกแปดเหลี่ยมไปขึ้นมาได้จึงรีบคำรามผสานเสียงกับป๋ายเสี่ยวฉุน
เสินซ่วนจื่อสั่นไปทั้งหัวใจ ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่มีเวลามามัวเสียดาย เขารีบหยิบเอากระจกแปดเหลี่ยมที่โบราณเก่าแก่ออกมาจากในถุงเก็บของ ชั่วพริบตาที่เรือลำนั้นดิ่งเข้ามาหมายชนคนทั้งสาม เขาก็พลันขว้างกระจกในมือไปที่เรืออย่างแรง
กระจกแปดเหลี่ยมบานนั้นกลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ตรงดิ่งเข้าหาลำเรือ ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือวินาทีที่กระจกบานนี้ขยับเข้าไปใกล้เรือกลับเหมือนถูกพลังไร้รูปลักษณ์ขุมหนึ่งดึงดูดให้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมอย่างแม่นยำราวจับวาง!
วินาทีที่กระจกกลับไปอยู่ที่เดิม ในบรรดาธงสามผืนที่โบกสะบัดไร้ลม ธงซ้ายและธงขวากลับร่วงดิ่งลงมา ส่วนใบหน้าผีที่อยู่บนธงตรงกลางสุดกลับร้องคำรามอย่างเจ็บใจ ก่อนจะหยุดสะบัดช้าๆ
และเวลานี้เอง โครงกระดูกนับหมื่นและเรือผีซึ่งอยู่ห่างจากด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนไปไม่ถึงห้าสิบจั้งกลับพลันพร่าเลือนแล้วหายวับไปท่ามกลางหมอกควัน ไม่เหลือร่องรอยอีกต่อไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนยังตื่นตระหนกไม่คลาย รีบถอยกรูดไปข้างหลัง ผ่านไปพักใหญ่ รอจนแน่ใจแล้วว่าเรือลำนั้นหายไปจริงๆ คนทั้งสามถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา ซ่งเชวียที่รอดพ้นความตายมาได้หวุดหวิดหันขวับมากระชากคอเสื้อเสินซ่วนจื่อแล้วแผดเสียงอย่างเดือดดาล
“เจ้าเกือบจะเล่นงานพวกเราจนตายกันหมดแล้ว!”
“พวกเจ้าจะตะโกนอะไรกันนักหนา ข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย…ใครจะไปรู้ว่าเรือผีนั่นจะขี้เหนียวขนาดนี้ มันฮุบเอาเหรียญทองแดงของข้าไปก่อนนะ ข้าก็แค่เอากระจกมันมาแทนเท่านั้น…” เสินซ่วนจื่อเองก็ยังตัวสั่นไม่หาย พอถูกซ่งเชวียแผดเสียงใส่ เขารู้สึกเสียหน้าจึงโต้กลับไป ทว่าพูดได้ไม่กี่คำ ด้วยความร้อนตัว เสียงของเขาจึงยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากออก ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อันตรายเกินไปแล้ว เขาครุ่นคิดว่าหากเสินซ่วนจื่อไม่โยนกระจกทองแดงกลับไป เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงได้ขึ้นไปอยู่ในเรืออีกครั้ง
“เอาล่ะ ไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” พอเห็นว่าซ่งเชวียร้องคำราม เสินซ่วนจื่อเองก็มีสีหน้าเหมือนคนไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบปราม ก่อนจะขยับร่างห้อตะบึงไปเบื้องหน้า ซ่งเชวียถลึงตาดุดันมองเสินซ่วนจื่อหนึ่งที ครั้นจึงฮึดฮัดปล่อยมือออกจากร่างของอีกฝ่ายแล้วทะยานไปต่ออย่างรวดเร็ว
เสินซ่วนจื่อยกมือลูบคลำจมูกอย่างเก้อๆ แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือความหวาดผวา จึงรีบตามคนทั้งสองไปติดๆ
คราวนี้เรือลำนั้นไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีก ครึ่งชั่วยามต่อมา ทะเลกระดูกใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสามก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปหมดในที่สุด หลังจากที่พวกเขาข้ามผ่านเทือกเขาเส้นหนึ่งมาก็รู้สึกเพียงว่าร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ตลอดทั้งร่างพลันรู้สึกผ่อนคลายโล่งสบาย เป็นความรู้สึกเหมือนได้กลับออกมาจากโลกอีกใบหนึ่ง
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้คนทั้งสามตระหนักได้ทันทีว่าในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจาก…เขตต้องห้ามแห่งชีวิตแล้ว!
“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!” เสินซ่วนจื่อตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซ่งเชวียรีบหอบเอาอากาศบริสุทธิ์ของที่แห่งนี้ไปอย่างโลภมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้าน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม ไม่มีความแห้งแล้งแตกระแหงใดๆ ให้เห็น แล้วก็ไม่มีพืชพรรณที่มองดูแล้วดุร้ายน่ากลัว มีเพียงต้นไม้เขียวขจี บุปผาชูช่องดงามคลอเคล้าไปด้วยเสียงนกร้องชวนฟัง เมื่อเทียบกับแดนทุรกันดารแล้ว สถานที่แห่งนี้จึงเป็นดั่งดินแดนแห่งเซียน
เสียงนกร้องที่ดังแว่วมาแต่ไกล อีกทั้งยังมีสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ดวงตากลมโต หน้าตาน่ารักอย่างกวางตัวน้อยที่วิ่งทะเล่อทะล่าออกมาจากป่าด้านข้าง และพอเห็นคนทั้งสามก็เหมือนตกใจจึงรีบวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานอย่างถึงที่สุด เขาสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้แตกต่างไปจากแดนทุรกันดารอย่างสิ้นเชิง…ที่แห่งนี้มีพลังวิญญาณของมหาสมุทรทงเทียน!!
ต่อให้พลังวิญญาณของที่นี่จะไม่ได้มากนัก แต่เมื่อเทียบกับแดนทุรกันดารแล้วก็ยังเข้มข้นจนไร้คำบรรยาย เขาอดที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ไม่ได้ และทันใดนั้นทั่วร่างของเขาก็มีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมา พลังทุกขุมที่สูญเสียไปพลันฟื้นคืนกลับมามากถึงเก้าส่วนกว่า
“ปราณวิญญาณเอ๋ย ข้าไม่ได้สูดเจ้าอย่างเต็มอิ่มเช่นนี้มานานเหลือเกินแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ช่วงเวลาหลายปีที่เขาอยู่ในแดนทุรกันดาร เขาเกือบจะลืมสภาพการณ์ของเขตแม่น้ำทงเทียนไปแล้ว ตอนนี้ถึงแม้จะอยู่ที่แม่น้ำตอนปลาย ทว่าเขาก็ยังพึงพอใจอย่างถึงที่สุด
เสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของปราณวิญญาณอย่างฉับไวไม่ต่างกัน คนทั้งสองตัวสั่นสะท้าน ทั้งยังรู้สึกสับสนไม่น้อย ความรู้สึกที่เหมือนหลุดออกมาจากโลกอีกใบเด่นชัดมากเป็นพิเศษ
“กลับมาแล้ว พวกเรากลับมาแล้ว!”
“สำนักสยบธาร พวกเรากลับมาแล้ว!!”
“ฮ่าๆ เชวียเอ๋อร์ หึหึจื่อ ตามผู้มากพรสวรรค์เช่นข้ามา ข้าจะพาพวกเจ้า…กลับบ้าน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเรือบินลำหนึ่งก็ลอยออกมา เรือบินลำนี้คือวัตถุที่สำนักสยบธารมอบไว้ให้เขาในปีนั้น เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดาร เนื่องจากไม่มีปราณวิญญาณที่มากพอ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้เอาออกมาใช้นานแล้ว
ตอนนี้พอได้กลับคืนสู่พื้นที่เขตแม่น้ำทงเทียน เรือบินก็ดูดซับเอาปราณวิญญาณมาโคจรพลังด้วยตัวเอง และเมื่อมันปรากฏตัวก็มีแสงเจิดจ้าสาดส่องไปรอบด้าน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดผลุงขึ้นไปยืนอยู่บนเรือ ส่วนซ่งเชวียเองก็ไม่ได้สนใจคำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกขานตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เวลานี้ด้วยความดีใจอยากกลับคืนสู่สำนักสยบธาร ใจที่อยากกลับบ้านเหมือนธนูที่พุ่งออกจากแล่งเร่งเร้าให้เขาบินตามขึ้นไปทันควัน
เสินซ่วนจื่อเองก็ไม่ต่างกัน หลังจากเขาขึ้นมาบนเรือด้วยความฮึกเหิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บังคับเรือ ระเบิดตบะที่เทียบเคียงได้กับคนฟ้าของตัวเองออกมา เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง เรือลำนี้ก็พลันทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด พริบตาเดียวก็ลอดทะลวงความว่างเปล่า ตรงดิ่งไปยังเส้นขอบฟ้า!