บทที่ 865 พวกเจ้ากล้ารึ
“แต่ว่าพวกเขามีคนฟ้าถึงสามคนเชียวนะ!” ในใจโหวอวิ๋นเฟยให้รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“คนฟ้า…สามคน?” เสินซ่วนจื่อลังเลไปครู่หนึ่ง ขณะที่ในใจเกิดความไม่แน่ใจ ซ่งเชวียที่ห้อตะบึงห่างไปไกลไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมา กระนั้นก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงดังก้องกังวาน
“ขอแค่ไม่ใช่คนฟ้าช่วงท้าย เมื่ออยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีจุดจบอนาถไม่ต่างกันอยู่ดี!”
ทุกคนไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งและความน่ากลัวตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในแดนทุรกันดาร ต่อให้เป็นเสินซ่วนจื่อเองก็ยังได้แต่ฟังคำคุยโวจากป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นเองกับตา ทว่าซ่งเชวียที่อยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนมาอาจไม่ถึงกับรู้ทุกเรื่องอย่างละเอียด แต่ก็แทบไม่มีความต่างเท่าไหร่นัก
มีครึ่งเทพเป็นพ่อตา ลูกศิษย์เป็นจักรพรรดิหมิง นี่ยังเป็นเพียงแค่ตัวตนภายนอกของเขาเท่านั้น อีกทั้งตอนที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุย อีกฝ่ายยังเคยประมือกับคนฟ้าทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เป็นศัตรูกับขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก เดินทางไปทั่วแดนทุรกันดาร ไม่เพียงแต่ไร้ความเสียหายใดๆ ตบะกลับยิ่งไต่ทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง คนแบบนี้…มีหรือจะกริ่งเกรงคนฟ้ากระจอกๆ แค่สามคน?
แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศึกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนประมือกับสตรีธุลีแดงซึ่งซ่งเชวียเป็นประจักษ์พยานมากับตาตัวเอง ศึกนั้นแม้ว่าทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนและสตรีธุลีแดงต่างก็ไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง ทว่าการต่อสู้ด้วยเวทอาคมของคนทั้งสอง ในสายตาของนักพรตก่อกำเนิดช่วงต้นอย่างซ่งเชวีย พลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนนับว่าแซงหน้าก่อกำเนิดทั่วไปนานแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าคนฟ้าทั่วไปด้วย!
เพราะอย่างไรซะสตรีธุลีแดงก็เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแดนทุรกันดาร เป็นธิดาของราชาผียักษ์ ทั้งยังมีตบะคนฟ้าที่ขยับเข้าใกล้ช่วงกลางทุกขณะ!
ดังนั้นพอได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างร้อนใจของโหวอวิ๋นเฟย ต่อให้ในใจซ่งเชวียจะเกลียดขี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นคนรู้อะไรควรไม่ควร ประโยคนั้นที่เขาพูดออกมาก็ยิ่งเด็ดเดี่ยว พอดังไปแปดทิศ จิตใจของทุกคนที่ได้ยินจึงสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาอ้าปากกว้างตาค้าง ขณะเดียวกันก็ยิ่งมากด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ!
เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว คนฟ้า…ก็คือบุคคลที่สูงส่งเกินทัดเทียม ไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถเขย่าคลอนฟ้าดิน กำราบทุกสรรพสิ่งให้ยอมศิโรราบ!
“ถูกต้อง ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนตามไปทัน ทุกอย่างก็คลี่คลายได้!” เสินซ่วนจื่อเองก็รีบเอ่ยปลอบใจ ก่อนจะหมุนตัวตามซ่งเชวียมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของสำนักสยบธาร
ในค่ายกลเบื้องหลังของพวกเขา ในหัวสมองของโหวอวิ๋นเฟยยังคงมีคำพูดประโยคนั้นของซ่งเชวียดังสะท้อน แม้เขาจะเชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางหุนหันพลันแล่นขาดสติ แล้วก็มองออกว่าตบะของซ่งเชวียเองก็เลื่อนสู่ก่อกำเนิดแล้ว ทว่าการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แยแสคนฟ้าสามคนของแม่น้ำตอนกลางเช่นนี้ก็ยังคงทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี
“นี่คือเรื่องจริงงั้นหรือ…” ขณะที่โหวอวิ๋นเฟยกำลังสูดลมหายใจเข้าลึก รวมโอสถหลายคนที่อยู่ข้างกายเขา จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งในที่พลันเบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงหลง
“ข้านึกออกแล้ว เขา…เขาก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่…ในตำนานผู้นั้น!! ว่ากันว่าที่ตอนนี้ไก่หางวิเศษเหลือน้อยยิ่งกว่าน้อยก็เพราะฝีมือเขา!”
“สวรรค์ ข้าก็นึกออกแล้ว เขาก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน?!! สาเหตุที่หุบเขาหมื่นอสรพิษไม่เหลืองูแม้แต่ตัวเดียวก็เป็นเพราะเขาเหมือนกัน!”
“ผู้ที่ริเริ่มความคิดให้สี่สำนักใหญ่รวมเป็นหนึ่ง ก่อตั้งสำนักสยบธาร ทั้งยังเป็นจิตวิญญาณและความหวังแห่งสำนักสยบธาร ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่ง…
อีกทั้งภายหลังยังเป็นตัวประกันเข้าไปอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ตอนอยู่กำแพงเมืองได้กลายมาเป็นผู้บังคับกองหมื่น สุดท้ายหายตัวไปในแดนทุรกันดาร…ป๋ายเสี่ยวฉุน!”
ขณะที่เสียงอุทานของนักพรตรวมโอสถเหล่านั้นทยอยกันดังออกมา ลูกศิษย์สำนักธาราเทพที่อยู่รอบด้านก็เริ่มนึกถึงชื่อที่คุ้นหูนี้ขึ้นมาได้
ทุกคนพากันสูดลมหายใจดังเฮือกๆ พวกเขาร้องเสียงหลงดังขึ้นลงเป็นทอดๆ เพราะว่าชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนในสำนักธาราเทพนั้นโด่งดังมากเกินไป
เรื่องทั้งหลายทั้งแหล่ที่เขาเคยทำลงไปในอดีต ตอนนี้ได้กลายมาเป็นเทพนิยายที่ถูกเล่าสู่กันปากต่อปากในบรรดากลุ่มของลูกศิษย์ระดับล่างจำนวนนับไม่ถ้วน
และขณะที่ทุกคนของสำนักธาราเทพตื่นตะลึงกันอย่างหนักนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังเดือดดาล ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสีแดงฉาน ตบะของเขาระเบิดออกครบทุกด้าน ยามนี้เรือบินที่ถูกเขาบังคับได้แล่นทะยานมุ่งหน้าไปยังสำนักสยบธารด้วยความเร็วอย่างที่มิอาจบรรยายได้
“ท่านลุงหลี่ ศิษย์พี่เจ้าสำนัก บุรพาจารย์ธาราเทพ บุรพาจารย์ธาราโลหิต…พวกท่านต้องยืนหยัดให้ได้นะ!!”
“จวินหว่าน เสี่ยวเม่ย…”
“เถี่ยตั้น…” เงาร่างมากมายผุดขึ้นมาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม ตอนนี้เขาไม่มัวมาสนใจความเป็นความตายของตัวเองอีกแล้ว แม้ว่าเขาจะกลัวตาย แต่เขาก็มิอาจทนมองสำนักตกอยู่ในอันตรายแล้วหนีเอาตัวรอดได้
ตอนที่เขายังเด็กและอ่อนแอเคยได้รับการปกป้องจากสำนัก และเขาในวันนี้ก็มีคุณสมบัติที่จะ…เป็นฝ่ายปกป้องสำนักบ้างแล้ว!
ป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกว่าความเร็วเท่านี้ช้าเกินไป
บวกกับที่ไม่มีซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่ออยู่บนเรือ เขาจึงไม่จำเป็นต้องระวังว่าคนทั้งสองจะแบกรับได้ไหวหรือไม่ หลังจากนัยน์ตาส่องประกายวาบ เขาก็เริ่มพาเรือบินให้หายตัวไปพร้อมกัน!
เสียงตูมตามดังกึกก้องไปทั่วนภากาศ ทุกครั้งที่หายตัวไป เรือบินลำนั้นจะข้ามผ่านความว่างเปล่า เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็ห้อทะยานต่อไปไม่หยุดยั้ง ผ่านไปพักหนึ่งก็หายตัวไปอีก!
การเผาผลาญพลังงานอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ทำให้ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดิมทีก็อยู่ในระดับน่าตะลึงมากพออยู่แล้วยิ่งระเบิดรุนแรงขึ้นไปอีก อีกทั้งความเร็วนี้ยังเหนือกว่าคนฟ้าทั่วไปแล้วด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นคนฟ้าช่วงกลางเองก็ยังมิอาจตามได้ทัน เรียกได้ว่าขยับเข้าไปใกล้ระดับความเร็วของคนฟ้าช่วงท้ายมากแล้ว
เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปตลอดทาง ข้ามผ่านเขตชายแดนระหว่างแม่น้ำตอนล่างกับแม่น้ำตอนกลาง ก้าวเข้าสู่แม่น้ำตอนกลางอย่างเต็มรูปแบบ ยิ่งขยับเข้าไปใกล้…สำนักสยบธารมากขึ้นเรื่อยๆ!
และสำนักสยบธารในเวลานี้ก็อยู่ในช่วงเวลาที่มรสุมพัดผ่านรุนแรง แสงของเวทคาถาจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายเต็มท้องฟ้า เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ต่อให้อยู่ห่างไกลมากก็ยังได้ยิน ทอดสายตามองไป บริเวณแห่งนั้นเต็มไปด้วยนักพรตนับแสนคนที่มาจากสามสำนัก ซึ่งเวลานี้กองทัพของพวกเขาที่แบ่งออกเป็นสามทิศทางกำลังรุกคืบเข้าโจมตีอย่างเต็มกำลัง
ภายใต้การรุกโจมตีนี้ สำนักสยบธารไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกสามฝ่ายแม้แต่น้อย พวกเขาทำได้เพียงถอยร่นอย่างต่อเนื่อง อาศัยค่ายกลมาประคองลมหายใจของตัวเอง เพียงแต่ว่าการบาดเจ็บและล้มตายกลับยังคงเกิดขึ้นในทุกเวลานาที
ปานประหนึ่งยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ หลงเหลือเพียงลมหายใจและปณิธานสุดท้ายเฮือกที่ประคับประคองเขาเอาไว้!
ค่ายกลที่เกิดจากต้นมะเดื่อฟ้ายามนี้เต็มไปด้วยหลุมและรูจำนวนนับร้อยนับพัน มันบิดเบือนอย่างต่อเนื่องพร้อมๆ กับรอยแตกรอยแล้วรอยเล่าที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกครั้งที่มีรอยแตกปรากฎขึ้นก็ล้วนทำให้ลูกศิษย์สายธาราทมิฬที่ค้ำประคองค่ายกลกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ทว่าพวกเขากลับยังคงร้องคำรามแล้วลงมือซ่อมแซมค่ายกลต่อโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ไม่นานนัก เกรงว่าไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็คงยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป!
ส่วนลูกศิษย์สำนักธาราโอสถก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงอย่างถึงที่สุด พวกเขาคอยเดินอยู่ด้านในและด้านนอกค่ายกล คอยออกไปช่วยลูกศิษย์ของสามสาย ช่วยพวกเขารักษาอาการบาดเจ็บ อีกทั้งเมื่อถึงเวลาคับขัน พวกเขาก็ยังบุกออกไปเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมหาญ
ที่เจ็บหนักและน่าเวทนาที่สุดก็คือสายของธาราเทพและธาราโลหิต พวกเขาคือกองกำลังหลักของสำนักสยบธารจึงเป็นฝ่ายที่ได้รับการโจมตีหนักสุด ยักษ์ค่ายกลทั้งหมดของสายธาราเทพตอนนี้เหลือไม่ถึงสามในสิบ ร่างของพวกเขาทยอยกันแตกทลาย ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านในก็กระอักเลือดกันอย่างบ้าคลั่ง
ซ่างกวานเทียนโย่วดวงตาแดงก่ำคล้ายเจ็บแค้นถึงขีดสุด เป่ยหันเลี่ยก็เป็นเช่นเดียวกัน ดวงตาของเขามีน้ำตามาเอ่อคลอ เสียงคำรามที่แผดออกมาแหบพร่าราวกับคนเสียสติ
และยังมีลูกศิษย์สายธาราเทพอีกมากมายที่ต่างก็คลุ้มคลั่ง ส่วนสายธาราโลหิตก็ไม่ต่างกัน ศพผีก็ดี หัวปีศาจก็ช่าง และยังมีบุตรโลหิตของแต่ละยอดเขาที่ต่างก็มีทั้งคนที่บาดเจ็บและล้มตาย!
มีเพียงกระบี่โลหิตของสำนักจงเฟิงเท่านั้นที่ยังคงคอยควบคุมสถานการณ์การสู้รบให้ดำเนินต่อไป
ขณะเดียวกันภายใต้การประคับประคองจากซ่งจวินหว่านร่วมกับอู๋จี๋จื่อและเซวี่ยเหมย ด้านหนึ่งพวกเขาก็คอยต้านทานศัตรู อีกด้านหนึ่งก็พยายามช่วยเหลือนักพรตที่อยู่ข้างกาย
ความเหนื่อยล้าของซ่งจวินหว่านไต่ทะยานไปถึงขีดสูงสุด บาดแผลของนางอาการสาหัสมาตั้งนานแล้ว มีอยู่หลายครั้งที่ถูกคนของสายธาราโอสถช่วยป้อนยาให้ แต่ถึงกระนั้นตอนนี้นางก็ยังหมดแรงไร้กำลัง ดวงตาเริ่มฉายแววสิ้นหวัง
ทอดสายตามองไปทั้งสนามรบ หุ่นไล่การ่างแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระอาทิตย์สีดำและสีขาวก็แตกกระจายกลายเป็นเศษเสี้ยว อีกาที่อยู่ด้านในตายไปอย่างน่าสลดใจ แม้แต่มังกรเฒ่าตัวนั้นก็ยังหายใจรวยริน มีเพียงเถี่ยตั้นที่ยังคงร้องคำราม วิ่งพล่านไปทั่วด้านเพื่อให้ความช่วยเหลือทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง
ส่วนศึกของก่อกำเนิด สำนักสยบธารก็ยิ่งพ่ายแพ้ราบคาบ อีกทั้งยังไม่สามารถแบ่งสนามรบไปสู้กันตัวต่อตัวได้ ทำได้เพียงทะยานลอดไปตามกลุ่มคน คอยต้านทาน คอยเข่นฆ่าไม่หยุดพัก
เมื่อมองไกลๆ สามสำนักใหญ่ของแม่น้ำตอนกลางเป็นราวกับมือใหญ่ยักษ์สามมือที่กดทับลงมาบนสำนักสยบธารอย่างต่อเนื่อง และบนท้องฟ้า ปราณของคนฟ้าสามท่านก็ยิ่งพวยพุ่งน่าครั่นคร้าม
“ค่ายกลนี่พังไปได้พอสมควรแล้ว…”
“ศึกนี้มิอาจถ่วงเวลาให้ล่าช้า เพราะอย่างไรซะก็ใช่ว่าทุกคนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ของพวกเรา หากยังมัวถ่วงเวลาให้ล่าช้า เกรงว่าอาจมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
“ก็ดี พวกเราสามคนลงมือพร้อมกัน ทำลายค่ายกลนี่ทิ้งซะ จากนั้นก็ลบชื่อสำนักสยบธาร…ออกไปจากพื้นที่แม่น้ำตอนกลางของพวกเรา!”
บนท้องฟ้า บุรพาจารย์คนฟ้าสามท่านจากสามสำนักใหญ่หันมามองหน้ากัน ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็ฉายแววคมกริบ ทั้งสามพลันลงมือพร้อมกัน ปราณกระบี่แหวกนภาหนึ่งเส้น มือใหญ่ปิดแผ่นฟ้าหนึ่งข้าง เมฆอสนีควันดำหนึ่งผืนล้วนปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกันแล้วตรงดิ่งไปยังค่ายกล!
ความเร็วนั้นมากจนทุกคนของสำนักสยบธารทำได้เพียงมองอย่างสิ้นหวัง เสียงกัมปนาทดังอึกทึก เวทอภินิหารเหล่านั้นกระแทกตูมลงมาบนต้นมะเดื่อฟ้า ค่ายกลที่เกิดจากต้นมะเดื่อฟ้าซึ่งเดิมทีก็ส่ายไหวจะล้มมิล้มแหล่อยู่แล้ว มาบัดนี้จึงประคองตัวไม่ไหวอีกต่อไป เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ค่ายกลนั้นก็ระเบิดออกอย่างสมบูรณ์แบบ!
เมื่อค่ายกลถูกทำลาย นักพรตนับแสนที่อยู่รอบด้านก็พลันโห่ร้องห้าวเหิมแล้วบุกกระโจนเข้าไปพร้อมกัน พริบตานั้นสำนักสยบธารได้แต่ถอยร่นไม่เป็นกระบวนท่า ส่วนเงาร่างของคนฟ้าสามคนก็พลันพุ่งทะยานเข้ามายังสำนักสยบธาร ทว่ากลับมีคนขัดขวางพวกเขา และคนที่ขัดขวางนั้นก็คือเถี่ยตั้นที่บินทะยานออกมาพร้อมร้องคำรามเดือดดาล
และยังมีร่างของบรรพบุรุษโลหิตที่เวลานี้พลันลืมตา ลุกขึ้นยืนพร้อมเสียงครืนครั่น ทั้งยังมีลิงตัวหนึ่ง กระต่ายตัวหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่คนฟ้าทั้งสามด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ บุรพาจารย์สำนักธาราเทพเองก็กระโจนเข้าไปขัดขวางอย่างไม่กลัวตายเช่นกัน!
ทั้งสำนักเผชิญกับวิกฤตร้ายแรง!
ลูกศิษย์สายธาราเทพและสายธาราโลหิตทุกคนที่เผชิญกับการดาหน้ารุกเข้ามาโจมตีของศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้แต่ถอยร่นอย่างสิ้นหวัง ส่วนซ่งจวินหว่านนั้นก็มีนักพรตก่อกำเนิดห้าคนที่จ้องหมายหัวอยู่นานแล้ว เวลานี้คนทั้งห้าจึงพุ่งทะยานเข้าใส่ซ่งจวินหว่าน หมายจะทำลายกระบี่โลหิตให้สิ้นซาก หวังสังหารอู๋จี๋จื่อ สังหารซ่งจวินหว่านที่เป็นคนควบคุมกระบี่โลหิตของสำนักจงเฟิง!
ซ่งจวินหว่านยิ้มขื่นอย่างเศร้าอาดูร เมื่อเห็นว่าผู้แข็งแกร่งก่อกำเนิดห้าคนทะยานเข้ามาหาอย่างเหี้ยมหาญ เมื่อเห็นว่าอู๋จี๋จื่อเองก็กระอักเลือดอย่างรุนแรง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ดวงตาของนางก็พลันฉายแววสิ้นหวังเหมือนคนมองเห็นความตาย ทว่าเวลานี้เอง…ทันใดนั้นตรงขอบฟ้าก็มีเสียงร้องคำรามที่แฝงเร้นไปด้วยความเดือดดาล แต่มากด้วยความร้อนใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ดังกระหึ่มขึ้นมา เสียงนั้นดั่งอสนีบาตที่ผ่าเปรี้ยงลงมาทำให้ลมและเมฆเปลี่ยนสี ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงนั้นดังเกริกก้องและพลานุภาพของเสียงก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม เขย่าคลอนไปทั้งสนามรบ!
“พวกเจ้ากล้ารึ!!