Skip to content

A Will Eternal 866

บทที่ 866 เขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงนี้ดังออกมาก็คล้ายจะเขย่าคลอนโลกทั้งใบของแม่น้ำตอนกลาง

นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนของสองฝ่ายที่กำลังประมือกันต่างตื่นตะลึง ในสมองมีเสียงดังอึงอล ทว่าในบรรดาคนเหล่านี้ผู้ที่มีปฏิกิริยาตอบกลับเร็วที่สุดก็คือ เถี่ยตั้น วินาทีที่มันได้ยินเสียงนี้ ร่างทั้งร่างของมันก็พลันสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะแผดเสียงร้องคำรามด้วยความห้าวเหิม นัยน์ตาฉายความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง

และยังมีซ่งจวินหว่านอีกคนที่หลังจากหายอึ้ง ไอแห่งความตายที่กลบทับอยู่เต็มดวงตาก็ถูกความเหลือเชื่อเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว สายตาของนางจ้องเขม็งไปยังริมขอบฟ้าที่ห่างออกไปไกล มองไปยังเงาร่างที่ยืนอยู่บนเรือบินซึ่งร่ายความเร็วสูงสุดแหวกอากาศทะยานเข้ามาใกล้!

เพียงแต่ว่าอาณาบริเวณของสนามรบที่บรรจุคนได้หลายแสนคนแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป นักพรตสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็มีมากเกินจะนับ

ต่อให้เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนจะดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพีแค่ไหน แต่อย่างมากที่สุดก็เหมือนเป็นแค่หินก้อนใหญ่ที่ตกลงไปในทะเลสาบเท่านั้น แม้จะทำให้วงน้ำกระเพื่อมแผ่ออกไปได้ไม่น้อย ทว่าในหัวใจของคนมากมายต่างก็ไม่คิดว่าวงคลื่นเล็กๆ นี้จะซัดฮือโหมขึ้นมาเป็นคลื่นยักษ์ได้

อีกทั้งยังมีนักพรตหลายร้อยคนของสามสำนักซึ่งอยู่รอบนอกของสนามรบที่เปลี่ยนทิศทางปรี่ขึ้นหน้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห้อทะยานเข้ามา หมายจะสกัดกั้นเขาเอาไว้ ทั้งยังมีนักพรตก่อกำเนิดสองคนของสามสำนักที่ก้าวมาจากทิศทางที่ต่างกัน เตรียมพุ่งเข้าประหัตประหารป๋ายเสี่ยวฉุน

ต่อให้เป็นซ่งจวินหว่านเองที่พอความตื่นเต้นจางหายไป นางก็ยังคิดว่าการมาของป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ กลับกลายเป็นทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ส่วนนักพรตก่อกำเนิดห้าคนที่อยู่รอบกายของนางก็ยิ่งแค่นเสียงเย็นอย่างดูแคลน หลังจากหยุดชะงักไปครู่สั้นๆ พวกเขาก็ร่ายใช้ความเร็วพุ่งกระโจนเข้ามาดังเดิม ทั้งมีสองคนที่แยกตัวไปล้อมโจมตีอู๋จี๋จื่อที่บาดเจ็บสาหัสทันที ส่วนสามคนที่เหลือนั้นตรงดิ่งเข้าหาซ่งจวินหว่าน!

ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะกระบี่โลหิตของเขาจงเฟิงที่ซ่งจวินหว่านเป็นคนควบคุมมีพลังการต้านทานที่แน่นอนสำหรับก่อกำเนิด ทว่าประเด็นสำคัญที่สุดก็คือค่ายกลกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของซ่งจวินหว่านที่อยู่บนกระบี่โลหิตเขาจงเฟิง รวมไปถึงลูกศิษย์เขาจงเฟิงจำนวนไม่น้อยที่อยู่ข้างกายนางนี้ได้สร้างพลังการทำลายล้างที่น่าหวาดกลัวต่อนักพรตที่อยู่ต่ำกว่าก่อกำเนิดลงไป

เมื่อมีกระบี่โลหิตของเขาจงเฟิงนี่อยู่ ลูกศิษย์ของสามสำนักจึงถูกสกัดขวางตลอดทาง มีเพียงสังหารนางให้ได้เท่านั้นถึงจะทำให้ลูกศิษย์ของสามสำนักสามารถบุกตะลุยไปข้างหน้าได้ในเวลาสั้นๆ และสามารถบุกเข้าไปสังหารถึงในสำนักสยบธารได้รวดเดียว

นักพรตก่อกำเนิดสามคนนั้นระเบิดความเร็วขยับเข้ามาใกล้พร้อมเสียงแหวกอากาศ ส่วนลูกศิษย์เขาจงเฟิงที่อยู่รอบกายของซ่งจวินหว่านซึ่งต่อให้เป็นตอนที่มีพลังเปี่ยมล้นก็ยังมิอาจขัดขวางได้ มาตอนนี้ก็ยิ่งได้แต่มองนักพรตก่อกำเนิดสามคนขยับเข้าไปโอบล้อมซ่งจวินหว่านในชั่วพริบตา ได้แต่ทนมองให้ซ่งจวินหว่านตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม อยู่ระหว่าง…เส้นคั่นความเป็นและความตาย!

ราวกับว่าทุกคนล้วนไม่มีกำลังมากพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้…

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รีบห้อทะยานมาจากทิศไกล พอเห็นภาพนี้ เห็นสำนักสยบธารตกอยู่ท่ามกลางวิกฤต ในสมองของเขาก็พลันบังเกิดความบ้าคลั่งเดือดดาลอย่างที่มิอาจระงับเอาไว้ได้ ดวงตาของเขาแดงฉานราวสีเลือด เมื่อแผดเสียงคำราม เรือบินก็มีเปลวไฟลุกไหม้ เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เรือบินพลันพุ่งเต็มเหยียดเข้าชนลูกศิษย์สามสำนักหลายร้อยคนที่ปรี่ขึ้นหน้ามาขัดขวางเขา

พริบตาเดียวสองฝ่ายก็ปะทะเข้าด้วยกัน เสียงตูมตามดังสะเทือนไปทั้งชั้นฟ้า ลูกศิษย์หลายร้อยคนนั้น ทุกคนที่ไม่ว่าจะมีตบะอะไรล้วนยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ เพียงแค่โดนเปลวเพลิงและแรงโจมตีที่เกิดจากเรือรบ ร่างของพวกเขาก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายมลายจิตวิญญาณมอดม้วย!

ส่วนเรือบินลำนั้นก็ยิ่งเป็นราวกับกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งที่แหวกฝ่าความว่างเปล่า พังทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง เจาะทะลวงเข้าไปในสนามรบ เผาไหม้ทุกพื้นที่ที่ผาดพ่าน ตลอดทางมีแต่เสียงดังกึกก้อง ตลอดทางมีแต่การเข่นฆ่าสังหาร!

ผ่านที่ใดก็ล้วนไม่มีใครที่มีปัญญาขัดขวาง เพราะแค่เข้าใกล้ หรือบางคนยังไม่ทันโดนแรงโจมตีก็ร่างแหลกลาญไปก่อนแล้ว บางคนเพียงแค่หมุนตัวหนีร่างก็สิ้นใจวิญญาณก็ตายดับ มองไกลๆ เห็นเป็นเหมือนกระบี่ที่ท่วมเปลวเพลิงเล่มหนึ่งซึ่งพุ่งสวบจากนอกสนามรบทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่งกีดขวาง พริบตาเดียว…ก็มาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่การต่อสู้ของสายธาราโลหิต มาปรากฏตัวอยู่ตรงจุดที่ซ่งจวินหว่านอยู่!

ความเร็วนี้มากถึงขีดสุด เป็นเหตุให้นักพรตก่อกำเนิดสามคนซึ่งเพิ่งจะเผยตัวอยู่รอบกายซ่งจวินหว่านยังไม่ทันได้ลงมือ ข้างหลังของพวกเขาก็มีเสียงแหวกอากาศสะเทือนขวัญดังขึ้นมากะทันหัน อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังมาถึงเร็วเกินไป พวกเขาสามคนมีสองคนคือก่อกำเนิดช่วงต้น อีกคนหนึ่งก่อกำเนิดช่วงกลาง ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวได้ เพิ่งจะหันกลับไปมอง โลกที่ฉายอยู่ในดวงตาของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยเรือบินลำหนึ่งซึ่งมีเปลวเพลิงลุกท่วม

เสียง “ปัง” ดังขึ้น เรือบินลำนั้น…ไม่แม้แต่จะหยุดชะงัก มาถึงก็พุ่งชนลงบนร่างของนักพรตก่อกำเนิดสามคนเข้าอย่างจัง เสียงตูมตามดังเกริกก้องเขย่าคลอนท้องฟ้า เรือบินระเบิดกระจาย ก่อกลายมาเป็นพลังแห่งการดับทำลายขุมหนึ่งที่ซัดตะลุยไปสี่ทิศ นักพรตก่อกำเนิดสามคนยังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องสักเอะก็ถูกพลังแห่งการดับทำลายขุมนั้นกลืนกิน ร่างสลายกลายเป็นเถ้าธุลี!

แม้แต่นักพรตก่อกำเนิดสองคนที่โอบล้อมอู๋จี๋จื่อก็ยังกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและตะลึงพรึงเพริด ดวงตาของพวกเขาเบิกโตจนแทบจะถลนหล่นลงมาจากเบ้า รีบถอยกรูดออกห่างพร้อมเสียงดังอึงอลในใจ

และขณะเดียวกันกับที่เรือบินระเบิด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว เขาพลิ้วกายไปหยุดอยู่ข้างกายซ่งจวินหว่าน ยกมือข้างหนึ่งโอบประคองเอวของนางไว้ ส่วนมือขวาก็ยกขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นพลังทำลายล้างที่เกิดจากเรือบินระเบิดก็ถูกพลังขุมใหญ่ม้วนตลบให้แบ่งออกเป็นหลายพันส่วนแล้วตรงเข้าซัดใส่ทุกคนรอบด้านที่ไม่ใช่คนของสำนักสยบธาร ทำให้นักพรตของสำนักสยบธารไม่โดนพลังรุนแรงเหล่านั้นแม้แต่เศษเสี้ยว

ส่วนนักพรตก่อกำเนิดสองคนที่ล้อมโจมตีอู๋จี๋จื่อ เวลานี้ก็ยากที่จะหนีพ้นหายนะไปได้ พวกเขาถูกพลังดับทำลายของเปลวเพลิงตรงเข้ากลบทับร่างทันใด

พริบตาเดียวเสียงร้องโหยหวนจากคนนับไม่ถ้วนก็พลันดังระเบ็งเซ็งแซ่ บริเวณรอบด้านปรากฏเป็นภาพที่คนหลายพันคนมีไฟท่วมร่าง คนเหล่านี้ล้วนเป็นนักพรตของสามสำนัก เสียงร้องโหยหวนของพวกเขาดังได้แค่ไม่กี่ทีก็ถูกเปลวเพลิงที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งความวินาศเผาไหม้จนกลายเป็นผุยผง!

ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยวนาที นับแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏกาย เพียงแค่เขาโบกมือ นักพรตก่อกำเนิดห้าคนก็ตายอนาถ นักพรตอีกหลายพันคนล้วนสิ้นชีพในเวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตา

เร็วเกินไป เร็วจนไม่มีใครตั้งสติได้ทัน และคลื่นแห่งการโจมตีของที่แห่งนี้ก็ได้แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ทำเอาคนทั้งสนามรบตื่นตะลึงกันอย่างหนัก สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนจำต้องย้ายมามองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างห้ามไม่ได้

และเวลานี้เอง นักพรตของสามสำนักถึงได้พากันคืนสติ แต่ละคนอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก

“สวรรค์!! นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“สมควรตายนัก คนผู้นี้คือใคร!!”

“หน้าคุ้นๆ นะ…”

ขณะที่นักพรตของสามสำนักสำลักลมหายใจ ลูกศิษย์ของสำนักสยบธารกลับพากันส่งเสียงไชโยโห่ร้องอย่างตื่นเต้นและปลาบปลื้ม

“ป๋ายเสี่ยวฉุน! คือป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

“อาจารย์อาป๋าย เขาคืออาจารย์อาป๋าย!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

เสียงนี้ดังส่งต่อออกไปเป็นทอดๆ ไม่นานก็อึงอลไปทั่วทั้งสนามรบ

นามของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมาจากปากของคนนับไม่ถ้วน ซ่างกวานเทียนโย่ว เป่ยหันเลี่ย บุรพาจารย์ธาราเทพ บุรพาจารย์ธาราโลหิต ลิง กระต่าย มาบัดนี้จิตใจของทุกคนล้วนสั่นสะเทือนกันอย่างบ้าคลั่ง

ส่วนเหล่าคนที่เคยเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจซึ่งตอนนี้ได้กลายมาเป็นบุคคลแกนกลางของสามสำนักก็พากันตัวสั่น นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววเคียดแค้น บนใบหน้าของพวกเขาล้วน…มีตราประทับรูปเต่าเด่นหราอยู่ทุกคน!

แม้แต่บุรพาจารย์คนฟ้าของสามสำนักก็ยังพากันขมวดคิ้ว แต่พวกเขากลับไม่มีเวลามามัวสนใจป๋ายเสี่ยวฉุน แม้จะตะลึงไปกับการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บ้าง แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ เพราะอย่างไรซะในสายตาพวกเขา แม้พลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจะแปลกประหลาดไปบ้าง แต่ตบะของอีกฝ่าย…ก็แค่ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น

“ไม่ต้องสนใจ พวกเราสามคนร่วมมือกันทำลายแกนกลางของสำนักสยบธารนี่ก่อน แล้วค่อยสังหารคนผู้นี้!” คนฟ้าทั้งสามได้ข้อตกลงร่วมกัน พวกเขาจึงถอนสายตากลับมาแล้วลงมือต่อทันที

คนฟ้าที่มาจากสำนักธารดาราลงมือด้วยเวทอภินิหารหนึ่งฝ่ามือปิดแผ่นฟ้า พลังของเขาคนเดียวก็สามารถกำราบได้ทั้งบุรพาจารย์ธาราเทพ ลิง กระต่าย รวมไปถึงบรรพบุรุษโลหิตที่ขยับเข้ามาใกล้!

ส่วนบุรพาจารย์ของสำนักธารมรรคาก็มีปราณกระบี่ท่วมไปทั้งร่าง ตอนที่เขามองไปยังเถี่ยตั้น นัยน์ตานั้นเผยความละโมบ ครั้นจึงพุ่งเข้าหาเถี่ยตั้นพร้อมปราณกระบี่เหลือคณานับที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน!

ส่วนบุรพาจารย์ของสำนักธารอันตนั้นมีหมอกสีดำอบอวลไปทั่วกาย เมื่อกลุ่มหมอกแผ่ออกไปก็ตรงเข้าทำลายรากฐานที่ตั้งของสำนักสยบธาร ทุกที่ที่หมอกสีดำลอยผ่าน พื้นดินพากันแห้งเหี่ยวโรยรา ราวกับว่าด้วยการลงมือของเขา อีกไม่นานที่ตั้งของสำนักสยบธารก็จะกลายมาเป็นเพียงซากปรักหักพัง!

อีกทั้งบัดนี้ปณิธานของคนทั้งสามก็ได้เข้ามาแทนที่เจตจำนงแห่งฟากฟ้า เมฆทะมึนจึงซัดปั่นป่วนไปทั่วท้องนภา

เวลานี้ซ่งจวินหว่านรู้สึกถึงเพียงเสียงที่ดังอึงอลขึ้นในสมอง

นางเหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยอาการอึ้งงัน รู้สึกราวกับว่าทุกอย่างนี้คือความฝัน นางเผยอปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้สำนักตกอยู่ในอันตราย ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีถ้อยคำนับพันนับหมื่นก็ไม่มีเวลาให้พูด เขาวางซ่งจวินหว่านไว้ตรงจุดหนึ่ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นร่างของซ่งจวินหว่านก็มีม่านแสงชั้นหนึ่งแผ่ขึ้นมาปกคลุม

ม่านแสงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนร่ายด้วยตัวเอง หากไม่ใช่คนฟ้าก็ไม่สามารถทำลายได้

ทำทุกอย่างนี้เสร็จเขาก็พลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังคนฟ้าสามคนที่ทำการกวาดล้างหมายกำจัดสำนักสยบธาร ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีอยู่แก่ใจตัวเองว่าคนทั้งสามนี้ต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ ขอแค่พิชิตพวกเขาได้ สำนักสยบธารก็จะเปลี่ยนจากผู้แพ้มาเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ!

“กะอีแค่คนฟ้าช่วงต้นสามคนก็ยังกล้ามาทำโอหังต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ!”

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ ยิ่งมองคนฟ้าของสำนักธารมรรคาที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยปราณกระบี่ซึ่งกำลังควบคุมให้ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปหมายสังหารเถี่ยตั้น เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเปิดออก พริบตาเดียวแสงสีม่วงเส้นหนึ่งก็แล่นฉิวเข้าหาบุรพาจารย์สำนักธารมรรคา ส่วนร่างของเขาก็เผ่นโผนจากจุดเดิมไปยังที่ตั้งสำนักสยบธารด้วยความเร็วที่เกินกว่าสายฟ้าแลบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!