บทที่ 876 กลับบ้าน
เวลานี้ ในขอบเขตอิทธิพลของสำนักสยบธาร เนื่องจากการลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้เร็วเกินไป ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลาไปมากเท่าไหร่นัก ต่อให้บวกการยึดทรัพย์เข้าไปก็ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามกว่าเท่านั้น
เป็นเหตุให้ตอนนี้นักพรตของสามสำนักยังคงหนีกระเจิงกันไปไม่หมด
ส่วนลูกศิษย์ของสำนักสยบธารก็ยังไม่หยุดไล่ฆ่าพวกเขา ทั่วพื้นที่เขตอิทธิพลของสำนักสยบธารในเวลานี้เต็มไปด้วยความอลหม่านยุ่งเหยิง
แม้แต่เหล่าบุรพาจารย์ของสำนักสยบธารเองก็ยังไม่สามารถบอกให้พวกลูกศิษย์ยอมเลิกราได้ นั่นเป็นเพราะว่าวิกฤตก่อนหน้านี้บีบคั้นให้อารมณ์ของทุกคนกดดันถึงขีดสุด ตอนนี้เมื่อตกอยู่ในความตื่นเต้นและฮึกเหิม พวกเขาจึงต้องการระบายอารมณ์เหล่านั้นออกมา!
ไม่นานการไล่ฆ่าก็แผ่ออกไปในรัศมีห้าร้อยลี้ หนึ่งพันลี้ สองพันลี้…
หลังจากที่นักพรตของสามสำนักแตกฮือกันไปอย่างสิ้นเชิง ลูกศิษย์บางส่วนที่หนีไม่รอดก็เลือกที่จะยกธงขาวยอมแพ้
การไล่สังหารครั้งนี้ทอดยาวไปจนถึงระยะสามพันลี้ หลังจากนั้นความฮึกเหิมในใจของนักพรตสำนักสยบธารถึงเริ่มค่อยๆ สงบลง เมื่ออารมณ์ตื่นเต้นของพวกเขาค่อยๆ เบาบางลง ความเหนื่อยล้าก็ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด…หลังจากตามไปสังหารได้ถึงระยะสามพันลี้แล้ว พวกบุรพาจารย์หลายคนของสำนักสยบธารที่รู้สึกว่าสมควรแก่เวลาก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งบอกให้พวกเขาหยุดการไล่ฆ่า!
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักพรตสามสำนักที่หนีไปถึงได้ผ่อนลมหายใจ แต่ละคนที่ตัวสั่นสะท้านพกพาเอาความหวาดกลัวและหวาดผวาที่ยังไม่จางหายหนีกระเจิงแยกย้ายกันไป
ในใจของพวกเขาทุกคนล้วนเข้าใจดีว่านับแต่นี้ไป…สำนักสยบธารจะผงาดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!!
เนื่องจากการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน สถานการณ์ของสำนักสยบธารในศึกนี้จึงได้พลิกกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าสำนักสยบธารจะเสียหายไม่น้อย แต่สุดท้ายกลับยังคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาได้!!
อีกทั้งนับแต่นี้ไป เกรงว่าหลังจากที่ลูกศิษย์ของสามสำนักได้เห็นนักพรตของสำนักสยบธารอีกครั้ง ในใจคงมีความหวาดกลัวไม่จางหาย และคงไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องด้วยอีก เพราะศึกครั้งนี้…ได้ทำให้พวกเขากลัวจนหัวหด ผวาจนขวัญหนีดีฝ่ออย่างแท้จริง!
เมื่อสงครามใหญ่ครั้งนี้สิ้นสุดลง สามารถจินตนาการได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องเป็นดั่งมรสุมที่พัดตะลุยไปทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของแม่น้ำตอนกลาง เขย่าคลอนทุกสำนักที่อยู่ในแม่น้ำตอนล่างสายตะวันออก ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของแม่น้ำตอนกลางไปอย่างสิ้นเชิง
อีกทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะเหตุนี้ เพราะอย่างไรซะสาเหตุที่สามสำนักใหญ่ลงมือเปิดสงครามในครั้งนี้ได้ก็เป็นเพราะได้รับอนุญาตเป็นนัยๆ จากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
แต่ขณะเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่เพียงแต่เป็นคนของสำนักสยบธารเท่านั้น เขายังเป็นลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราด้วย อีกทั้งตอนที่อยู่กำแพงเมือง เขาก็ไปได้ไกลถึงระดับผู้บังคับกองหมื่น
ซึ่งผู้บังคับกองหมื่นแต่ละรุ่นที่ผ่านมาล้วนต้องเข้าไปอยู่ในศาลาเลือดเหล็ก กลายเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อที่ว่าหาใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่มีเพื่อนอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเลย ไม่ว่าจะเป็นคู่รักจ้าวเทียนเจียว หรือจะเป็นป๋ายหลิน รวมไปถึงนักพรตมากมายที่เขารู้จักในกำแพงเมืองก็ล้วนเป็นสหายของเขาทั้งสิ้น
คนเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนของเขา ตอนที่เขายังไม่กลับมา พวกเขายังจะพอปกป้องสำนักสยบธารเอาไว้ได้อย่างกล้อมแกล้ม แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้ว สามารถจินตนาการได้เลยว่าเพราะเรื่องครั้งนี้ของสำนักสยบธาร ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะต้องมีการประนามและต่อต้านอย่างรุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน!
และพลังการต่อสู้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออกมาครั้งนี้
ก็ต้องทำให้สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเห็นความสำคัญอย่างถึงที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วคำสั่งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะต้องมาถึง
แต่ไม่ว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะมีท่าทีเช่นไร ตอนนี้หลังจากที่สำนักสยบธารผ่านศึกใหญ่มาได้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความมั่นคง พวกเขาจำเป็นต้องพักรักษาตัว แม้ศึกครั้งนี้จะคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาได้ แต่ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปก็ไม่ใช่น้อยๆ
ค่ายกลของต้นมะเดื่อฟ้าพังทลายไปแล้วถึงแปดเก้าส่วน จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม และยังมีอาวุธล้ำค่าอันเป็นรากฐานของสี่สายที่เสียหายอย่างแสนสาหัส บางส่วนสามารถซ่อมแซมได้ แต่บางส่วนกลับพังทลายอย่างไม่มีทางเอากลับมาใช้ได้อีก
ขณะเดียวกันที่ตั้งของสำนักสยบธารก็พังไปเกินครึ่งเพราะศึกครั้งนี้ เทือกเขาสี่เส้นมีสองเส้นครึ่งที่พังถล่มไปแล้ว จำเป็นต้องให้พวกบุรพาจารย์ใช้พลังของค่ายกลใหญ่มาสร้างมันขึ้นใหม่
ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและหลี่ชิงโหวกลับมาถึง พวกเขาได้เห็นสำนักสยบธารซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม สำหรับการที่หลี่ชิงโหวกลับมาได้อย่างปลอดภัย เจิ้งหย่วนตงและบุรพาจารย์สายธาราเทพ รวมไปถึงสหายมากมายของหลี่ชิงโหวก็ล้วนดีใจกันอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะสวีเหม่ยเซียงที่ปิติยินดียิ่งกว่าใคร เดิมทีนางสิ้นหวังไปแล้ว ตอนนี้ได้เจอหน้าหลี่ชิงโหวอีกครั้ง น้ำตาก็พลันไหลริน
หลังจากได้เห็นสวีเหม่ยเซียง หลี่ชิงโหวเองก็ใจสั่นสะท้านเช่นกัน พอย้อนนึกถึงครึ่งปีที่ผ่านมาที่คนทั้งสองเหมือนอยู่กันคนละโลก สายตาของเขาก็พลันอ่อนละมุนลง ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองคนทั้งสองแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม ระหว่างทางที่คนทั้งสองกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนได้มอบวิญญาณคนฟ้าดวงหนึ่งให้หลี่ชิงโหวไปแล้ว อีกทั้งยังตรวจสอบอาการบาดเจ็บของหลี่ชิงโหวอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไร เขาถึงวางใจได้ ตอนนี้จึงไม่คิดจะรบกวน เลยพาเถี่ยตั้นเดินเข้าไปในสำนัก
มองเห็นความเสียหายรอบด้าน มองเห็นลูกศิษย์หลายคนที่บาดเจ็บ
ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มหนักอึ้ง
อันที่จริงแม้ศึกนี้อัตราการบาดเจ็บและล้มตายของสำนักสยบธารจะค่อนข้างหนักหนาสาหัส แต่พวกเขาก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลเช่นกัน ลำพังเพียงแค่เชลยศึก สำนักสยบธารก็จับตัวมาได้มากหลายหมื่นคน ขณะเดียวกันอาวุธและทรัพยากรที่ได้มาจากตัวเชลยศึกพวกนี้ก็น่าชื่นชมมากไม่ต่างกัน
นี่ยังถือว่าเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเนื่องจากบุรพาจารย์คนฟ้าสามคนพ่ายแพ้เร็วเกินไป เนื่องจากนักพรตสามสำนักหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง เป็นเหตุให้ยังมีอาวุธล้ำค่าอีกไม่น้อยของสามสำนักที่ไม่ถูกเก็บเอาไป สำนักสยบธารจึงได้รับผลเก็บเกี่ยวมูลค่ามหาศาลมากขึ้น
และศึกนี้ที่โดดเด่นไม่ใช่แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น แม้ว่าเขาจะพลิกสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดี แต่ก่อนหน้านี้ การดำรงอยู่ของเถี่ยตั้นก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ตลอดทั้งสำนักยืนหยัดได้จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง
ตบะของเถี่ยตั้นคือก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว อีกทั้งอาศัยพรสวรรค์ของราชาแห่งสัตว์ของมัน มันยังพอจะต่อสู้กับคนฟ้าได้ด้วย แม้สุดท้ายจะต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ แต่พลังการต่อสู้เช่นนี้ก็มากพอจะทำให้คนตะลึงได้แล้ว
ยิ่งตัวตนของราชาแห่งสัตว์ เมื่อเวลาผันผ่านไปเรื่อยๆ มันก็ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเติบโตไปจนถึงขอบเขตของคนฟ้าแน่นอน ดังนั้นประโยชน์ที่มันมีต่อสำนักหนึ่งจึงเรียกได้ว่ามากมายจนยากจะบรรยายได้หมด!
นอกจากเถี่ยตั้นแล้ว ในศึกครั้งนี้ซ่งจวินหว่านเองก็โดดเด่นเป็นที่จับตามองเช่นกัน แม้นางจะไม่ใช่ก่อกำเนิด เป็นเพียงแค่รวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ภายใต้การควบคุมของนาง กระบี่โลหิตของเขาจงเฟิงก็มีพลังการต่อสู้ล้ำเลิศเหนือกว่าอีกสามยอดเขา กลายมาเป็นด่านสำคัญที่เหี้ยมหาญของสายธาราโลหิตซึ่งสกัดกั้นการห้ำหั่นของศัตรูเอาไว้ได้!
ส่วนสายธาราเทพก็มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจหลายคนที่ยิ่งส่องประกายเจิดจ้าในศึกครั้งนี้ เช่นซ่างกวานเทียนโย่ว การเติบโตของเขานับว่ารวดเร็วอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เขาก้าวสู่ขอบเขตเสมือนก่อกำเนิดมาได้ครึ่งก้าวแล้ว หากไม่นับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของรุ่นนี้
และก่อนหน้านี้ในสำนักสยบธาร เขาก็มีชื่อเสียงไม่น้อย นิสัยของเขาเองก็เปลี่ยนแปลงไปมาก สุขุมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ลูกศิษย์หลายคนเกิดความเคารพเลื่อมใสในตัวเขา
และยังมีเป่ยหันเลี่ยอีกคน เขาที่ในอดีตไม่ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ทว่าการลุกผงาดในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตของปีนั้น การที่เขาสร้างฐานรากชั้นดินก็ได้ทำให้ตอนนี้เขามีตบะเป็นรวมโอสถช่วงท้าย แม้ว่าจะเทียบกับซ่างกวานเทียนโย่วไม่ได้ แต่ก็ยังเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปมากอยู่ดี!
เพราะอย่างไรซะปีนั้นก็เคยมีบุรพาจารย์กล่าวไว้ว่า ซ่างกวานเทียนโย่วคือเทพเซียนแห่งกระบี่ที่ลงมาจุติใหม่ แม้ว่ารากฐานของเขาจะสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ แต่ระยะหลังมานี้เขากลับมีพัฒนาการในทุกๆ วันอย่างไม่หยุดยั้ง!
อีกสองสายที่เหลือก็มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เป็นที่จับตามองในศึกนี้เช่นกัน คาดว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ ในสำนักต้องมีการมอบรางวัลให้สำหรับคุณความชอบที่พวกเขาทำ และอนาคตของพวกเขาย่อมดีงามและยาวไกลแน่นอน
เมื่อเดินอยู่ในสำนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนมากมาย เห็นสายตากระตือรือร้นอย่างเร่าร้อนเวลาที่ทุกคนหันมามองตน เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างมาก ความรู้สึกที่ได้กลับมาบ้านทำให้ใจของเขาอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสได้เมื่ออยู่ในแดนทุรกันดาร เพราะไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ที่นี่ต่างหาก…ถึงจะเป็นบ้านของเขาไปตลอดกาล
ขณะที่คนทั้งสำนักต่างก็เริ่มยุ่งวุ่นวายกับงานซ่อมแซม ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เขาเห็นมังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสนามรบ มังกรเฒ่าบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้จึงหายใจรวยรินเต็มที ต่อให้มีคนช่วยเหลือ ท่าทางของมันก็ยังเหมือนจะตายจากไปได้ตลอดเวลา ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบลงมือทันที เขาถ่ายทอดพลังก่อกำเนิดวิถีฟ้าของตัวเองไปให้กับอีกฝ่าย และในที่สุดก็ช่วยมังกรเฒ่าเอาไว้ได้ ทำให้บาดแผลของมันทรงตัวและค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา
ส่วนเถี่ยตั้นตอนนี้กลับหายหัวไปไม่เห็นเงา ทว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยมังกรเฒ่าเอาไว้ได้และเตรียมจะจากไป เถี่ยตั้นก็กลับมา ชั่วขณะที่มองเห็นเถี่ยตั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยืนเซ่อไปทันที เขาเห็นว่าด้านหลังของเถี่ยตั้นมีสัตว์วิเศษหลากหลายรูปแบบติดตามมาเป็นจำนวนมาก สัตว์วิเศษเหล่านี้มีเกือบครึ่งที่เป็นตัวเมีย…
“เจ้าบอกว่าพวกนางเป็นเมียของเจ้าทั้งหมด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน มองเถี่ยตั้นที่อยู่ข้างกาย หลังจากฟังเสียงร้องหงิงๆ ที่ออกมาจากปากของมัน หัวใจของเขาก็สั่นสะเทือนอยู่หลายที
“แล้วพวกมันล่ะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ไปยังด้านหลังของสัตว์วิเศษเพศเมียซึ่งมี…สัตว์ตัวเล็กรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันนับพันตัวที่ตามมาเป็นโขยง ก่อนจะหันมามองเถี่ยตั้นด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
เถี่ยตั้นได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง
มันหันมาร้องคำรามใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายที แม้ว่าคนไม่น้อยในสำนักสยบธารจะพอเดาความหมายจากเสียงคำรามของมันได้ แต่หากจะพูดว่าใครที่เข้าใจมันที่สุด สุดท้ายก็ยังคงเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ดี…
“ให้ตายเถอะ…พวกมันเป็นลูกของเจ้าหมดเลยอย่างนั้นหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากค้าง มองสัตว์ตัวเมียพวกนั้น แล้วก็มองไปยังสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย รู้สึกนับถือความสามารถทางด้านนี้ของเถี่ยตั้นจากใจจริง
เถี่ยตั้นที่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทีเช่นนี้ก็ยิ่งลำพองใจ
มันหันกลับไปคำรามใส่สัตว์ตัวเมียพวกนั้นสองสามที ทันใดนั้นสัตว์วิเศษทั้งหมดก็พลันหันมาหมอบกราบป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วร้องคำรามพร้อมกัน
ไม่มีความดุร้าย มีเพียงความเคารพนับถือราวกับเจอผู้อาวุโสเท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มแหย เข้าใจความต้องการของเถี่ยตั้นได้ทันที หลังจากตบหัวเถี่ยตั้นเบาๆ เขาก็ถอนหายใจเฮือก เถี่ยตั้นคือลูกชายของเขา ถ้าเช่นนั้นสัตว์พวกนี้…ก็คือลูกสะใภ้และหลานของเขา
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหยิบเอายาวิญญาณจากแดนทุรกันดารออกมามอบให้สัตว์วิเศษเหล่านี้ถือเป็นของขวัญพบหน้า…สำหรับผู้ฝึกวิญญาณแล้ว ยาวิญญาณก็เหมือนหินวิเศษ และมันก็มีคุณประโยชน์เช่นเดียวกันกับสัตว์วิเศษเหล่านี้ อีกทั้งในเขตแม่น้ำทงเทียน ยาวิญญาณก็นับว่าหาได้ยาก ราคาจึงไม่ธรรมดา
หลังจากได้ยาวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนมา สัตว์วิเศษเหล่านี้ต่างก็มีท่าทางดีอกดีใจ เสียงร้องยิ่งฟังดูเบิกบานมากขึ้น เถี่ยตั้นเองก็ลำพองใจอย่างมาก มีความรู้สึกเหมือนว่าหลังจากที่พาลูกหลานมาพบผู้อาวุโสทำให้ตัวเองได้หน้าอย่างยิ่ง
เห็นเถี่ยตั้นอารมณ์ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะพลางทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังอยู่ในใจ
“ที่นี่ต่างหาก ถึงจะเป็นบ้านของข้า…”