Skip to content

A Will Eternal 879

บทที่ 879 เชวียเอ๋อร์ก็อยู่ด้วยหรือ

เมื่อเห็นว่าคลายปมในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนได้แล้ว ใบหน้าของบุรพาจารย์ธาราเทพก็คลี่ยิ้ม เขาให้ความสำคัญกับป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าไม่ใช่แค่เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนเอาชนะสามคนฟ้าได้ในครั้งนี้

สำหรับสำนักสยบธารแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประหนึ่งจิตวิญญาณ ต่อให้ในเวลานี้สายของธาราเทพและธาราโลหิตของสำนักสยบธารได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นป๋ายเสี่ยวก็ยังเป็นบุคคลที่มิอาจมีใครมาแทนที่ได้!

ที่สำคัญที่สุดก็คือเดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นลูกศิษย์สายตรงอันเป็นเมล็ดพันธ์ที่แกร่งกล้าของสายธาราเทพอยู่แล้ว!

“เสี่ยวฉุน เจ้าหายตัวไปในแดนทุรกันดารนานหลายปี ครั้งนี้กลับมาได้ประจวบเหมาะเช่นนี้ หรือเป็นเพราะเจ้าได้ยินเรื่องที่เทียนจุนจะเลือกลูกศิษย์?”

บุรพาจารย์ธาราเทพนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันมาถามป๋ายเสี่ยวฉุน

“เทียนจุนจะเลือกลูกศิษย์?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง

“เทียนจุนจะรับลูกศิษย์ ข้าผู้อาวุโสเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่กลับได้ยินมาว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เรื่องนี้ก็จะเริ่มต้นขึ้น ตอนนี้สี่สำนักใหญ่ของต้นน้ำต่างก็กำลังเตรียมการกันอยู่”

“ว่ากันว่านักพรตก่อกำเนิดคนใดก็ตามที่ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดแบบใด ขอแค่อยู่ในขอบเขตของแม่น้ำทงเทียน ต่อให้ไม่ใช่นักพรตที่อยู่ในสำนัก แต่เป็นนักพรตของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือแม้แต่นักพรตที่ฝึกตนด้วยตัวเองก็ล้วนสามารถไปที่สำนักต้นแม่น้ำทั้งสี่ เดินทางผ่านที่นั่น…ไปยังเกาะทงเทียนได้!” บุรพาจารย์ธาราเทพรู้สึกปลงตกอย่างยิ่ง แต่เขาก็เข้าใจดีว่าอายุของตัวเองไม่เหมาะสมแล้ว และนักพรตก่อกำเนิดตลอดทั้งพื้นที่แม่น้ำทงเทียนก็มีมากมาย

นักพรตก่อกำเนิดมากมายขนาดนี้ คิดจะไปแย่งชิงตำแหน่งมาก็ยากพอๆ กับที่คนธรรมดาจะเดินขึ้นสวรรค์!

แต่ในสายตาของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความหวังสูงมาก สูงมากกว่าคนรุ่นเดียวกันถึงเก้าจุดเก้าส่วน และเขาก็มองออกด้วยว่าแท้จริงแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้เป็นคนฟ้า

สามารถอาศัยตบะก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ อาศัยขอบเขตครึ่งก้าวคนฟ้ามาทำให้คนฟ้าสามคน หนึ่งตาย หนึ่งพิการ หนึ่งหนี เรื่องนี้บุรพาจารย์ธาราเทพไม่เคยได้ยินมาก่อนจากในโลกทงเทียนสายตะวันออก แม้จะไม่รู้ว่าในแม่น้ำอีกสามสายจะมีบุคคลที่สยบฟ้าได้ขนาดนี้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นับว่าเป็นบุคคลที่สร้างปาฏิหาริย์อย่างที่แทบไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าเทียนจุนจะรับลูกศิษย์ บางทีอาจเป็นเพราะศึกไร้เทียมทานในแดนทุรกันดารครั้งนั้น ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีอคติและต่อต้านเทียนจุน เขาแอบรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดี…

และเมื่อพูดถึงเทียนจุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้เป็นห่วงโหวเสี่ยวเม่ยขึ้นมาทันใด เขาจึงรีบเอ่ยถาม

“โหวเสี่ยวเม่ยและกุ่ยหยาคือสองในหนึ่งหมื่นคนจากทุกพื้นที่ในแม่น้ำทงเทียนที่ถูกเลือกให้ไปยังเกาะทงเทียนเมื่อสิบปีก่อน การเลือกครั้งนี้ไม่ได้มีแค่การประลองเวทคาถาเท่านั้น แต่ยังมีการเลือกสรรในด้านพรสวรรค์และด้านอื่นๆ

ในร่างของโหวเสี่ยวเม่ยเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์บางอย่างที่พิเศษมาก ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติเข้าไปอยู่ในเกาะทงเทียน ได้รับการชี้นำจากเกาะทงเทียน และหากระหว่างการฝึกตนนางแสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของเกาะทงเทียน!”

“การคัดเลือกนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ หนึ่งร้อยปี เพียงแต่ว่าในจำนวนคนหนึ่งหมื่นคนนี้ เกรงว่าคงมีแค่ไม่กี่ร้อยคนที่จะได้กลายมาเป็นผู้พิทักษ์ในท้ายที่สุด” เห็นได้ชัดว่าบุรพาจารย์ธาราเทพมีความเข้าใจต่อเรื่องนี้ไม่น้อย ท่ามกลางน้ำเสียงปลงอนิจจังของเขายังมีความคาดหวังและการอวยพร เนื่องจากสำนักสยบธารยังอยู่ในสภาะเร่งฟื้นตัว มีหลายจุดที่ต้องการให้เขาไปช่วย ดังนั้นเมื่อพูดจบบุรพาจารย์ธาราเทพจึงไม่ได้อยู่พูดคุยกับป๋ายเสี่ยวฉุนต่อ เพียงหมุนตัวจากไป

ทว่าก่อนจะจากไป เขาเหมือนจะนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและโหวเสี่ยวเม่ยขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเปิดปากอีกครั้ง

“รายละเอียดยิบย่อยกว่านี้ เจ้าคงต้องไปถามซ่งจวินหว่านเอาเอง การคัดเลือกของเมื่อสิบปีก่อนจัดขึ้นในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ปีนั้นซ่งจวินหว่านก็ไปด้วย แต่น่าเสียดายที่นางไม่ถูกเลือก”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับ เขาไม่สะดวกบอกถึงความกริ่งเกรงที่ตนมีต่อเทียนจุนให้บุรพาจารย์ธาราเทพฟัง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจอีกฝ่าย แต่นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป ตอนนี้ความไม่สบายใจของเขายังคงอยู่ สุดท้ายจึงมองไปยังทิศทางของสุสานอีกครั้งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหมุนตัวจากไป

ไม่นานยามสนธยาก็เยื้องกรายมาถึง เมื่อพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนนภา ลูกศิษย์ของสำนักสยบธารก็เริ่มฝึกตนของใครของมัน จะอย่างไรซะการซ่อมแซมสำนักก็มิอาจทำได้ในวันเดียว ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการต่อสู้จำเป็นต้องใช้การพักผ่อนมาบรรเทา

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เจอโอกาสในที่สุดจึงรีบไปหาซ่งจวินหว่าน เป็นเพราะว่าไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ด้านหนึ่งก็เพราะเขาคิดถึงซ่งจวินหว่าน

แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องการสอบถามรายละเอียดเรื่องที่โหวเสี่ยวเม่ยถูกคัดเลือกจากอีกฝ่าย

ส่วนทางฝ่ายของซ่งจวินหว่านตอนนี้ก็มีเวลาหยุดพักในที่สุด นางลากเรือนกายที่เหนื่อยล้ากลับเข้ามาในถ้ำของตัวเอง เพิ่งจะกลืนยารักษาอากาบาดเจ็บไปหนึ่งเม็ด ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง ซ่งเชวียก็มาหาก่อนแล้ว

สำหรับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างซ่งเชวียผู้นี้ ซ่งจวินหว่านให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก อีกทั้งซ่งเชวียในวันนี้ก็เป็นถึงนักพรตก่อกำเนิด นี่จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ของคนทั้งตระกูลซ่ง

ต่อให้ซ่งจวินหว่านจะเป็นผู้อาวุโสของซ่งเชวีย แต่เมื่อซ่งเชวียมาหา นางก็ยังลุกขึ้นยืนต้อนรับ เพียงแต่ว่านางเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ซ่งเชวียก็ใจหายวาบ รีบปรี่ขึ้นหน้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่สนใจตบะของตัวเอง

“อาหญิงน้อยไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เชวียเอ๋อร์คารวะอาหญิง” ซ่งเชวียรีบกุมมือคารวะอย่างที่ผู้น้อยควรทำ ยังคงมีท่าทีดั่งปีนั้นที่เขายังมีตบะด้อยกว่าซ่งจวินหว่าน

นี่จึงทำให้ซ่งจวินหว่านสบายใจอย่างมาก นางรู้สึกว่าซ่งเชวียเป็นเด็กที่รู้ความอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็ยังต้องพูดอะไรบ้าง

“เชวียเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ามีตบะก่อกำเนิดแล้ว อาหญิงลุกต้อนรับเจ้าก็ถือเป็นเรื่องสมควรทำ แม้ว่ามิอาจมองข้ามกฎระเบียบ แต่ในโลกแห่งการบำเพ็ญตน คนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นถึงจะเป็นผู้สูงศักดิ์”

ซ่งเชวียได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเจื่อน พูดกับตัวเองในใจว่าหากไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุน ด้วยตบะของตนในวันนี้ หากอาหญิงน้อยจะลุกขึ้นต้อนรับก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอย่างไรซะตนก็คือนักพรตก่อกำเนิด อีกทั้งตอนนี้ก็ห่างจากก่อกำเนิดช่วงกลางอีกไม่ไกล อย่าว่าแต่อาหญิงน้อยเลย ต่อให้เป็นคนทั้งตระกูลซ่งที่นอกจากบุรพาจารย์แล้ว คนอื่นๆ เจอตนเมื่อใครก็ต้องทำความเคารพเมื่อนั้น

แต่ทว่า…พอนึกถึงตัวตนของซ่งจวินหว่าน นึกถึงป๋ายเสี่ยวฉุน

ซ่งเชวียก็ให้อึดอัดขัดใจ ขณะเดียวกันก็กลัวมากด้วย แม้ว่าเขาจะชอบมองสีหน้ากลัดกลุ้มของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็ไม่กล้าอวดเบ่งต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมากนัก เพราะเรื่องราวมากมายในแดนทุรกันดารได้ทำให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นพร้อมๆ กับที่ในใจลึกๆ เริ่มเกิดความเคารพนับถือป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างที่เขาเองก็ไม่อยากยอมรับ

และการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกตัวเองว่าเป็นอาเขยน้อยของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ก็ทำให้ซ่งจวินหว่านไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสของซ่งเชวียเท่านั้น

หาไม่แล้ววันนี้เขาก็คงไม่มาพบซ่งจวินหว่านก่อนจะไปพบบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง

“อาหญิงน้อยอย่าได้ทำเช่นนี้ เชวียเอ๋อร์ยังคงเป็นเด็กน้อยในปีนั้นดังเดิม” คิดมาถึงตรงนี้ ซ่งเชวียก็สูดลมหายใจแล้วคารวะซ่งจวินหว่านอีกครั้ง

รอยยิ้มของซ่งจวินหว่านยิ่งกว้างกว่าเก่า นัยน์ตาก็ฉายแววอ่อนโยน ทั้งยังเกิดความภาคภูมิใจในตัวลูกหลานของตระกูลตนที่เป็นดั่งบุตรกิเลนผู้นี้ จากนั้นนางก็เริ่มเอ่ยถามถึงเรื่องราวที่ซ่งเชวียประสบพบเจอมาตลอดหลายปีที่เขาหายตัวไปในแดนทุรกันดาร

สำหรับเรื่องนี้ ซ่งเชวียเอ่ยอึกๆ อักๆ อธิบายได้ไม่ชัดเจนนัก ในใจเขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากคนอื่นถาม เขายังพอจะมีความภาคภูมิใจอยู่บ้าง

แต่พอเป็นซ่งจวินหว่าน เขากลับไม่มีความมั่นใจในตัวเองนัก

ซ่งจวินหว่านเองก็มองออกถึงความผิดปกติของซ่งเชวีย นางขมวดคิ้วน้อยๆ เดิมทีนางก็งามพิลาสอยู่แล้ว เวลานี้พอขมวดคิ้วก็ทำให้นางยิ่งดูน่าหลงใหล ขณะเดียวกันก็มีอำนาจบางอย่างแผ่ออกมา ขณะที่กำลังจะซักถามอย่างละเอียด ด้านนอกถ้ำนางกลับมีเสียงหยอกเย้าของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมาเสียก่อน

“ว่านเอ๋อร์ที่รัก ข้ามาแล้ว”

วินาทีที่เสียงนี้ดังเข้ามาในถ้ำ ซ่งเชวียก็ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ซ่งจวินหว่านหน้าแดงน้อยๆ นัยน์ตามีแววกระเง้ากระงอด เมื่ออยู่ต่อหน้าหลานตัวเองแล้วถูกป๋ายเสี่ยวฉุนหยอกล้อเช่นนี้หัวใจนางจึงเต้นเร็วอย่างประดักประเดิด แต่ก็ยังโบกมือเปิดประตูถ้ำออก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเข้ามาก็มองเห็นซ่งเชวียทันที

“เอ๊ะ เชวียเอ๋อร์ก็อยู่ด้วยหรือ”

ซ่งเชวียหน้าดำทันใด

ซ่งจวินหว่านเห็นสีหน้าเช่นนี้ของซ่งเชวียก็เข้าใจได้ทันที แล้วก็รู้สึกผิดไม่น้อย รู้ดีว่าหากไม่เป็นเพราะตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบซ่งเชวียแบบนี้ ดังนั้นจึงคิดจะพูดปราม แต่กลับช้าไปกว่าน้ำเสียงเร็วปรื๋อของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดังขัดขึ้นมา

“หว่านเอ๋อร์เจ้าไม่รู้อะไร แดนทุรกันดารนั่นคือสถานที่อะไร รอบด้านมีแต่อันตรายซ่อนแฝง ความเป็นความตายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง อยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเชวียเอ๋อร์แล้ว ข้าต้องยอมเสี่ยงเปิดเผยตัวตน ยอมล่วงเกินชนสูงศักดิ์อย่างไม่หวั่นเกรง ทั้งยังยึดทรัพย์ตระกูลพระยาสวรรค์คนหนึ่งเพื่อเขาด้วย!”

“นั่นคือพระยาสวรรค์เชียวนะ แดนทุรกันดารกว้างใหญ่ขนาดนั้นยังมีพระยาสวรรค์แค่หนึ่งร้อยแปดคน ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยการทวนความทรงจำคล้ายย้อนนึกถึงค่าตอบแทนแสนสาหัสที่ต้องจ่ายไปเพื่อช่วยเหลือซ่งเชวีย

“ข้ายังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่เจอเชวียเอ๋อร์ในแดนทุรกันดาร สภาพของเขาตอนนั้นน่าเวทนายิ่งนัก ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยหลอด เขาถูกตระกูลของพระยาสวรรค์คนนั้นเอามาทำเป็นหินวิเศษที่มีชีวิต!”

“หว่านเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหินวิเศษที่มีชีวิตคืออะไร ก็คือการที่เอานักพรตคนหนึ่งมากรอกยาจำนวนมากให้กินอย่างต่อเนื่อง เพื่อบีบให้เส้นชีพจรของเขาขยายออกหมายเพิ่มตบะของเขาให้สูงขึ้น

ทว่ากลับพันธนาการร่างของเขาเอาไว้ ทารุณกรรมเขาโดยการเร่งให้เขาโคจรตบะอย่างไม่หยุดยั้ง และเมื่อเขาโคจรตบะ พลังตบะของเขาก็จะถูกปล่อยออกมาจากในหลอดพวกนั้น แล้วทำให้พื้นที่ที่เขาอยู่กลายมาเป็นพื้นที่ที่มีปราณวิญญาณ!”

“จากนั้น…ก็ให้เด็กๆ ในตระกูลดูดดึงพลังของเขาไปฝึกตน ทำเหมือนเขาเป็นหินวิเศษก้อนหนึ่งที่ไม่มีวันใช้ได้หมด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอธิบายได้อย่างออกรสจนคนฟังเห็นภาพตามไปด้วย คำพูดของเขาทำให้ซ่งเชวียอดนึกถึงความทรมานในปีนั้นที่เป็นดั่งเงามืดของชีวิตไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้ซ่งจวินหว่านหอบหายใจดังเฮือก ใบหน้าเผือดสีไปอย่างสิ้นเชิง

“ทำกันเกินไปแล้ว!” ความเดือดดาลอบอวลไปทั่วร่างของซ่งจวินหว่าน

นางหันขวับมามองซ่งเชวีย หลังจากเห็นความขมขื่นบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็เข้าใจทันทีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย แล้วก็กระจ่างทันใดว่าทำไมก่อนหน้านี้ซ่งเชวียถึงได้พูดอึกๆ อักๆ

“เสี่ยวฉุน เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก!!” ความคิดของซ่งจวินหว่านที่กะจะไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เอาเปรียบซ่งเชวียพลันหายวับไปในพริบตา ยามนี้ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ทั้งยังหันมาโค้งตัวน้อยๆ ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

“จะต้องเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้ทำไม ข้าทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เพื่อเจ้าหรอกหรือ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ หนึ่งทีพลางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซ่งจวินหว่านแล้วเอามือโอบเอวเล็กบางของอีกฝ่ายไว้ มืออีกข้างก็ตบอก พูดด้วยเสียงอันดัง

“เจ้าคืออาหญิงน้อยของเชวียเอ๋อร์ ข้าก็คืออาเขยน้อยของเชวียเอ๋อร์ อยู่ในแดนทุรกันดาร พวกเราก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่ช่วยเขาแล้วใครจะช่วย? นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว เรื่องเล็กน้อยน่ะ”

ซ่งจวินหว่านหน้าแดงน้อยๆ แต่กลับไม่ได้ขัดขืน สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งอ่อนหวาน และดูเหมือนว่าความรู้สึกถึงระยะทางที่กั้นขวางก่อนหน้านี้ก็หายวับไปหลังจากที่อีกฝ่ายเอามือโอบเอวของตนเอาไว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!