บทที่ 881 นี่มันครั้งแรกของข้านะ
ปุ้ง!
เมื่อซ่งจวินหว่านบีบยากระสันซ่าน เสียงที่คุ้นเคยนี้ก็พลันดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนและกลายมาเป็นเสียงฟ้าคำรามในใจของเขา
และหลังจากที่ยากระสันซ่านแตกสลาย ควันสีแดงกลุ่มหนึ่งก็แผ่กระจายออกมาทันที ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งตัวได้ทัน ควันผืนนั้นก็กลบทับเขาและซ่งจวินหว่านไว้ภายใน
“อ๊า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าในสมองมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น เขาหมายจะถอยหนีตามจิตใต้สำนึก แต่ยังไม่ทันรอให้เขาได้ถอยไปไกล เรือนกายที่นุ่มนวลเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเสน่ห์เย้ายวนก็พลันโถมกอดเขาเอาไว้…
“ไม่นะ…” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหนัก แต่กลับกะพริบตาปริบๆ เขาค้นพบว่าส่วนลึกในใจของตนมีความคาดหวังรอคอย แต่ปากกลับยังคงร้องโหยหวน
“หว่านเอ๋อร์เจ้ารอเดี๋ยว เจ้าจะทำอะไรน่ะ อ๊า…เจ้าอย่าฉีกเสื้อผ้าของข้าสิ นี่มันครั้งแรกของข้านะ…” เสียงร้องของป๋ายเสี่ยวฉุนฟังเกินจริงไปมาก อีกทั้งในควันแดงกลุ่มนั้น ทั้งๆ ที่เขาสามารถขัดขืนได้ แต่กลับไม่ได้ต่อต้านรุนแรงนัก มีเพียงเสียงร้องโหยหวนนี้ที่ยิ่งร้องยิ่งดัง
เขากลัวนี่นา กลัวซ่งจวินหว่านจะรู้ว่าตอนอยู่แดนทุรกันดารตนเคยมีประสบการณ์เช่นนี้กับสตรีธุลีแดงมาก่อนแล้ว ดังนั้นเวลานี้จึงยิ่งตั้งหน้าตั้งตาแผดเสียงร้อง
“อย่าทำแบบนี้สิ ให้ข้าเตรียมตัวก่อน…”
ในหมอกมีเสียงร้องโอดครวญของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้องไม่หยุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็แค่แกล้งทำเป็นขัดขืนไม่กี่ทีเท่านั้น
แถมปากปฏิเสธแต่การกระทำกลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งยังจัดท่าทางให้ตัวเองคล้ายตั้งใจและคล้ายไม่ตั้งใจ ทำให้ซ่งจวินหว่านฉีกอาภรณ์ของตนได้สะดวกมากขึ้น…
และซ่งจวินหว่านที่หอบหายใจถี่ๆ ก็ตวาดกลับมา
“หุบปาก ที่ข้าต้องการก็คือครั้งแรกของเจ้านี่แหละ!”
เมื่อเสียงนี้ดังจบ เมื่ออาภรณ์ขาดวิ่นชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกโยนออกมาจากในหมอก เสียงร้องโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขาดหายไปกลางคัน แทนที่มาด้วยเสียงหอบหายใจดังเฮือกซึ่งมาพร้อมกับเสียงอุทานเบาๆ คล้ายเจ็บปวดของซ่งจวินหว่านหว่าน หมอกควัน…ยิ่งซัดตลบกลิ้งหลุนๆ
เวลาล่วงผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม…
เมื่อหมอกควันจางหายไป ซ่งจวินหว่านก็กลับคืนมามีสติดังเดิม แล้วก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วด้วย ยามนี้ใบหน้าของนางแดงปลั่ง กำลังจัดเสื้อหน้าพลางผินหน้าไปมองข้างๆ นัยน์ตาที่มีความลำพองใจและกรุ่นอายหวานล้ำมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งกอดเข่าเหม่อลอย
ท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้นางพอใจอย่างมาก เพราะหากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทำท่าเช่นนี้ นางคงเกิดความคลางแคลงใจ ด้วยความพึงพอใจ ซ่งจวินหว่านจึงเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ
“พอได้แล้วน่า ยังไม่รีบใส่เสื้อผ้าอีก วางใจเถอะ ข้าจะรับผิดชอบเจ้าแน่นอน!”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเหม่อลอยครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนมีความจริงสามส่วน อีกเจ็ดส่วนคือแกล้งทำ…เขาไม่กล้าไม่เหม่อลอย เพราะเขากลัวว่าซ่งจวินหว่านจะรู้ความจริง เวลานี้จึงได้เพียงทำแบบนี้เท่านั้น แต่ในใจกลับอดเอาซ่งจวินหว่านมาเปรียบเทียบกับสตรีธุลีแดงอีกครั้งไม่ได้
การเปรียบเทียบครั้งนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตก เขาพบว่าทั้งสองคนต่างก็สมบูรณ์แบบอย่างมาก คนหนึ่งเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน อีกคนทรวดทรงน่าตะลึง ต่างคนต่างมีดีกันคนละแบบ กินกันไม่ลง
และภายนอกเขาก็แสร้งตีหน้าเศร้า อีกทั้งพอมาลองคิดๆ ดูแล้วเขายังบังคับให้ร่างตัวเองสั่นเทาอยู่หลายที เพื่อแสดงให้รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของตนจริงๆ …
ส่วนที่เหม่อลอยจริงๆ อยู่สามส่วนนั้นคือความปลงอนิจจังอย่างไร้ที่สิ้นสุด เขารู้สึกว่าทำไมตนต้องมาสิ้นท่าให้ยากระสันซ่านถึงสองครั้งสองครา…
“หรือว่ายากระสันซ่านคือตัวพิชิตข้า?! ครั้งแรกเป็นแบบนี้ ครั้งที่สองก็เป็นแบบนี้ หรือว่าจะยังมีครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจ ขณะเดียวกันในใจก็มีความ…รอคอย…ผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อเห็นท่าทางเหมือนคนถูกย่ำยีของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจซ่งจวินหว่านก็ยิ่งลำพองใจ นางหยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของแล้วยื่นส่งให้ป๋ายเสี่ยวฉุน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังนั่งเหม่อจึงเอ่ยปลอบใจอยู่หลายคำ ก่อนจะเป็นคนใส่เสื้อผ้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเอง
และก็เป็นอย่างนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สีหน้าเหม่อลอยปล่อยให้ซ่งจวินหว่านสวมใส่เสื้อผ้าของตนอย่างอืดอาด เพียงแต่ในใจกลับลำพองใจอย่างยิ่งยวด รู้สึกว่าฝีมือการแสดงของตัวเองก่อนหน้านี้ช่างล้ำเลิศยิ่งนัก
แต่ก็ยังมีความปลงตกบังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ครุ่นคิดว่าต้องเป็นเพราะตนยอดเยี่ยมเกินไป หาไม่แล้วเหตุใดสตรีธุลีแดงถึงจงใจใช้ยากระสันซ่านมาล่อลวงตน และซ่งจวินหว่านก็ทำแบบเดียวกัน
“ไม่โทษพวกนาง ต้องโทษที่ข้ายอดเยี่ยมเกินไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ยอมรับในความยอดเยี่ยมของตัวเองพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ ซ่งจวินหว่านก็ยิ่งลำพองใจ นางตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุนเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบใจอีกสองสามคำ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบฉวยโอกาสถามเรื่องโหวเสี่ยวเม่ย
หากเปลี่ยนมาเป็นก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนถามเช่นนี้ ต่อให้ซ่งจวินหว่านจะตอบ ทว่าในใจก็คงมีความไม่สบายใจอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ตอนนี้นางกำลังพอใจ จึงบอกเรื่องทุกอย่างที่นางรู้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ
การคัดเลือกครั้งนั้นคนหลายพันคนในสำนักสยบธารต่างก็เข้าร่วมด้วย พวกเขาเดินทางไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเพื่อเข้าร่วมการประลองพร้อมๆ กับนักพรตหลายแสนของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก
สุดท้ายซ่งจวินหว่านไม่ผ่านการประลอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตลอดทั้งสำนักสยบธาร คนที่ผ่านการคัดเลือกมีเพียงกุ่ยหยาคนเดียว แต่ตอนที่ทดสอบพรสวรรค์ของโหวเสี่ยวเม่ย ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของนางจะสอดคล้องกับเวทลับอภินิหารบางอย่างของเกาะทงเทียน
ดังนั้นนางจึงถูกรับตัวไปเป็นกรณีพิเศษและได้เดินทางไปยังเกาะทงเทียนพร้อมกับกุ่ยหยา และนักพรตที่เป็นอย่างโหวเสี่ยวเม่ยนี้ก็ไม่ได้มีเพียงนางคนเดียว
ซ่งจวินหว่านบอกว่าอันที่จริงในบรรดานักพรตหลายแสนคนมีคนทั้งหมดแปดคนที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกับโหวเสี่ยวเม่ย เพราะพรสวรรค์สอดคล้องกับการสืบทอดเวทลับบางอย่าง ดังนั้นจึงถูกเลือกตัวไป
ได้ยินมาถึงตรงนี้ รู้ว่าโหวเสี่ยวเม่ยไม่ใช่คนเดียวที่ถูกเลือก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกวางใจได้บ้างเล็กน้อย ยิ่งได้ยินซ่งจวินหว่านกล่าวว่าในอดีตเคยมีการคัดเลือกแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งเป็นอย่างนี้มาหลายพันปีแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือทุกคนที่ไม่ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ของเกาะทงเทียนล้วนกลับมาอย่างปลอดภัย แล้วก็ไม่เคยมีใครบาดเจ็บและล้มตายเกิดขึ้นมาก่อน นี่จึงทำให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนคลายลงอีกครั้ง
“บางทีข้าอาจคิดมากเกินไป…”
เข้าใจเรื่องของโหวเสี่ยวเม่ยแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แสร้งทำท่าหมดอาลัยตายอยากอีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าซ่งจวินหว่านมีสีหน้าเหนื่อยล้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ รู้ว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาสองคนอาจจะลงแรงกันหนักไปหน่อย…ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งทีแล้วบอกลาจากไป
แต่ว่าก่อนจะจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนได้มอบวิญญาณคนฟ้าดวงหนึ่งแก่ซ่งจวินหว่าน!
นั่นเป็นเพราะวิญญาณคนฟ้าของเขายังรวบรวมได้ไม่ครบห้าดวง อีกทั้งยังไม่ใช่ห้าธาตุที่แตกต่างกัน ทว่าไม่ว่าจะเป็นวิญญาณคนฟ้าดวงใดก็ตาม ในเขตแม่น้ำทงเทียนก็ถือเป็นของล้ำค่าทั้งสิ้น
หากอาศัยช่องทางบางอย่างจะสามารถเอาวิญญาณคนฟ้าไปแลกวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าดวงมาจากสำนัก และนี่จะเป็นผลดีต่อการก่อกำเนิดของซ่งจวินหว่านอย่างที่จินตนาการไม่ถึง ไม่เพียงแต่ทำให้นางราบรื่นมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือหากสำเร็จขึ้นมาเมื่อไหร่ นางก็จะเป็นก่อกำเนิดด้วยวิญญาณสัตว์ฟ้า ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจขอบเขตก่อกำเนิดของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!
นี่จะช่วยในการฝึกตนของนางอย่างมหาศาล
หลังจากที่เห็นวิญญาณคนฟ้าซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้ ในใจของซ่งจวินหว่านก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง นางสูดลมหายใจดังเฮือก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับของสำคัญมีมูลค่าขนาดนี้ จึงซาบซึ้งใจอย่างยิ่งยวด สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหวานล้ำมากกว่าเดิม ครั้นจึงรับวิญญาณคนฟ้ามาจากป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไม่เกรงใจ
แต่ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะจากไป นางก็เดินขึ้นหน้าไปโอบกอดป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้เบาๆ ใช้เรือนกายที่เร่าร้อนของนางมาทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจความซาบซึ้งใจของนาง
หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำ ต่อให้เพิ่งจะผ่านมรสุมด้วยกันมาใหม่ๆ แต่ตอนนี้พอถูกซ่งจวินหว่านกอด
ในสมองของเขาก็ยังอดนึกถึงภาพวาบหวามที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าซ่งจวินหว่านจะจับพิรุธได้จึงพูดตอบรับไม่กี่คำแล้วรีบร้อนจากไป
จนกระทั่งเดินออกมาจากถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโลดแรงอยู่ดังเดิม เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกอีกฝ่ายว่านางมารร้ายอีกครั้ง ในใจก็ให้ปลงตก สัมผัสได้ว่าตัวเองเหมือนจะเปลี่ยนไป…
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขาไม่มีความกลัดกลุ้มอย่างก่อนหน้านั้นอีกแล้ว
“ไม่ได้นะ ต้องเปลี่ยนความคิดสักหน่อยแล้ว ยังมีโหวเสี่ยวเม่ยอีกคน จะให้นางรู้ไม่ได้” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ข่มกลั้นความคิดไม่ไหวอีกต่อไป
อยากรู้ว่าโหวเสี่ยวเม่ยจะมียากระสันซ่านหรือไม่ หากไม่มี ตนควรจะหาโอกาสมอบให้นางแบบไม่ตั้งใจดีหรือเปล่า…
“ไม่ได้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอีกว่าแบบนี้ก็ไม่ถูกต้อง เขาคิดว่าตนเป็นคนที่ใสซื่ออย่างมาก ตอนนี้ในใจจึงสับสนไม่คลาย
สุดท้ายเขาจึงเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจยาวเหยียด
“ทำไมต้องให้ข้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”
ขณะที่ทอดถอนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับมาถึงถ้ำที่สำนักสยบธารเตรียมไว้ให้เขา เมื่อมาอยู่ในถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งขัดสมาธิ ขับไล่ความคิดวุ่นวายทุกอย่างไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ท่าทีของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่ชัดเจน เพื่อป้องกันไว้ก่อน ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องรีบเป็นคนฟ้าให้ได้โดยเร็วที่สุด…”
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ข้าจะหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสี!”